The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 670
670 – มุกเงินเลี่ยงสายฟ้า
ซือหยูรู้ว่าเป็นเรื่องสําคัญที่จะให้โอกาสทุกคนอีกครั้ง เพราะเขาขโมยของอาณาจักรทมิฬมาครึ่งหนึ่งแล้ว นั่นมากพอแล้วที่จะทําให้อาณาจักรทมิฬหวาดกลัว!
ถ้าเขาไม่เหลือไว้อีกครึ่งส่วรน อาณาจักรทมิฬก็คงจะไม่รอดจากศัตรูและถูกกองทัพใหญ่ของห้าศักดิ์สิทธิ์ล้างบางแน่นอน เขาตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้อาณาจักรทมิหล่มสลายก่อนสงคราม
จากนั้นรอยแยกมิติเหนือยอดเขาก็เริ่มจะปิดตัวลง! ซือหยูตกใจมาก เขาคว้ากิเลนน้อยและพุ่งไปก่อนที่รอยแยกจะปิดสนิท
เขารู้ดีว่าถ้าเขาติดอยู่ที่นี่จะเกิดปัญหาใหญ่ถ้ามีคนจากอาณาจักรทมิฬมาที่นี่อีกครั้ง นั่นก็เพราะคนของอาณาจักรทมิฬจะพบทรัพยากรที่หายไปและรู้ว่าเป็นเพราะฝีมือของซือหยู!
โชคดีที่ซือหยูออกมาทันก่อนที่รอยแยกจะบิด แต่เมื่อออกมาถึงข้างนอกซือหยูก็เห็นเงาคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวไกลไปจากเขาในหมอกสีม่วง
คนผู้นั้นยังไม่พบว่าซือหยูอยู่ตรงนี้ เขาหลบหมอกสีม่วงอย่างระมัดระวัง
ไป่จงงั้นรึ? เขามาทําอะไรที่นี่?
ซือหยูแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดว่ามันคือผู้รอดชีวิตจากที่นี่ เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นไป่จง!
ไป่จงเคลื่อนไหวช้ากว่าเดิมคล้ายกับถูกพิษ เขาไม่ได้เร็วเท่ากับภูติเลย
ม้าเมฆาก่อนหน้านี้จะต้องทําให้เขาบาดเจ็บ แต่โชคดีที่เขาแค่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย แต่พลังชีวิตที่เขาปล่อยออกมานั้นทําให้ซือหยูสนใจ
“ก็ไม่เลวนัก”
ซือหยูปิดบังพลังของตัวเองและบินออกไปให้เร็วที่สุด
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซือหยูกลับมาถึงประตูทางออก เขาพาตัวเองกลับไปยังโลกภายนอกที่ชั้นเจ็ด เขามีนหัวอยู่บ้างเมื่อกลับไป
แต่ก่อนที่ซือหยูจะได้ลืมตาก็มีสายลมเย็นๆพุ่งมาที่เขา พอลืมตาก็ได้เห็นแววตาที่ทั้งโกรธทั้งอายจ้องมองเขา และยังมีกระบี่ยาวสีขาวหิมะกําลังจะซัดใส่ใบหน้าของซือหยู!
“ไร้ยางอาย!”
คําพูดนี้มาจากสตรี นางพูดด้วยความโกรธ และดูเหมือนว่ากระบี่จะพุ่งเข้าใส่ซือหยูเร็วกว่าเดิม
“เจ้าตําหนักหนานกวง? ทําอะไรของเจ้า?”
เมื่อบอกได้ว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร ซือหยูยื่นสองดัชนีเข้าไปจับกระบี่และปัดมันออกไป
กระบี่คมกริบพลาดใบหน้าซือหยูไปหวุดหวิด แต่พลังของกระบี่ก็ตัดเอาเส้นผมสีเงินของเขาไปหนึ่งเส้น
“อ๊ะ…ซือหยูรึ?”
