The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 608
“ขออภัยที่ข้าต้องพูดตรงๆ แต่ถ้าท่านทำแบบนี้ ท่านจะทำให้ศิษย์ท่านต้องตายนะ…”
โลหิตปีศาจพูด
หยุนย่าสีหัวเราะ
“หึหึ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์ข้า ถ้าศิษย์ข้าไปถึงขั้นนั้น ก็ไม่สายเกินไปที่เจ้าจะได้ทำตามสัญญา”
“ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่ข้าหวังว่าท่านจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้า มันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่าน ใช่หรือไม่?”
หยุนย่าสีหัวเราะ
“ข้าทำตามสัญญาได้ตลอดนั่นแหละ เจ้าทนรอโอกาสของเจ้าซะเถอะ”
หลังพูดจบ หยุนย่าสีออกจากดวงวิญญาณของซือหยู
เขาเรียกม่านแสงมาปกคลุมกายซือหยูเอาไว้เมื่อเห็นว่าซือหยูเริ่มสงบตัวและหลับลึก ซือหยูที่อยู่ใต้ม่านแสงได้หายตัวไปหลงเหลือแต่เพียงร่างวิญญาณที่มองได้ยาก
พร้อมกันนั้นหยุนย่าสียังยกมือดึงกิเลนน้อยออกมาจากมุกวิญญาณเก้าหยกของซือหยู! กิเลนน้อยตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อได้เจอกับหยุนย่าสี มันนอนแผ่ลงกับพื้นและไม่กล้าจะขยับตัว
“โอ้? สัตว์วิญญาณของเจ้าฉลาดดีนี่ ดูเหมือนจะสัมผัสพลังข้าได้สินะ”
หยุนย่าสีวางมันลงในม่านแสงด้วย
“ข้ามีเรื่องต้องทำ เดี๋ยวข้าจะกลับมา ตอนนี้เจ้าปกป้องเขาซะ”
หยุนย่าสีพูดจบ เขาเงยหน้ามองจุดสูงสุดของกระโจมเทพสวรรค์ ร่างของเขาหายลับไป
ก่อนที่จะได้กระพริบตา ทางเข้าลานประลองลับสวรรค์ของจิวโจวได้ปิดลง จ้าวเทวะทุกคนกับยอดฝีมือกลับไปที่นั่นแล้ว
ผู้เฒ่าหยินหยางสร้างตราสัญลักษณ์ในมือและเรียกวงแสงสีทองกลับคืน ลู่จือยี่ที่ช่วยอยู่ข้างๆพูดเบาๆ
“ขอบคุณ”
ผู้เฒ่าหยินหยางพยักหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกแม่นาง”
แต่ในตอนนั้น ดวงตาเขาก็ปล่อยคลื่นแสงสีขาวและดำออกมา เขายังตะโกนออกมาอีก
“ใครน่ะ?”
เสียงตะโกนดังของเขาทำให้เหล่าจ้าวเทวะตกใจ พลังของคนที่เข้ามาจะต้องแข็งแกร่งมากถึงจะทำให้ผู้เฒ่าหยินหยางตอบสนองเช่นนี้
กู้ไทซูลอยอยู่กลางอากาศ เขามองรอบๆ แต่เขาก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมใดเลย
“ท่าผู้อาวุโส มีอะไรงั้นรึ?”
ผู้เฒ่าหยินหยางมองรอบๆด้วยความสงสัย เขาใจเต้นแรง
“เจ้าหนู ตอนที่ข้าเรียกวงแสงทองกลับคืนมา อาจจะมีร่างวิญญาณหนึ่งคนพุ่งเข้ามาที่นี่! เขาแข็งแกร่งมาก เหนือว่าทุกสิ่งที่ข้าเคยสัมผัส!”
ผู้เฒ่าหยินหยางเสียงสั่นด้วยความกลัว
กู้ไทซูเบิกตากว้าง แม้แต่ลู่จือยี่ยังต้องเป็นกังวล
“ท่านผู้อาวุโส ท่านก็เคยสัมผัสวิญญาณของอาจารย์ของพวกเรามาก่อนไม่ใช่รึไง?”
กู้ไทซูถามโดยมีนัยแอบแฝง
ผู้เฒ่าหยินหยางเข้าใจดีและใช้พลังจิตคุยกันโดยไม่ให้ใครรู้
“เจ้าหนู เราจะต้องรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์! ข้าสัมผัสของข้าไม่พลาด วิญญาณที่พุ่งเข้ามานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาจารย์ของเราเสียอีก!”
