The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 658
658 – สาวน้อยโอหัง
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อสามปีก่อนทําให้ทวีปเฉินหลงพบเจอกับภัยพิบัติ แต่มันก็ได้สร้างภูติชุดใหม่ขึ้นมาด้วยพลังวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไป ไป่จงคือหนึ่งในผลของปรากฏการณ์ครั้งนั้น
ซือหยูไม่เคยได้ยินเรื่องภูติคนอื่นในทวีปเฉินหลงมาก่อน แต่วันนี้เขาก็ได้พบว่าหัวหน้าผู้ตรวจการได้เป็นภูติแล้ว! นั่นหมายความว่าไปจงจะต้องไม่ใช่คนเดียวที่ได้กลายเป็นภูติจากช่วงเวลานี้!
ซือหยูยิ่งระวังตัวขึ้นเมื่อมั่นใจในเรื่องนี้ เขาจะต้องรอบคอบให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ระหว่างที่ไปอาณาจักรทมิฬ ซือหยูหยิบเอาชุดจากตําหนักศีลหวนคืนมาสวม
ชุดนี้เป็นสีขาวและออกแบบมาอย่างเรียบง่าย ถ้าหากไม่รู้จักสัญลักษณ์ที่หน้าชุด ชุดนี้ก็ไม่ต่างจากชุดธรรมดาที่ไม่น่าสนใจเท่าใดนัก
เมื่อเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รอบกายซือหยูรายล้อมไปด้วยสายฟ้า เขาเดินทางด้วยวิชาเลี่ยงสายฟ้า
หลังจากครึ่งวัน ณ กลางทวีป
เหนือยอดเขาสูง สายฟ้าเปล่งประกายพร้อมกับคนหนึ่งคนที่เดินออกมา
“เจอกันอีกแล้วนะ..อาณาจักรทมิฬ”
ซือหยูมองท้องนภาเงียบสงัด ยอดเขาลูกใหญ่ยื่นสูงมาถึงหมูเมฆ มันดูยิ่งใหญ่อย่างมาก
ซือหยูเคยถูกจับมาที่นี่โดยอินทรีเทวะ ในวันนี้ เขากลับมาในฐานะของหัวหน้าขุมกําลังเก่าแก่
ยอดเขาลูกใหญ่นี้คือยอดเขาแรกแห่งทวีป มันตั้งอยู่ตรงกลางทวีปเฉินหลงและถูกอาณาจักรทมิฬยึดครองมาโดยตลอด มันยังเคยใช้เป็นตําหนักหลักของอาณาจักรทมิฬอีกด้วย
ตัวยอดเขาเองก็เป็นดั่งสัญลักษณ์ของอาณาจักรทมิฬ แต่ตอนนี้มันกลับถูกโอบล้อมโดยกองทัพใหญ่
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆและเห็นกองทัพที่มีคนราวเก้าร้อยคน พวกเขายืนรายล้อมยอดเขา
ทหารแต่ละคนมีพลังอย่างน้อยในระดับกึ่งภูติ มีภูติระดับหนึ่งอยู่ด้วยสิบคน กิ่งภูติที่มีแก้ว สามดวงมีอยู่นับไม่ถ้วน ซือหยูแอบตัวสั่นเมื่อมองทหารเหล่านี้
ว่ากันว่าอาณาจักรทมิฬถูกกองทัพใหญ่จากต่างโลกล้อมเอาไว้ นอกจากมันจะเป็นเรื่องจริงแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ก็ยิ่งแย่กว่าคําร่ําลือ
เหล่ากองทัพภูติทั้งแปดร้อยคนนี้มีกําลังเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของกองทัพต่างโลก ถ้าหากกองทัพนี้ได้จู่โจมพันธมิตรผู้คุมสวรรค์กับตําหนักรองในวันนั้น ทั้งสองฝ่ายก็คงจะถูกกําจัดเป็นแน่!