แสงรอบตัวซือหยูได้หายไปและเผยให้เห็นตัวของเขา เจ้าตําหนักหนานกวงอ้าปากด้วยความตกใจ
นางใจเย็นลงและเก็บกระบี่กลับไป นางพูดราวกับคนคลั่ง
“ขออภัยเจ้าพันธมิตรซือ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของนางเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก นางหวาดกลัวซือหยูอย่างมาก
“เจ้าทําแบบนั้นทําไมกัน?”
ซือหยูถามและดีดเส้นผมที่ขาดออกไป
เจ้าตําหนักหนานกวงหน้าแดงขึ้นมาทันที ซือหยูไม่รู้ว่านางเป็นกังวลหรือเขินอายกันแน่
“เจ้าพันธมิตรซือหยู ข้าขอโทษ! ข้าเข้าใจผิดว่าท่านเป็นคนที่ลวนลามข้า!”
“ลวนลามรึ?”
ซือหยูใจเต้นแรง
“มีคนแตะตัวเจ้าตอนที่เจ้าหมดสติอยู่งั้นรึ?”
ตอนที่เขาส่งเจ้าตําหนักหนานกวงออกจากมิติพิษ ตอนนั้นนางยังไม่ได้สติ หรือว่ามันจะเกิดขึ้นตอนนั้น? ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆและสงสัยว่าทําไมอาณาจักรทมิฬถึงมีแต่คนน่าเวทนาเช่นนี้
“ใช่แล้ว มันยังขโมยสร้อยล้ำค่าของข้าไปด้วย! มันฉวยโอกาสข้า ไร้ยางอายนัก! ข้าจะรอที่นี่ ถ้ามันออกมา ข้าจะถลกหนังมันออกและบดขยี้กระดูกมันซะ!”
เจ้าตําหนักหนานกวงพูดด้วยความชิงชัง
ทันใดนั้นนางก็เห็นว่าใบหน้าซือหยูแปลกไป นางจึงถาม
“เจ้าพันธมิตรซือ ท่านเป็นอะไรรึ?”
ซือหยูใบหน้าตึงเครียดอย่างแปลกๆ หรือว่าคนลวนลามที่นางพูดถึงจะเป็นข้า?
ซือหยูแสร้งทําเป็นผายมืออย่างเย็นชา
“เจ้าพูดถึงสร้อยเส้นนี้ใช่หรือไม่?”
สร้อยสีหยกในปรากฏในมือซือหยูพอดี เจ้าตําหนักหนานกวงตัวแข็งทื่อ
“เจ้าพันธมิตรซือ สร้อยเส้นนี้ ทําไมถึงอยู่กับท่าน?”
นางรู้สึกราวกับหัวจะระเบิด…หรือว่าซือหยูจะเป็นคนที่ลวนลามข้า?
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
ซือหยูจองนางอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคิดว่าข้าจะรักษาเจ้าด้วยพลังชีวิตได้หรือไม่ถ้าไม่เอาสร้อยออกมา? เจ้าคิดว่าเจ้าจะมาพูดต่อหน้าข้าได้แบบนี้ถ้าไม่มีใครช่วยชีวิตเจ้าเมื่อครู่รึ?”
เขาถาม
“ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่รู้สํานึกแล้วทําร้ายคนที่ช่วยเจ้า ข้าก็คงปล่อยให้เจ้าตายเพราะพิษไปแล้ว! แต่ตอนนี้ข้ากลับได้ชื่อเป็นพวกลวนลามรี! ตลกสิ้นดี!”
