The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 653
DND.653 – จบงานวิวาห์
ใบหน้าอันคุ้นเคยของหลิงเสี่ยวเทียนปรากฏออกมา เพียงแต่ใบหน้านี้ดูแก่ชราขึ้นไปอีก ร่างของเขาผอมบาง ใบหน้าตอบลงมาก เขาต่างจากเจ้าตําหนักผู้ทรงพลังคนเดิมยิ่งนัก
ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่น น้ําตาเกือบจะไหลออกมา เขามองใบหน้านี้และรู้ว่าหลิงเสี่ยวเทียน ต้องเป็นแบบนี้เพราะเขา!
หลิงเสี่ยวเทียนได้สละชีวิตตัวเองและส่งมอบสายเลือดปีศาจให้กับซือหยูเพื่อให้ซือหยูมีชีวิตอยู่ต่อ เขาได้มอบโอกาสให้ซือหยูได้มีชีวิตอีกครั้ง ส่วนตัวเขากลายเป็นคนแก่เฒ่าที่อ่อนแอ
ซือหยูหยิบเอาแก้วพลังทั้งหมดในแหวนมิติออกมาใส่ลงในโลงศพมังกรหมอก โลงศพ ดูดซับพลังชีวิตเข้าไปและปล่อยพลังที่ไหลเข้าสู่ร่างของหลิงเสี่ยวเทียนโดยตรง
ร่างกายที่ซูบหอมของเขาเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วที่รับรู้ได้และดูมีกําลังขึ้นมา ใบหน้าที่แก่ชราของเขายังคืนความหนุ่มกลับมาดังเดิม แต่เส้นผมขาวมิได้กลับมาเหมือนเดิมเลย
เปลือกตาเขาสั่นเล็กน้อย ดวงตาที่ดูสับสนเบิกโพลงขึ้นจ้องมองซือหยูที่เรียกเขาเบาๆ
“ท่านเจ้าตําหนักหลิง…”
หลิงเสี่ยวเทียนสับสนและมิอาจพูดได้ชัดเจน เพราะเขาหลับไปนานมาก! ต้องใช้เวลาอยู่บ้างก่อนที่เขาจะเริ่มพูดได้เบาๆ
“หยิน…หยินหยู เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
แม้ว่าเขาจะหลับใหล เขาก็รับรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ซือหยูพยักหน้าและยิ้มเบาๆ
ซือหยูเริ่มบอกหลิงเสี่ยวเทียนกับสิ่งที่เขาต้องเจอในสามปีที่ผ่านมาทั้งหมด รวมถึงตอนที่เขากลายเป็นราชาปีศาจหิมะทมิฬผู้คลั่งแค้นและการได้มาเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์คนปัจจุบัน
เมื่อหลิงเสี่ยวเทียนฟังจนจบเขาก็ถูกฟื้นฟูตัวจนเต็มที่แล้ว เขาหายใจเข้าลึก ความรู้สึกต่างๆพรั่งพรูออกมาเมื่อมองซือหยู
“ครั้งนั้น ข้าเพียงแค่ทําตามคําสัญญาที่จะปกป้องเจ้าตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจ ไม่คิดเลยว่าวันนี้เจ้าจะได้เป็นเจ้าพันธมิตร! ชะตาของเจ้าช่างตระการตานัก!”
หลิงเสี่ยวเทียนพูดขณะที่ถอนหายใจ
เขายอมรับและนับถือในสิ่งที่ซือหยูได้ทํา แต่เขาก็ไม่สบายใจกับเรื่องที่เขาออกจากอาณาจักรทมิฬและมาสู่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ นั่นเป็นเพราะในใจของเขายังกังวลอยู่กับอาณาจักรทมิฬ แม้ว่าเขาเกือบตายเพราะอาณาจักรทมิฬก็ตาม!