กู้ไทซูเบิกตากว้างกว่าเดิม บุรุษแห่งเมฆาม่วงคืออสูรเนรมิตร แล้วถ้าเขายังแข็งแกร่งไม่เท่าร่างวิญญาณนี้ พวกเขาก็คงพบกับเรื่องใหญ่แล้ว!
ฉีเทียนโจวกับสองจ้าวเทวะแห่งสำนักอสูรไม่รู้เรื่องการพูดคุยด้วยพลังจิตของทั้งสอง แต่ดูจากสีหน้า ร่างวิญญาณที่น่ากลัวมากจะต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว
“หรือว่าจะเป็นปีศาจที่ทำลายเสี้ยววิญญาณของฮงหลวน?”
ไม่รู้ว่าเสียงของใครเอ่ยขึ้นมา แต่เสียงนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบ
กู้ไทซูกับผู้เฒ่าหยินหยางมองหน้ากัน ทั้งคู่ดูเคร่งเครียด เพราะการทำลายเสี้ยววิญญาณของอสูรเนรมิตรเป็นได้แค่ฝีมือของร่างวิญญาณนี้เท่านั้น!
กู้ไทซูพยักหน้าในความเงียบ ดวงตาของเขาเยือกเย็นลง เขามองรอบๆ
“เอาล่ะ กระโจมเทพสวรรค์จะปิดแล้ว ข้าว่าทุกคนควรจะกลับตั้งแต่ตอนนี้!”
แม้พวกเขาจะไม่เต็มใจที่จะกลับ พวกเขาก็จะถูกบังคับให้กลับไปยังลานประลองลับสวรรค์โดยพลังของกระโจมเทพสวรรค์อยู่ดี
“หึ หยินหยู บอกข้าซิว่าใครจะช่วยเจ้าได้?”
กู้ไทซูหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ฉีเทียนโจวใจเย็นลง
“ฮื่ม! หยินหยู เจ้าต้องให้ข้าเชิญเจ้าออกมางั้นรึ?”
ทั้งสองที่เป็นปรปักษ์ต่อกันเข้ากันดีเป็นปี่ขลุ่ย พวกเขาไม่ได้คิดจะห้ำหั่นกันอีกแล้ว ทั้งคู่รู้ดีว่าหยินหยูนั้นเจ้าเล่ห์เพียงใด
ถ้าหากทั้งสองสู้กันเอง ความปั่นป่วนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และไอ้เด็กนั่นก็จะหาทางหนีไปได้!
ลู่จือยี่แอบอึดอัดใจ นางแอบมองหาซือหยูในบรรดาผู้คน นางเป็นห่วงเขามาก
ถ้าเขาโดนกู้ไทซูกับฉีเทียนโจวพบเข้า…เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน! นางรู้สึกขัดใจเมื่อเห็นคนของกู้ไทซูกับฉีเทียนโจวเริ่มตรวจสอบผู้คน
ถ้าหากใช้ร่างกายเดิมในการค้นหา ความเร็วในการหาคงจะเร็วกว่าตอนใช้ร่างเงาค้นหาอยู่มาก เพียงเหลือบตามองก็จะเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ทุกอย่าง
ลู่จือยี่ใช้นิ้วจิ้มตัวเอง นางรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย
ลู่จือยี่มองไปไกลด้วยความสงสัย กู้ไทซูกับฉีเทียนโจวสงสัยไม่ต่างกัน ใบหน้าของทั้งคู่ทั้งแปลกใจ ไม่เชื่อสายตา และไม่เต็มใจ เมฆาแห่งความหม่นหมองปกคลุมใบหน้าของทั้งสอง
ผู้เฒ่าหยินหยางเรียกแสงขาวดำกลับคืน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านั่นไปไหนกัน? กระโจมเทพสวรรค์จะปิดตัวลงแล้ว เจ้าเด็กนั่นควรจะกลับมาที่นี่สิ!”
กู้ไทซูหาต่อไปอย่างไม่เป็นสุข แต่เมื่อมองทุกคนใกล้ๆเขาก็แน่ใจว่าไม่มีใครเลยที่เป็นซือหยู ใบหน้าเขาเริ่มน่าเกลียดน่ากลัว
“หรือว่าเขาจะตายในกระโจมเทพสวรรค์?”
เพราะเสี้ยววิญญาณของฮงหลวนได้ลงไปยังที่นั่น เป็นไปได้ที่ซือหยูจะถูกเสี้ยววิญญาณของฮงหลวนสังหาร! ส่วนฮงหลวนเองได้ถูกกำจัดหลังจากที่ได้แก่นแท้วิญญาณโดยปีศาจ ปีศาจตนนั้นจะต้องเอาแก่นแท้วิญญาณไป!
“ร่างวิญญาณเมื่อครู่นั่น…”
ผู้เฒ่าหยินหยางเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้
เหล่าจ้าวเทวะเริ่มหวาดกลัวเมื่อได้ยินผู้เฒ่าหยินหยาง ปีศาจตนนั้นมีพลังที่น่ากลัวมาก นอกจากกู้ไทซูก็ไม่มีใครแล้วที่จะกล้าสู้กับมัน! ถ้าหากแก่นแท้วิญญาณถูกปีศาจนั่นเอาไปจริงๆ พวกเขาจะเสียแรงเปล่า!
จากนั้นเสียงเบาๆก็ดังมาจากเหล่าผู้คน
“เดี๋ยวก่อน ยังมีอีกความเป็นไปได้!”
คนที่พูดคือผู้เฒ่าหยินหยาง เขากำลังครุ่นคิด
“ก่อนจะมาที่นี่ ข้าได้อ่านตำราเกี่ยวกับอดีตของกระโจมเทพสวรรค์ที่หอตำรา ตามที่ข้าอ่าน ข้าบังเอิญได้อ่านบันทึกของคนคนหนึ่ง! คนคนนั้นมีชีวิตอยู่เมื่อร้อยปีก่อน ตอนที่มากระโจมเทพสวรรค์ครั้งแรก เขาได้เจอกับคนที่ไม่ได้มาจากจิวโจว! พวกนั้นอ้างว่าเป็นคนจากทวีปเฉินหลง! หรือว่าซือหยูจะมาจากทวีปเฉินหลง เขาเลยถูกส่งกลับไปทวีปเฉินหลง?”
เหล่าผู้คนเริ่มคิดตาม พวกเขาคิดถึงตอนที่ซือหยูสังหารศิษย์ของตนโดยไม่คิดหน้าคิดหลังและเอาสมบัติมาขายอย่างเปิดเผย ทุกคนเริ่มกระจ่างในความคิดขึ้นมา ซือหยูจะต้องเป็นคนจากต่างดินแดน!
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็เรื่องใหญ่แล้ว…”
หนึ่งในจ้าวเทวะจากสำนักอสูรพูดขึ้นมา
“ทวีปนั้นตั้งอยู่ในรอยต่อระหว่างจิวโจวกับโลกอสูร มันเป็นโลกของตัวเอง แม้แต่จ้าวเทวะอย่างพวกเราก็ไปในรอยต่อนั้นไม่ได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปล้างแค้นไอ้เด็กนั่น!”
คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าฉีเทียนโจวหม่นหมอง
“ถ้ามันมาจากที่นั่นก็ไม่แปลกใจเลยที่มันกล้าฆ่าศิษย์จากสำนักอสูรของเรา!”
ฉีเทียนโจวชิงชังซือหยูทั้งหัวใจ เขารู้สึกสิ้นหวังเมื่อได้บทสรุปว่าซือหยูเป็นคนจากทวีปเฉินหลง! จ้าวเทวะคนอื่นๆนั้นรู้สึกละอายใจและไม่คิดจะยอมรับความจริง
ยอดฝีมือระดับภูติหลายคนจากสำนักต่างๆดูไม่เป็นสุขเช่นกัน เพราะซือหยูสังหารคนจากสำนักตัวเองไปมาก มีคนมากมายที่เกลียดชังเขา ดังนั้นพวกเขาจึงผิดหวังเมื่อได้รู้ความจริง
แต่ลู่จือยี่เอง นอกจากจะตกใจเล็กน้อย นางยังเอามือปิดปากยิ้ม
“เจ้าตัวร้ายนั่นทำให้ข้าเป็นห่วงเก้อได้ยังไง!”
ไม่มีใครเห็นว่าดวงตาของกู้ไทซูแปลกไปเมื่อได้ยินเรื่องทวีปเฉินหลง เขายิ้มอย่างเยือกเย็น
“ทวีปเฉินหลง…หึหึ…อีกไม่นานเราจะได้เจอกัน…”
…
ห่างออกไปหลายล้านขุนเขาและแม่น้ำ
ภูเขางดงามเต็มไปด้วยบุพผานานาพรรณใต้แสงอาทิตย์สดใส มันคือดินแดนอันงดงามในดินแดนพรสวรค์ทั้งสิบแปด มันคือหุบเขาต้องห้ามที่เรียกกันว่าหุบเขาร้อยบุพผา
แม้ว่าจะดูงดงาม สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวหนึ่งร่างก็ได้อาศัยอยู่ที่นี่! นั่นคืออสูรเนรมิตรฮงหลวน!
ที่ชายขอบหุบเขา จ้าวเทวะสิบคนเต็มใจอารักขาแม้ฮงหลวนจะไม่ชายตามองพวกเขาก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังอยากจะอยู่ใกล้เคียงอสูรเนรมิตรเพราะทั้งนับถือและหวาดกลัว
ในหุบเขาที่บุพผาบานสะพรั่ง เหนือต้นไม้ใหญ่ สตรีผู้หนึ่งนั่งสมาธิอยู่ข้างบน นางสวมชุดยาวที่ขับส่วนโค้งเว้าน่ามองออกมา เพียงมองครั้งเดียวก็มากพอแล้วที่จะทำให้บุรุษหลงเสน่ห์
ในตอนนั้น เสี้ยววิญญาณหนึ่งได้แล่นมาถึงหุบเขา…
ซูม
นางคว้ามันเอาไว้ด้วยความแปลกใจ
“เสี้ยววิญญาณของข้าเสียหายหรือนี่? ฝีมือใครกัน?”
น่าทั้งสับสนและตกใจ นางวางเสี้ยววิญญาณลงในหน้าผาก เสี้ยววิญญาณที่มีความทรงจำเริ่มแสดงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในกระโจมเทพสวรรค์ให้นางได้เห็น
“อะไรกัน? ร่างวิญญาณโบราณรึ? ตระกูลสตรีเทวะ? นางยังมีความบริสุทธิ์ระดับสามด้วย!”
นางลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและตกใจ
แต่ต่อมาสีหน้านางก็เปลี่ยนไป
“บัดซบ! ไอ้คนคนนั้นทำพังหมดเลย! บังอาจทำลายแม้กระทั่งเสี้ยววิญญาณของข้า!”
นางไม่พอใจและก้มลงมองที่พื้น
“เดี๋ยวสิ…พลังปีศาจนั่น…มันรู้สึกคล้ายกับตระกูลเทพปีศาจ!”
นางตกใจอย่างมาก
“ถ้าหากมันเป็นตระกูลนั้น…อย่างนั้น…”
แต่จากนั้นก็มีเสียงชายแก่ดังขึ้นในหุบเขา
“อย่างนั้นจะอะไรของเจ้า? โชคดีที่ข้าตามเสี้ยววิญญาณเจ้ามาถึงที่นี่ ไม่งั้นถ้าเรื่องถูกเผยออกไปก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่”
“เจ้าเป็นใครฒ”
นางตกใจมาก มีคนเข้ามาในหุบเขาโดยที่นางไม่รู้!
ปั้ง
มิติตรงหน้านางถูกฉีกออก ร่างของชายแก่เดินออกมาจากช่องว่าง เขาคือหยุนย่าสีที่ตามเศษวิญญาณนางมาถึงที่นี่! ส่วนตัวนางก็คือร่างต้นของฮงหลวนอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ร่างวิญญาณ!”
ฮงหลวนเบิกตากว้าง นางมองร่างวิญญาณตรงหน้าด้วยความตกใจ!
“ข้าขอถาม ท่านใต้เท้าเป็นใครกัน?”
ฮงหลวนรวบรวมความกล้าถามออกไป เสียงนางสั่นเล็กน้อย
หยุนย่าสีเอามือไพล่หลัง เขาดูเยือกเย็นมาก บอกไม่ได้เลยว่าเขาโกรธหรือดีใจ
“ข้าน่ะรึ? ข้าเป็นอาจารย์ของซือหยู”
อะไรนะ? เขาเป็นอาจารย์ของไอ้เด็กนั่นรึ? ฮงหลวนตกใจมากกับเรื่องนี้
ถ้าหากเจ้านั่นรอดออกมาได้และกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง เช่นนั้นอาจารย์ก็ต้องรู้เรื่องและตามมาล้างแค้นสินะ?