อาณาจักรทมิฬถูกปิดล้อมทุกทาง ทุกคนที่ปรากฏตัวจะกลายเป็นเป้าหมายทันที ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าจะไม่มีวี่แววของผู้คนอื่นในยอดเขาแห่งนี้เลย
ซือหยูสับสนยิ่งกว่าจากสิ่งที่ผู้เฒ่าจิวเคยพูดถึง ผู้เฒ่าจิวเคยบอกว่าอาณาจักรทมิฬมีพลังมากพอที่จะกําจัดคนจากต่างโลกทั้งหมด เขาสงสัย
แล้วทําไมพวกเขาถึงเลือกที่จะถูกล้อมแทนที่จะสู้กลับเล่า?
พวกเขากําลังวางแผนอะไรกันอยู่?
ซือหยูจ้องมองยอดเขาใหญ่ด้วยความสับสนบนใบหน้า พื้นที่รอบยอดเขาคือเมืองหนึ่ง มันเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกเมืองในทวีปเฉินหลง
ตอนนี้เมืองถูกยึดครองโดยคนจากต่างโลก มันได้กลายเป็นดินแดนของศัตรู ซือหยูเดาว่าคนในเมืองได้ย้ายไปจากภูเขาหมดแล้ว
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองพื้นที่กว้างใหญ่ในยอดเขา ภายในนั้นว่างเปล่า แต่เมื่อใช้เนตรวิญญาณมองไปยังกลางยอดเขา ที่นั่นก็เต็มไปด้วยผู้คนอย่างที่เขาคิด
มีร้านรวงและคนหลากหลายประเภทอยู่ที่นั่น ภาพที่ได้เห็นไม่ต่างกับว่ามันเป็นเมือง!
แม้โลกรอบข้างจะตกอยู่ในความปั่นป่วน ชีวิตของสามัญชนที่นี่ก็ดําเนินต่อไป เหล่าธุรกิจเฟื่องฟูขึ้นเพื่อคนพยายามจะเพิ่มพลังก่อนที่สงครามครั้งใหญ่จะมาถึง ดังนั้นการค้าจึงดีขึ้นกว่าปกติ
ซือหยูพยักหน้าเบาๆ เขาแอบคิดว่าของที่ซื้อขายกันจะมีโอสถสองประเภทที่เขาต้องใช้ช่วยผู้เฒ่าฉิวหรือไม่
แต่ในตอนนี้เขาต้องคิดวิธีที่จะเข้าไปถึงกลางยอดเขา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้แผน
ซือหยูรู้ว่ากองทัพนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเอาชนะทุกคนด้วยตัวคนเดียวเพราะพวกมันมีถึง แปดร้อยคน แต่เขารู้ว่าจํานวนที่มาก บางครั้งก็มีจุดอ่อนอยู่
ยังเป็นไปได้ที่ซื่อหยูจะพึ่งพาสมบัติผ่านกองทัพใหญ่นี้ไป แต่สิ่งที่เขากังวลอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือยอดเขาของอาณาจักรทมิฬ
เพราะยอดเขานี้ต้องรับมือกับกองทัพใหญ่มาตลอดสามปี แต่จนถึงตอนนี้กองทัพศัตรูก็ยังบุกเข้าไปไม่ได้ ยอดเขานี้จะต้องมีพลังที่ขัดขวางไม่ให้คนเข้าถึง
ถ้าซือหยูไปถึงหน้ายอดเขาแต่เข้าไปไม่ได้ นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงถึงที่สุด ซือหยูลูบคางครุ่นคิด
หืม? จู่ๆเขาก็เลิกคิ้ว
เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันราวกับมีจิตวิญญาณหนึ่งเพิ่งจะปรากฏออกมาและหายไปในพริบตาเดียว
การเคลื่อนไหวนั้นเหมือนจะมาจากสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ถ้าหากเป็นที่อื่นซือหยูก็อาจจะไม่สนใจ แต่เขามองข้ามไม่ได้ในสถานที่อันตรายเช่นนี้
ดวงตามืดบอดเปล่งแสง เขาใช้เนตรวิญญาณมองทะลวงหลายสิ่งตรงหน้า เมื่อผ่านสิ่งกีดขวางมากมายเขาก็ได้พบกับต้นตอของการเคลื่อนไหวนั้น
เขาเห็นสามคนซ่อนตัวอยู่อย่างดี มีชายสองและสตรีอีกหนึ่ง
ชายสองคนเป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่ม ชายวัยกลางคนดูหน้าตาธรรมดาและไม่น่าสนใจ เขาเป็นคนที่จะถูกผู้คนเมินเฉย
ส่วนชายหนุ่มก็เช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขาไม่ดึงดูดเอาเสียเลย
ส่วนผู้หญิงนางนั้นไม่เลว นางอายุราวยี่สิบปีและตัวเล็กมาก ใบหน้าของนางดูดีราวกับตุ๊กตา
นางมีผมยาว หน้าม้าปิดหน้าผากมิดเผยให้เห็นดวงตากลมโต
มีดอกไม้ป่าจนศีรษะที่ทําให้นางดูน่ารักขึ้น แต่ใบหน้าของนางดูโอหัง
“ท่านพ่อ ทําไมเรายังไม่ไปอีกล่ะ? ยันต์เร้นกายของเราไม่ได้ทําให้เราเข้าอาณาจักรได้เลยหรอกรึ?”
