The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 595
ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน
“ลู่…จือยี่”
ซือหยูมีความรู้สึกที่ค่อนข้างซับซ้อนกับนาง และนางก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่จือยี่!
ในตอนนี้ ดวงตาของนางเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง นางจ้องมองซือหยูกับกิเลนน้อยอย่างดุร้าย
“ไร้ยางอายนัก!”
นางหน้าแดงเมื่อพูด
พอมาถึงตอนนี้ ซือหยูเพิ่งจะตระหนักว่ากิเลนน้อยนั้นยังใช้ร่างลู่จือยี่ตอนเด็กอยู่ ซือหยูตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ไม่ว่าเขาจะอธิบายเท่าใด เขาก็คงไม่อาจจะเกลี้ยกล่อมนางได้ เขากำลังคิดว่าเขากำลังจะจบลงทั้งแบบนี้!
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบ…”
ลู่จือยี่ชี้ไปที่กิเลนน้อย
ซือหยูรู้ว่าเขาจะต้องแก้ไขเรื่องเข้าใจผิด เขาเริ่มพูด
“จือยี่…ความจริงแล้ว…”
อาจจะเพราะว่าเขาคุ้นเคยกับกิเลนน้อยในร่างลู่จือยี่ตอนเด็ก เมื่อได้เจอกับลู่จือยี่ตัวจริง เขาจึงเผลอเรียกชื่อของนางไปห้วนๆแบบไม่รู้ตัว
ลู่จือยี่รู้สึกแปลกเมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนี้ จากตอนที่แยกจากกันคราวที่แล้ว เขายังเรียกนางอย่างสุภาพว่าผู้อาวุโสอยู่เลย เมื่อนางมองท่าทางเขินอายของซือหยู นางจึงมั่นใจได้ว่าเขายังคงเก็บเรื่องนางเอาไว้ในจอยู่ตลอดมา นางคิดไปถึงขั้นที่ว่าซือหยูอาจจะตกหลุมรักนางเข้าจริงๆ
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าเจ้าคิดอะไร”
ลู่จือยี่ที่มีความรู้สึกประหลาดอยู่ในใจพูดขัดซือหยู
ซือหยูอ้าปากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ที่บอกว่ารู้…นางรู้อะไรกัน?
“เจ้าไม่ต้องคิดหาคำแสดงความรู้สึกต่อข้าหรอก”
ลู่จือยี่มองซือหยูอย่างลึกซึ้ง
“ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะอยู่ร่วมกัน ข้ามีคนรักอยู่แล้ว เจ้าก็มีอนาคตของเจ้า เจ้าต้องลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา และข้าก็จะลืมด้วยเช่นกัน!”
ซือหยูราวกับถูกฟาดด้วยสายฟ้าเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด กิเลนน้อยที่แปลงร่างเป็นนางทำให้นางคิดได้ว่าซือหยูหลงรักนาง!
“จือยี่ เดี๋ยวก่อน… ข้า…”
เมื่อซือหยูกำลังจะแก้ไขเรื่องเข้าใจผิด ลู่จือยี่ก็พูดแทรกเขาขึ้นมาอีกครั้ง แววตานางดูเด็ดเดี่ยว
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดให้ดีแล้วลืมข้าซะ นี่เป็นคำสั่ง”
ซือหยูยิ่งอยากจะแก้ไขเรื่องให้ตรงไปตรงมายิ่งกว่าเดิม
“จือยี่ ความจริงแล้ว…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
ลู่จือยี่เริ่มจะรำคาญเขา นางจึงตำหนิขึ้นมา
“เรื่องเป็นเช่นนี้ จะมีอะไรที่ต้องพูดอีก? ข้าทำใจได้แล้ว ข้ามีคนที่รักอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่ด้วยกัน”
ซือหยูแทบจะคลั่งเมื่อได้เห็นการเข้าใจผิดของนาง
“ข้….”
ลู่จือยี่คิดว่าซือหยูดื้อด้านและไม่ยอมแพ้ เขายังไม่คิดจะเลิกล้มความคิดต่อนาง นางทำได้แค่เย็นชาต่อเขา
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะต้องหยุดรักข้าซะ ข้าไม่มีวันรักเจ้าตอบได้หรอก!”
นางหันหลังและเตรียมจะจากไป ซึ่งเป็นตอนที่ซือหยูได้โอกาสพูด เขาจึงเอ่ยออกไป
“จือยี่ เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้รักเจ้าเลย”
ลู่จือยี่ที่เพิ่งจะหันกลับตัวแข็งทื่อ นางค่อยๆหันกลับมามองซือหยูด้วยอารมณ์อันหลากหลายที่ปรากฏบนใบหน้าขาวราวหิมะ
“เจ้าพูดอะไรนะ?”
ลู่จือยี่กัดฟันถาม นางเพิ่งจะรู้ว่านางอาจจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างผิดไปตั้งแต่ต้น
ซือหยูยิ้มเบาๆ สายลมเย็นพัดผ่าน ผมสีเงินเริ่มปลิวไหว รอยยิ้มเบาๆบนใบหน้านั้นดูงดงามยิ่งนัก
ซือหยูตอบอย่างจริงใจ
“ข้าก็มีคนรักของข้าอยู่แล้ว เจ้าเข้าใจทุกอย่างผิด สัตว์วิญญาณของข้าแปลงร่างเป็นเจ้าด้วยตัวมันเอง”
กิเลนน้อยพยักหน้าตามเมื่อสนับสนุนคำพูดของซือหยู มันเริ่มมองลู่จือยี่ด้วยดวงตากลมโตเผยให้เห็นถึงความสับสนแบบมนุษย์ในแววตานั้น
ดูเหมือนว่ามันจะสับสนกับท่าทางแปลกๆของสตรีที่ดูเหมือนมัน ลู่จือยี่ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ นางเริ่มหน้าแดง
นางเข้าใจทุกอย่างผิดหมดเลย! ซือหยูไม่ได้ตกหลุมรักนาง! มันเป็นแค่เพียงความคิดที่นางปรารถนาให้มันเป็น
ในตอนนี้ นางอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองเสียให้ได้ ความอับอายกำลังเข้ากัดกินจิตใจและแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
“เจ้าเพิ่งจะพูดว่าเจ้าไม่ได้รักข้า แต่เจ้าไปรักคนอื่นงั้นเรอะ?”
ลู่จือยี่ก้มหน้า เส้นผมอันสวยงามปกปิดใบหน้าเอาไว้ เขามิอาจเห็นสีหน้านางในตอนนี้ได้
ซือหยูยิ้มอย่างโล่งใจ
“เจ้าเข้าใจแล้วสินะ ใช่แล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าเลย…”
ลู่จือยี่ยังคงเงียบขณะที่ไหล่ทั้งสองข้างเริ่มสั่น ซือหยูตกใจ… นางร้องไห้งั้นรึ?
“คนอื่นสินะ…ฮ่าๆๆ…คนอื่นรึ!”
ลู่จือยี่เงยหน้า แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธแค้น ดูเหมือนนางจะควบคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้ว!
ซือหยูตกใจอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิด นางไม่ได้ร้องไห้ แต่นางตัวสั่นเพราะความโกรธ!
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
แม้ลู่จือยี่จะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงโกรธ แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเพราะความอับอายและความเศร้า
พรึ่บ!
ไผ่สวรรค์สีเงินปรากฏในมือของนาง พลังมิติแผ่ออกมาโอบล้อมนางเอาไว้ ดูเหมือนว่ามันจะฉีกทุกสิ่งให้เป็นชิ้นๆ!
ซือหยูนัยน์ตาสั่น ตั้งแต่อสูรเปิดทางออกจากกระโจมเทพสวรรค์ก็ดูเหมือนกฎเกณฑ์ของการจำกัดพลังจะหายไปด้วย ถ้าหากการโจมตีระดับนี้ได้ปะทะกับเขา เขาก็คงจะบาดเจ็บหนัก…หรือเขาอาจจะตายไปเลย!
ซือหยูไม่กล้าจะอยู่ที่เดิมต่อ เขาปิดบังกายด้วยหมวกไผ่และใช้เลี่ยงสายฟ้าขณะที่พูดอย่างโศกเศร้า
“เจ้าเป็นอะไรกัน? ถ้าข้ารักเจ้า เจ้าก็โกรธข้า แต่พอข้าบอกว่าข้าไม่รักเจ้า เจ้าก็ยังโกรธข้าอีก!”