“ท่านเจ้าตําหนัก ข้าต้องไปอาณาจักรทมิฬเดี๋ยวนี้ ข้าจัดการศัตรูของพวกเราหมดแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
ซือหยูพูดราวกับรู้ว่าหลิงเสี่ยวเทียนคิดอะไร และก็เป็นอย่างที่เขาพูด หลิงเสี่ยวเทียนโล่งใจเมื่อได้ฟังคําชี้แจงของซือหยู
หลิงเสี่ยวเทียนพูดขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ ข้าขอฝากทวีปนี้ไว้กับเจ้า”
ซือหยูพยักหน้า
“ผู้เฒ่าจิ๋ว เจ้าตําหนักหลิง โปรดดูแลผู้เฒ่าฉิวกับจ้าวยีหยุตอนที่ข้าไม่อยู่ ข้าจะกลับมาในสามวัน”
ผู้เฒ่าจิวพยักหน้า
“เจ้าไม่ต้องห่วง จ้าวยี่หยูเพียงยังไม่ได้สติ ชีวิตของนางมิได้เป็นอันตราย ส่วนผู้เฒ่าจิวเองก็ต้องการโอสถพิเศษที่ข้าไม่มี แต่อาณาจักรทมิฬน่าจะยังมีอยู่ ตอนที่ไปที่นั่น จงบอกพวกเขา นางจะไม่เป็นไรนางเราได้โอสถมา”
หลังจากที่ได้ใช้โอสถที่นี่มาสิบวัน พวกเขาหยุดผู้เฒ่าฉิวไม่ให้อาการทรุดลงไปได้ แต่ชีวิตของนางยังตกอยู่ในอันตราย
“นี่เป็นโอสถที่เจ้าต้องเอาไป อย่าลืมเอามันกลับมาด้วย!”
ผู้เฒ่าจิวโยนสร้อยหยกให้ซือหยู
ซือหยูมองดูมันอย่างละเอียด
“โอสถหางวิหคเพลิงม่วง โอสถจันทร์ลับอดุล…เอาล่ะ ข้าจําได้แล้ว”
ซือหยูอ่านเบาๆ
“พวกท่านทั้งสองข้าจะไปแล้ว”
เขาลอยขึ้นและบินจากไป
“พลังวิญญาณอะไรกัน”
ผู้เฒ่าจิวรู้สึกถึง
หลิงเสี่ยวเทียนที่อยู่ข้างๆเอามือไพล่หลังและมองซือหยูที่บินออกไป เขายิ้มอย่างอ่อนโยนที่มุมปาก
“ผู้เฒ่าจิว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังต้องซ่อนสถานะตัวเองอยู่อีกรึ?”
คําพูดของเขาดูแปลก ตามระดับพลังและความอาวุโส หลิงเสี่ยวเทียนเป็นแค่คนธรรมดาเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าจิว แต่เขายังกล้าพูดกับผู้เฒ่าจิวเช่นนั้น!
ผู้เฒ่าจิวหรี่ตาตอบ
“หืม เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าเป็นแค่เจ้าตําหนักตําแหน่งเล็กจ้อยของอาณาจักรทมิฬจริงๆรึ?”
หลิงเสี่ยวเทียนหันไปมองผู้เฒ่าจิวด้วยความใจเย็น เขาไม่หวาดกลัวผู้เฒ่าจิวแม้แต่น้อย เขายังปล่อยพลังที่แข็งแกร่งออกมาอีก
เขาตอบกลับ
“ผู้เฒ่าจิว คงจะดีกว่าถ้าท่านไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ท่านจะตายเอาได้”
คําพูดของเขาค่อนข้างจริงจังและทรงพลัง ความมั่นใจนั้นมากพอจะทําให้คนใจสั่น หลิงเสี่ยวเทียนในตอนนี้ต่างกับในอดีตมาก และเขายังมีเรื่องลึกลับเพิ่มขึ้นมาอีก เขาดูไม่เหมือนหลิงเสี่ยวเทียนคนก่อนเลย
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ผู้เฒ่าจิวชักสีหน้าราวกับได้เจอกับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่
หลิงเสี่ยวเทียนมองเขาด้วยสายตาคมกริบ
“ข้าบอกแล้วว่าท่านไม่จําเป็นต้องรู้ ท่านรู้ว่าข้ามิได้มุ่งร้ายต่อท่านก็พอ”
ผู้เฒ่าจิวละสายตาไป ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าเขาจะใจเย็นลง
“อืม ข้าก็มิได้มีเหตุผลร้ายในการซุกซ่อนฐานะของข้า ข้าทําเพื่อป้องกันตัวเอง”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ซือหยูเป็นคนสําคัญต่อข้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับซือหยู ใครในโลกนี้ก็ช่วยชีวิตท่านจากความโกรธของข้าไม่ได้”
หลิงเสี่ยวเทียนทิ้งคําพูดเอาไว้และบินขึ้นทันที
แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาเหลือบมองผู้เฒ่าจิวอีกครั้งและมองผู้เฒ่าฉิว
“บาดแผลผู้เฒ่าฉิวร้ายแรง ถ้าข้าไม่พลาด นี้จะต้องเป็นบาดแผลจากอสูรเนรมิตร ท่านจงทําให้ดีที่สุด ข้าไม่อยากให้ซือหยูตายแบบนี้!”
อสูรเนรมิตร? ผู้เฒ่าจิวหันไปมองผู้เฒ่าฉิวด้วยความตกใจ เขาไม่รู้เลยว่านางโดนทําร้ายด้วยคนที่น่ากลัวเช่นนั้น!
“แล้วเจ้าจะไปที่ไหน?”
เมื่อหันไปอีกครั้งผู้เฒ่าจิวก็เห็นว่าหลิงเสี่ยวเทียนไปไกลแล้ว
หลิงเสี่ยวเทียนยิ้มอย่างลึกลับ
“บอกซือหยูว่าเราจะได้เจอกันในอีกไม่นาน”
ผู้เฒ่าจิวยืนคิดและพูดกับตัวเองเบาๆ
“ว่ากันว่าเขตหยินหยูคือสถานที่ที่อาณาจักรทมิฬถือกําเนิดขึ้นมา ยังร่ําลือว่ามันถูกปกป้องจากยอดฝีมือลึกลับมาหลายชั่วอายุคน หรือว่าหลิงเสี่ยวเทียนจะเป็นคนผู้นั้น?”
ซือหยูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ในสวน
เซี่ยนเอ๋อนั่งอยู่ใต้เงาไม้ในสวนเดียวกัน นางถือขนวิหคสีแดงเพลิง นางกําลังมองดูมัน ดูเหมือนจะมีอักษรประหลาดเขียนไว้ด้วย
ในตอนนั้นก็มีเงาของชายคนหนึ่งบดบังขนนก เซี่ยนเอ๋อเงยหน้าและพบกับใบหน้าอันคุ้นเคย
“พี่ซือหยู”
เซี่ยนเอ๋อยิ้มอย่างน่าหลงใหล ลักยิ้มสองข้างปรากฏที่แก้ม
“เจ้าดูอะไรอยู่รึ?”
ซือหยูย่อตัวลงสวมกอดนาง
เขียนเอ๋อหน้าแดง นางปล่อยตัวให้อยู่ในอ้อมกอดของเขา นางพิงศีรษะกับไหล่ของเขา ลมหายใจหอมหวานโชยออกมา
“มันคือขนนกที่ราชาภูติทิ้งไว้ให้ข้า มันเหมือนกับมีบางอย่างที่ใช้รักษาได้เขียนเอาไว้ แต่ข้าไม่เข้าใจ พี่ซือหยูช่วยข้าอ่านมันได้หรือไม่?”
นางถาม
การรักษารี? ซือหยูเหลือบมองด้วยความแปลกใจ…นี่เป็นวิชารักษาที่หาได้ยากอย่างที่สุด และมันใช้รักษาจุดกําเนิดพลังที่ถูกทําลายได้!
เป็นที่รู้กันว่าถ้าหากจุดกําเนิดพลังถูกทําลาย ฐานพลังก็จะแตกสลายไป แม้ว่าซือหยูจะค่อนข้างมีความรู้จากตําราที่ได้อ่าน เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องการรักษาจุดกําเนิดพลังที่ถูกทําลายมาก่อนเลย! เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่ามันเคยเกิดขึ้นบนโลกนี้
และวิชารักษานี้ยังแปลกมาก มันเป็นวิชาที่ต้องใช้พลังหยินจํานวนมากพร้อมกับวารีที่ราชาภูติทิ้งเอาไว้เพื่อสร้างจุดกําเนิดพลังอีกครั้ง จากนั้นจุดกําเนิดพลังใหม่ก็จะแตกต่างกับของคนธรรมดา….เพราะมันใหญ่กว่ามาก!
“ไม่คิดเลยว่าจะมีวิชาแบบนี้อยู่บนโลก!”
ซือหยูเดาะลิ้นสงสัย
“อ๊ะ! พี่ซือหยู พี่เข้าใจมันเร็วขนาดนี้เลยรึ?”