สาวน้อยผู้หยิ่งยโสถามอย่างไม่พอใจ
ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้นางหัวเราะ
“หลิงเอ๋อ เจ้าตระกูลกําลังดูการเคลื่อนไหวของศัตรูน่ะ เราประมาทไม่ได้ถึงจะมียันต์ที่อาณาจักรมอบให้”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า อย่ามาพูดแทรก”
หลิงเอ๋อกลอกตามองเขา
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจและไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเลย แววตาของเขาล้ําลึกยิ่งขึ้น เมื่อมองหลิงเอ๋อ เขามิอาจเก็บซ่อนความรักในแววตาได้
“หลิงเอ๋อ อย่าพูดแบบนั้นกับยิ่งเฉิงสิ”
ชายวัยกลางคนที่เป็นเจ้าตระกูลตําหนินาง
“ยิ่งเฉิงพูดถูก เราจะประมาทไม่ได้”
หลิงเอ๋อบ่น
“ท่านพ่อไม่รักข้าแล้ว
“เอาเถอะ…”
ชายวัยกลางคนเปลี่ยนน้ําเสียง เขาดูจริงจังขึ้น
“ข้าไม่เจอการเคลื่อนไหวของศัตรูเลย แต่ข้าเห็นคนอื่น!”
แววตาเขาเฉียบคมขึ้น
“ท่านเจ้าตระกูลพูดถึงใครกัน?”
ยิ่งเฉิงถามด้วยความแปลกใจ
เขารู้ว่าเจ้าตระกูลเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง ง่ายดายนักที่เขาจะผ่านดงศัตรูเข้าไป เขาตอนนี้ เขาดูระวังตัวเป็นอย่างมาก ยิ่งเฉิงจึงเริ่มเป็นกังวล
“อะไรนะ? คนอื่นรึ? เขาอยู่ไหน?”
หลิงเอ๋อถามและหันไปมอง นางพยายามจะมองหาคนด้วยดวงตากลมโตนั้น
เจ้าตระกูลตอบเบาๆ
“เจ้าไม่สังเกตเห็นชายบนยอดเขา? เขาอยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว แต่ข้าเพิ่งจะรู้ตัว!”
ยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อตกใจ หลิงเอ๋อถามด้วยความสงสัย
“ท่านพ่อ ทําไมข้าไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเขาล่ะ? ข้ามีวิชาสังเกตพลังนะ มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าของท่านพ่อด้วย!”
หลิงเอ๋อโผล่หัวขึ้นจากที่กําบังไปยังยอดเขา นางใจกล้ามาก
“อ๊ะ! มีคนอยู่จริงๆด้วย… อื้ม…”
นางถูกชายวัยกลางคนเอามือปิดปาก เขารีบพูด
“ชู่ว!”
หลิงเอ๋อตกใจมาก
“ท่านพ่อ นั่นมันใครนะ? ทําไมข้าไม่รู้ตัวถึงเขาเลย? วิชาระดับอํามฤตของข้าต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะหนึ่งดิ์สิ”
นางพูดต่อ
“ร่างกายมนุษย์ต้องปล่อยพลังออกมาอยู่แล้ว ข้าถึงรับรู้ได้ง่าย แล้วทําไมข้าถึงไม่รู้สึกว่าพลังรอบๆเปลี่ยนไปในตอนที่เขามาล่ะ?”
หลิงเอ๋อถามด้วยความตกใจและสงสัย
ยิ่งเฉิงตกใจไม่ต่างกัน
“เกิดอะไรขึ้นรีท่านเจ้าตระกูล?”
ชายวัยกลางคนพูดเบาๆอย่างเดิม
“มันยังไม่ชัดอีกรี? มีแค่สองอย่างเท่านั้น! อย่างแรกคือเขามีพลังเหนือกว่าพวกเรามาก วิชาที่ใช้สังเกตการณ์จะทําให้รู้ความเปลี่ยนแปลงในระยะหนึ่งก็จริง แต่ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่า สัมผัสของพวกเราก็จะถูกแรงกดดันวิญญาณกดลงไป เราถึงไม่สังเกตถึงอีกฝ่าย”
เขาพูดต่อ
“อย่างที่สอง เขาอาจจะมีวิชาลับที่ทําให้เขาซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เป็นวิชาของเราก็หาเขาไม่เจอ เป็นไปได้ว่ามันเป็นวิชาที่เหนือกว่าระดับอํามฤต”
เมื่อพูดจบ ยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอกขึ้นมาพร้อมกัน
“ท่านพ่อ อายุเขาเท่าๆกับพวกข้า เขาจะแข็งแกร่งกว่าท่านพ่อได้ยังไง? เขาจะต้องมีวิชาลับที่ซ่อนพลังได้แน่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะวิชาลับ มันก็อาจจะเป็นเพราะโอสถบางอย่างใช่หรือไม่?”
หลิงเอ๋อถาม
เจ้าตระกูลเตือนนางอีกครั้ง
“หลิงเอ๋อ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าดูคนแต่ภายนอก? อายุมิได้ตัดสินทุกอย่าง! เจ้าไม่เห็นคนหนุ่มจากต่างโลก? พวกนั้นแข็งแกร่งกว่าข้าตั้งหลายคน!”
หลิงเอ๋อทําแก้มป่องและไม่พอใจเมื่อถูกสั่งสอน ยิ่งเฉิงละสายตาและแสร้งทําเป็นกําลังคิ ดอะไรบางอย่าง
เขาพูดขึ้นมา
“ท่านเจ้าตระกูล ข้าคิดว่าหลิงเอ๋อพูดถูก ชายคนนี้เหมือนกับพวกเรา เขาซ่อนตัวอยู่ที่รอบๆ เขาไม่น่าจะเป็นคนจากต่างโลก แต่เป็นคนในทวีป!”
เขาพูดต่อ
“แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามียอดฝีมือที่แข็งแกร่งรุ่นราวคราวเดียวกันในทวีปเลย แม้เจ็ดจ้าวแห่งความมืดรุ่นใหม่ก็ไม่มีใครที่แข็งแกร่งไปกว่าท่าน”
คําอธิบายของยิ่งเฉิงดูมีเหตุผล แม้จะมียอดฝีมือมากมายในเฉินหลง แต่ก็ไม่มีกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงอยู่เลย แต่ชายวัยกลางคนก็ส่ายหน้า
“ยังไม่แน่หรอก พวกเราสามคนออกมาทําภารกิจสามเดือนแล้ว พวกเจ้าลืมตํานานของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไปแล้วรึ? พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่กําจัดภูติระดับสามได้เพียงพลิกฝ่ามือ พวกเจ้าไม่รู้เรื่องหยินหยูเลยรึ?”
หยินหยู…แค่สองพยางค์ก็ทําให้วัยรุ่นทั้งสองคนราวกับถูกฟ้าผ่า พวกเขาเริ่มเจียมตัว
“ยะ อย่าไปนับเขาสิท่าน”
ยิ่งเฉิงตอบอย่างนับถือ
“ถ้าข่าวเป็นเรื่องจริง เขาก็คือตํานานสูงสุดของทวีปเฉินหลง เทียบได้เหมือนกับราชาแห่งความมืดของเรา พวกข้าจะไปเทียบกับคนเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ยิ่งเฉิงเป็นชายหนุ่มที่เป็นภูติระดับสอง ตามมาตรฐานของเฉินหลงแล้วเขาคือยอดฝีมือสูงสุดของโลกทั้งใบ แต่ถ้าเทียบกับซือหยู เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาผู้ต่ําต้อยเท่านั้น