คำพูดของเขาไม่ต่างกับน้ำมันที่ราดรดกองเพลิง
“อ๊าาา! เจ้าบ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า”
ลู่จือยี่โมโหร้ายยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดของซือหยู ืนางใช้พลังมิติไล่ล่าซือหยูอย่างไม่ลดละ
ทั้งคู่ทั้งหนีและไล่ล่า การโจมตีจากลู่จือยี่เองก็ค่อนข้างป่าเถื่อนรุนแรง
ซือหยูเกือบจะพบกับอันตรายร้ายแรง เขาโกรธตัวเองอยู่หน่อยๆกับเรื่องนี้ ความรู้สึกผิดต่อลู่จือยี่ลดหายไปมากเพราะเขากำลังถูกนางไล่ล่าอย่างไม่เป็นธรรม!
“หึ ข้าคงโกรธและบ้าไปเช่นนี้เพราะข้าปล่อยเจ้าไปในอดีต ข้าเสียใจจริงๆ!”
แสงสีท่องเปล่งประกาย ลู่จือยี่ตามซือหยูทัน
นี่มันบ้าอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงบ้าคนนี้? ซือหยูทั้งสับสนและงงงวย
“ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!”
ซือหยูกัดฟันและหันไปเผชิญหน้ากับนางเพราะมิอาจหนีได้อีก
ลำดับเมฆาห้าธาตุลอยออกมาเมื่อเขาอัดพลังชีวิตลงไป มันสร้างแสงสีครามล้อมตัวเขา แสงสีครามนี้สั่นอย่างรุนแรงเมื่อไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เข้าปะทะ
“ยังจะกล้าขัดขืนข้าอีกเรอะ?”
ลู่จือยี่โมโหยิ่งกว่าเดิม นางคิดย้อนไปถึงค่ำคืนที่มิอาจลืมเลือนที่ได้อยู่ร่วมกันในโลกหิมะของเวทความฝัน
ในครั้งนั้น ซือหยูค่อนข้างอ่อนโยนและทำตัวน่ารัก แต่ตอนนี้เขาต้องต่อสู้กับนาง! นางค่อนข้างโศกเศร้ากับเรื่องนี้และสงสัยว่าเขาอาจจะหยุดอ่อนโยนและน่ารักต่อนางก็เพราะว่าได้มอบร่างกายให้กับเขาไปแล้ว นางไม่พอใจอย่างมากเมื่อเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้
“วันนี้ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้”
ลู่จือยี่จู่โจมอย่างไร้ปรานี
ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ส่องแสงสีทอง ม่านแสงสีครามที่สั่นไหวแตกกระจาย ซือหยูตกใจมากเพราะม่านแสงนี้ควรจะทนรับการโจมตีในขั้นต้นของขอบเขตภูติได้สบายๆ แต่มันก็แตกสลายไปเพราะลู่จือยี่ที่มีฐานพลังเหลือแค่ภูติขั้นต้น!
พลังของนางน่ากลัวมาก! และทั้งสองก็ไม่มีสิ่งกีดขวางใดอีกแล้ว ไผ่เงินในมือลู่จือยี่ลอยไปหาซือหยู แหวนมิติของซือหยูส่องแสงพร้อมกับแสงสีน้ำเงินที่เปล่งประกาย วายุหมุนปรากฏตรงหน้าซือหยู
ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่พุ่งเข้าใส่เขาถูกแสงสีน้ำเงินสะท้อนกลับไป แต่หลังจากการปะทะ แสงสีน้ำเงินก็อ่อนลงจนเผยให้เห็นสิ่งของด้านใน
มันคือไม้สีน้ำเงินที่มีอักษรลึกลับมากมายสลักเอาไว้ มันคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของลูกหลานผู้เฝ้ากระโจมเทพสวรรค์ และมันยังเป็นสมบัติวิญญาณระดับกลาง!
“ตายซะ!”
ดูเหมือนว่าลู่จือยี่จะบ้าคลั่งไปแล้ว ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ในมือพลิกไปอีกทาง พลังมิติของมันถูกใช้ทำให้มันหายไปจากจุดเดิม
ต่อมามันก็ปรากฏที่ข้างหลังของซือหยู แสงสีทองจากไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เปล่งออกมา แต่ไม้สีน้ำเงินนั้นราวกับรู้ทิศทางและลอยมาก่อนล่วงหน้า มันสะท้อนไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์กลับไปได้ จากนั้นไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ก็ย้ายตัวไปเรื่อยๆขณะที่ไม้สีน้ำเงินเองก็ทำนายทิศทางได้อย่างถูกต้อง
แสงสีน้ำเงินและทองเปล่งประกายรอบตัวซือหยูไม่หยุด ไม่ว่ามุมของไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์จะแนบเนียนเจ้าเล่ห์เพียงใด ไม้สีน้ำเงินก็ทำนายทิศทางและปกป้องซือหยูได้ล่วงหน้าทุกครั้ง
เพราะสิ่งนี้มีฎีกาสวรรค์ของเทียนจี่จื้อ การทำนายทิศทางของมันไม่เคยพลาด
“ข้าแยกจากเจ้ามาไม่กี่วัน แต่เจ้ากลับได้สมบัติวิเศษมาใหม่อีกแล้ว! แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้”
ลู่จือยี่โมโหยิ่งขึ้นเมื่อจู่โจมซือหยูหลายครั้งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
แต่ก่อนที่นางจะมีโอกาสจู่โจมซือหยูอีกครั้ง ซือหยูได้พูดขึ้นมา
“พอได้แล้ว จบเรื่องนี้เถอะ”
เขาพูดและเรียกเหล่าลูกแก้วลำดับห้าธาตุออกมา มันกระจายไปทั่วและขังลู่จือยี่ไว้ภายใน
“ลำดับนี่อีกแล้วเรอะ! ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าขังข้าหรอก”
ลู่จือยี่ถอนหายใจแรง นางสะบัดฝ่ามือพร้อมกับแสงสีทองที่ส่องออกมา ม่านแสงของลำดับห้าธาตุฉีกออก
ซือหยูไม่แปลกใจกับผลที่ได้ เพราะด้วยแก้วพลังชีวิตหนึ่งดวงของเขา เขามิอาจจะใช้พลังสูงสุดของลำดับห้าธาตุได้ แต่ถ้าต่อให้เขาใช้พลังมันได้เต็มที่ มันก็ยังยากอยู่ดีที่จะขังคนที่แข็งแกร่งอย่างลู่จือยี่
ด้ายสีดำที่บางและยาวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของซือหยู มันปล่อยแสงอันลึกลับบางๆออกมา เส้นไหมเหล่านั้นเข้าไปรัดตัวลู่จือยี่ที่ยังอยู่ในลำดับห้าธาตุ
“เปิดทางให้ข้า!”
ใบไม้ทองคำมากมายบินออกมาจากอกของนาง มันคือใบของไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่มีพลังมิติ มันคมและแข็งแรงมากและตัดผ่านได้ทุกสิ่ง!
ฉั่วะ!
ใบไผ่ม้วนอยู่ในอากาศ มันสร้างมิติที่ฉีกขาดมากมายและหมุนไปมาอีกครั้งก่อนจะพุ่งเป็นสายแสงสีทองไปทางเส้นไหมสีดำ
ปั้ง!
แต่น่าตกใจยิ่งนัก แม้จะมีใบไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์มากมาย เส้นไหมสีดำก็ไม่ขาด มันยังสะท้อนใบไม้ทองคำกลับไปเพราะความเหนียวที่มีอีกด้วย
“เป็นไปไม่ได้”
ลู่จือยี่ค่อนข้างตกใจ
ใบไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์นั้นคมมาก มันสร้างรอยขีดข่วนได้แม้แต่กับสมบัติวิญญาณระดับสูง ไม่ต้องพูดถึงสมบัติวิญญาณระดับกลางตรงหน้านางเลย
แต่น่าตกใจที่เส้นไหมสีดำกลับสะท้อนใบไผ่กลับไปได้โดยไร้ความเสียหาย นางไม่รู้เลยว่าเส้นไหมสีดำนี้คือสมบัติที่เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้ และมันคือสายใยของแก่นแท้วิญญาณมังกร!
ถ้านางกลับไปมีฐานพลังขอบเขตจ้าวเทวะ นางก็อาจจะรับมือกับมันได้ แต่ฐานพลังของนางในตอนนี้ยังอยู่ในขอบเขตภูติ ฐานพลังระดับนี้ยังแข็งแกร่งไม่พอ
สายใยมังกรเข้ารัดตัวขณะที่นางตกใจ สายใยนี้บางราวกับเส้นผม มันรัดนางอย่างแน่นหนา
เท้าและมือของนางถูกมัดแน่น มีแค่ลำคอที่ไม่ได้ถูกรัดอะไร
“ปล่อยข้าออกจากไอ้ของโง่ๆนี่นะ!”
ลู่จือยี่เริ่มขัดขืน นางพยายามจะขัดขืนสายใยมังกร
แต่ยิ่งดิ้นมากเท่าใดมันก็ยิ่งรัดแน่นมากเท่านั้น นางดิ้นจนล้มหน้าคว่ำ
ปั้ง!
ลู่จือยี่เงยหน้า มีแสงสะท้อนจากน้ำตาของนาง นางจ้องมองซือหยูอย่างโศกเศร้า หัวใจของเขาสั่นเมื่อต้องเจอกับสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังเช่นนั้น
ซือหยูเริ่มที่จะเศร้าใจ เขาติดหนี้นางมาก เขาอยากจะทำดีกับนาง ดูเหมือนว่าตอนแรกลู่จือยี่จะให้อภัยเขาแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้กลับตาลปัตรไปหมด…
เขาเรียกลำดับห้าธาตุกลับมาและมองลู่จือยี่ที่ถูกมัด
“ก็ได้ ข้าเอาความบริสุทธิ์ไปจากเจ้า หลังจากที่ข้าจัดการเรื่องของข้าเสร็จแล้ว ข้าจะชดเชยให้กับเจ้า”
ซือหยูปลดสายใยมังกรเพื่อปล่อยนาง
ลู่จือยี่ตกใจ นางไม่คิดว่าซือหยูจะพูดเช่นนี้กับนาง นางเริ่มใจเย็นลงและได้สติแต่ก็ยังคงหงุดหงิด
นางมองหน้าซือหยูขณะที่รอให้ซือหยูแก้มัดให้นาง ใบหน้าอันสง่างามตอนนี้ดูไม่คุ้นเคยสำหรับนาง หลังจากที่ผ่านความขัดแย้งกันมา ทั้งคู่เริ่มที่จะหมางเมินต่อกัน
ความทรงจำที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันในกระท่อมหลังเล็กในโลกหิมะดูเหมือนจะจางหายไปจากนาง นางที่รู้ตัวรู้สึกเจ็บปวดจากส่วนลึกของหัวใจ
“เดี๋ยวก่อน!”
นางดูค่อนข้างกังวล นางลังเลอยู่นานก่อนจะพบว่าตัวเองมิอาจลืมเรื่องนั้น นางจึงรวบรวมความกล้าและเริ่มเอ่ยปาก
“ขะ..จริงๆแล้วข้า…”
ซือหยูหยุดมือ เขาเงยหน้ามองลู่จือยี่และรอให้นางพูดจบ เมื่อนางเห็นแววตาเวทนาจากซือหยูนางก็เงียบและเศร้าสร้อย
นางเลิกคิดที่จะอธิบายและลงท้ายด้วยการถอนหายใจ
“อย่าโกรธข้าเลย เจ้าเดินไปตามทางของเจ้าเถอะ ข้าก็จะเดินในทางของข้าเช่นกัน หลังจากนั้น…เรา…”
นางอยากจะบอกว่าเราจะเดินไปในโลกที่ต่างกันออกไป และจะไม่มีทางได้พบเจอกันอีก แต่นางก็รู้สึกว่าคำพูดเช่นนั้นหนักหนาเกินไป นางมิอาจพูดมาได้ในท้ายสุด
ฟึ่บ!
ในตอนนั้น วายุทมิฬพุ่งมายังใต้เท้าของทั้งสอง จากนั้นมันก็ผลักซือหยูออกไป วายุทมิฬนั้นมีพิษร้ายแรงจนน่ากลัว แม้แต่พื้นก็ละลายไปจนเป็นควันดำ ถ้ามันได้เจอกับร่างมนุษย์ คนผู้นั้นจะต้องตายโดยไม่เหลือกระทั่งวิญญาณ!
มันพุ่งเข้ามาเร็วเกินไป ทั้งซือหยูและลู่จือยี่มิอาจตั้งตัวทัน ไม่มีทางที่เขาจะหลบได้แน่! ซือหยูไม่มาเวลาที่จะเรียกสมบัติวิเศษออกมาด้วยซ้ำ!
เขาเริ่มใจเต้นแรงเมื่อความตายเข้าใกล้ตัว เขาประมาทจนลืมเรื่องฉีเทียนโจวไปจนสิ้น!
และตอนนี้เขากำลังพบกับสิ่งที่จะทำให้ตัวตาย เขาไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับการลอบโจมตีมาก่อน เขาใจหาย มีความคิดเดียวที่แล่นเข้ามา…
ข้าจะตายที่นี่จริงๆรึ?