เซี่ยนเอ๋อเบ้ปาก ใบหน้านางดูหม่นหมอง
ซือหยูยิ้มและลูบหัวนาง
“ที่นี้ พอเจ้าโตขึ้น เจ้าก็ต้องรู้เรื่องแบบนี้เหมือนข้าแน่นอน”
แม้ว่านางจะรู้สึกว่าตัวเองต่ําต้อยกว่า เพราะวิชานี้เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะของคนสองคนที่เป็นบุรุษและสตรี คงจะแปลกถ้านางเข้าใจมันได้
“ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
เซี่ยนเอ๋อทําแก้มป่อง ดวงตาสดใสมองซือหยูด้วยความโมโห นั่นทําให้นางดูน่ารักยิ่งกว่าเดิม
ซือหยูมองใบหน้าของนางที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับอกเล็กๆ กลิ่นหอมหวานของนางทําให้ซือหยูรู้สึกรุ่มร้อน ถูกแล้ว เซี่ยนเอ๋อไม่ใช่เด็กอีกแล้ว
“เซี่ยนเอ้อ ถ้าเจ้าไม่มีธุระอะไร โปรดดูแลผู้เฒ่าฉิวกับจ้าวยี่หยู ข้าจะต้องออกเดินทาง ไม่นานก็กลับแล้ว”
ซือหยูพูด
เซี่ยนเอ๋อพยักหน้าเพราะเข้าใจสถานการณ์ของซือหยูดี
“ได้เลย พี่ซือหยูไปจัดการธุระเถอะ ข้าอยู่ที่นี้ได้ไม่เป็นอะไร อ๊ะ! ข้าเกือบลืมแน่ะ พี่จิงหยู อยากให้ข้านําสิ่งนี้ให้พี่ซือหยู…”
เซี่ยนเอ๋อหยิบเอาตําราออกมาจากกระเป๋า มันคือตําราสวรรค์จรัสนภา
เซี่ยจิงหยูขอให้เซี่ยนเอ๋อมอบมันให้กับซื้อหมูตอนที่อยู่ในกันบึ้งมังกร และเพราะเรื่องราวต่างๆมากมายจึงทําให้นางไม่มีโอกาสมอบมันให้ซือหยูจนถึงตอนนี้
“นี่มันอะไร?”
ซือหยูรับมันมาด้วยความสับสน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นตําราที่เซี่ยนเอ๋อเก็บไว้กับตัวมานาน
ซือหยูเป็ดมันด้วยความสงสัย เขาพบว่ามันคือตําราสวรรค์ที่เป็นสมบัติเทพ มันมีเจตจํานงของเจ้าของเดิมอยู่ด้วย ซือหยูสามารถใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งของตัวเองลบเจตจํานงที่เชี่ยจิงอยู่ ทิ้งเอาไว้ได้งว่ายๆ แต่เขากังวลว่าพลังนั้นจะทําให้เซี่ยนเอ๋อเป็นอันตราย
“พี่จิงหยูมอบมันให้ข้าตอนที่อยู่ในก้นบึ้งมังกร ตอนนั้นนางเลือกจะสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตข้า ข้าไม่รู้ว่าพี่ยี่หยูคือพี่จิงหยูในตอนนั้น แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่นางช่วยข้า”
นางคิดถึงตอนนั้นและประทับใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแม้เรื่องจะผ่านมานานแล้ว
ซือหยูตกใจ เขาเข้าใจแล้วว่าเจตจํานงของเจ้าของตําราจะหายไปถ้าหากผู้ถือครองตาย ตอนนั้นเชี่ยจิงหยูเตรียมตัวตายอยู่นาง นางจึงอยากจะให้ตํารานี้กับเขา สิ่งที่อยู่ในตําราเล่มนี้จะต้องสําคัญอย่างมาก!
ข้าจะเก็บมันไว้แล้วถามเชี่ยจิงหยูตอนที่นางได้สติคืนมาแล้ว”
ซือหยูหยักหน้าและจูบหน้าผากเซี่ยนเอ๋อเบาๆ
“เซี่ยนเอ๋อ รอข้าก่อนนะ ข้าจะรีบกลับมา”
เซี่ยนเอ๋อหน้าแดง นางโบกมือลาซือหยูอย่างเขินอาย นางมองซือหยูที่บินจากไป นางอุ่นใจมากเมื่อซื้อหมูหันกลับมามองนางเป็นครั้งสุดท้าย
ตลอดมา นางเป็นฝ่ายตามหลังเขามาโดยตลอด นางทิ้งตําแหน่งสําคัญในหัวใจไว้เพื่อเขา และนางที่อ่อนแอและอ่อนโยน ก็ต้องการเขาให้ปกป้อง
หลังจากที่ผ่านสี่ปีอันยากลําบาก สุดท้ายพวกเขาก็ได้กลับมาสวมกอดกันอีกครั้งดังเดิมอย่างที่อยู่บนเกาะเฉินยี่ นางมีความสุขมากเมื่อรู้ตัวว่าอดีตกําลังจะกลับมา
“เซี่ยนเอ๋อ รอข้าก่อน พอข้าจัดการเรื่องทวีปเสร็จแล้ว เราจะได้แต่งงานกันเสียที”
ซือหยูยิ้มและบอกนางด้วยความมั่นใจ
ถึงเวลาแล้วที่เขากับเซี่ยนเอ๋อจะได้ทํางานแต่งงานที่ถูกขัดขวางให้สําเร็จลุล่วง