ซือหยูดูโกรธมากขณะที่พูด เจ้าตําหนักหนานกวงใจเต้นอย่างรุนแรง นางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าสร้อยนั้นสามมารถดูดซับพลังชีวิตจากภายนอกได้ด้วย
ซือหยูพยายามจะช่วยนางจริงๆ! ความโกรธของนางหายไปจนหมดสิ้น นางละอายใจมากที่เห็นว่าซือหยูโกรธเพียงใด นางเริ่มที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว
“ขออภัยท่านเจ้าพันธมิตรซือ ท่านช่วยข้าเอาไว้ ข้าควรจะขอบคุณท่าน แต่ขากลับหันกระบี่ใส่! ข้าขอโทษ”
เจ้าตําหนักหนานกวงขอโทษด้วยความละอายใจ
“ท่านรับสร้อยเส้นนั้นเป็นของขวัญก็ย่อมได้ คิดว่าเป็นคําขอโทษจากข้า”
เจ้าตําหนักหนานกวงมองสร้อยในมือซือหยู นางดูเจ็บปวดมากที่จะต้องทิ้งมันไป
ซือหยูโยนสร้อยหยกไปหาทางและถาม
“ข้าจะเอาสร้อยของเจ้าไปทําไม? เอาคืนไปแล้วก็ไปซะ!”
ซือหยูแสร้งทําเป็นเย็นชา แต่ความจริงแล้วเขาอับอายอย่างมาก เจ้าตําหนักหนานกวงรับสร้อยเอาไว้ทั้งที่ตัวสั่น นางโค้งคํานับเขาและก้าวออกไป
นางยังขอโทษเขาไม่หยุด ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา
“เจ้าพันธมิตรซือ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เจ้าตําหนักหนานกวงจากไปด้วยความรู้สึกผิด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนางถึงรู้สึกแปลกๆ เพราะนางคือคนที่ถูกฉวยโอกาส นางเริ่มสงสัยว่าทําไมนางถึงต้องขอโทษ นางทั้งสับสนและคิดอะไรไม่ออก แต่ตอนนั้นนางก็เดินออกมาไกลแล้ว
ประตูส่องแสงอีกครั้ง ไป่จงปรากฏตัวออกมา
“เจ้าพันธมิตรซือออกมาครู่หนึ่งแล้ว ท่านคงจะได้แสงจันทร์มาแล้วสินะ”
ไป่จงคิดว่าซือหยูมารอข้างนอกอยู่นานแล้ว
ซือหยูแอบเหลือบมองทางที่เจ้าตําหนักหนานกวงเพิ่งจะเดินออกไป เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้านางยังอยู่ไป่จงก็คงจะถามคําถามกับนาง จากนั้นไป่จงก็จะรู้ว่าซือหยูเพิ่งกลับมา! ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะสงสัยและกลับไปดูที่เก็บสมบัติ
ถ้าหากซือหยูถูกจับได้ว่าขโมยทรัพยากรของอาณาจักรทมิฬ ตอนนั้นก็ยากแล้วที่เขาจะมีชีวิตออกมาจากอาณาจักรทมิฬ นี่จึงเป็นเหตุที่เขาแสร้งทําเป็นดุดัน เพราะเขาอยากจะให้เจ้าตําหนักหนานกวงรีบไปก่อนที่ไป่จงจะกลับมา
“ข้าได้มาแล้ว ท่านดูสิ”
ซือหยูยื่นน้ำเต้าหยกที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์ออกไป
ไป่จงเหลือบมองและยิ้มอย่างพอใจ
“ดีเลย แสงจันทร์นี้มากพอจะปรุงโอสถจันทร์ลับอดุลได้หนึ่งหม้อ เจ้าพันธมิตรซือมากับข้าเถอะ มีคนปรุงโอสถที่เชี่ยวชาญมากมายนักในหอวารีสวรรค์ การปรุงโอสถที่ท่านอยากได้มันยากกว่าโอสถอื่น แต่ท่านสบายใจได้ถ้าคนจากหอวารีสวรรค์เป็นคนปรุง”
หอวารีสวรรค์รี? ซือหยูพยักหน้าเบาๆและตามไป่จงไปยังชั้นหก
เขามองดูไป่จงจากด้านหลังและแอบสงสัย..
ข้าชิงม้าเมฆาแสนล้ำค่ามาจากไป่จง ทําไมเขาถึงไม่พูดอะไรแม้แต่คําเดียวกัน? แล้วทําไมไป่จงถึงปรากฏตัวที่แผ่นศิลาในมิติพิษชั้นแปด?
เขาคิดไปเรื่อยๆจนถึงหอวารีสวรรค์
“ท่านรอสักครู่หนึ่ง ข้าจะไปแจ้งอาจารย์ปรุงโอสถที่ชั้นบน”
ไป่จงตั้งใจจะให้ซือหยูออยู่ข้างล่างขณะที่เขาเดินขึ้นไป
“ท่านคงอภัยให้ข้า เหล่าอาจารย์ปรุงโอสถเป็นสามคนที่ได้รับความรับถือที่สุดในอาณาจักรทมิฬ พวกเขาแปลกกว่าคนอื่นอย่างมาก ถ้าจะไปดูว่าพวกเขาว่างอยู่หรือไม่ ข้าเชื่อว่าถ้าพวกเขารู้ว่าท่านเป็นเจ้าพันธมิตร พวกเขาก็คงเต็มใจมากที่จะช่วยเหลือแม้จะยุ่งอยู่ก็ตามที”
ไป่จงกล่าว
เขากังวลว่าเรื่องน่าอึดอัดใจแบบตอนที่พบผู้เฒ่าขาวดําทั้งสองจะเกิดขึ้นอีก นั่นจึงเป็นเหตุที่เขาอยากจะไปหาคนที่ชั้นบนแทนซือหยู
“ขออภัยที่ลําบาก ผู้ตรวจการไป”
ซือหยูยิ้ม
“ข้าจะเดินรอบๆชั้นหนึ่งนี่แหละ”
ซือหยูเดินรอบๆชั้นแรกและตงใจปกปิดตัวเองด้วยฎีกาสวรรค์ที่เป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้ถูกสนใจ แม้จะมีคนเห็นซือหยูด้วยตาเปล่าก็ยากที่จะเห็นว่าเป็นซือหยู ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาคือซือหยูในตอนนี้
เขาเดินรอบๆอยู่ครู่หนึ่งและพบว่าหอวารีสวรรค์ขายโอสถหลายชนิดเป็นแหล่งรายได้ พวกที่มีคุณสมบัติสูงคือพวกที่ใช้บ่มเพาะพลัง ส่วนของคุณภาพต่ำจะเป็นของที่ใช้ฟื้นฟูรักษา
มีโอสถสนับสนุนมากมายที่ช่วยในเรื่องสมาธิ เพิ่มความเร็ว และฟื้นคืนพลังวิญญาณกลับมา มีโอสถอยู่หลายประเภท
โชคร้ายที่โอสถเหล่านี้มีระดับไม่มากนัก มันจึงไม่เหมาะที่ซือหยูจะใช้งาน…ซือหยูส่ายหน้าและเดินต่อไป
แต่เมื่อเขาหันไปก็เห็นโอสถสีเงิน สีเงินของมันดูคล้ำอย่างมากและไม่สะท้อนแสงใดๆเลย
มันวางอยู่ตรงมุมที่ไม่มีใครจะสังเกตเห็น ซือหยูที่เดินมาเมื่อครู่ไม่ได้เห็นมันเลย แต่เมื่อได้เห็นก็ต้องเบิกตากว้าง
“หรือว่านี่”
ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก
“ข้าตามหามันทุกที่แต่ก็หาไม่เจอ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอมันที่นี่!”
ซือหยูเกือบจะหัวเราะเสียงดังออกมา
เขาได้สมุนไพรบาดาลกับโลหิตมังกรมาแล้ว มันคือสองในสามวัตถุดิบที่ใช้สร้างเนตรเงินล้างอสูร และสิ่งที่ยังขาดอยู่คือมุกเงินเลี่ยงสายฟ้า แต่เขาไม่มีแม้กระทั่งเบาะแสว่าจะไปหามันที่ไหน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด โอสถเม็ดสีเงินตรงหน้าซือหยูนั้นทําให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก!