The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 673
673 – ความเข้าใจผิดใหญ่หลวง
ไปจงตื่นตกใจ เมื่อกลับมาได้สติเขาก็พยายามจะปฏิเสธของขวัญจากซือหยู
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ข้าจะรับของล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มีสมบัติกึ่งวิญญาณแค่ไม่กี่ชิ้นในอาณาจักร และทั้งหมดล้วนเป็นของตําหนักเจ็ดจ้าว ไปจงไม่คิดว่าคนที่เป็นแค่หัวหน้าผู้ตรวจการอย่างเขาจะควรได้ถือสมบัติวิญญาณ
“ข้าได้มาจากมือศัตรู มันไร้ประโยชน์ต่อข้า ท่านไม่ต้องปฏิเสธหรอก”
ซือหยูไม่อธิบายอะไรอีก เขาเพียงแค่มอบมันให้ไปจง
ซือหยูหยิบเอาแก้วพลังสี่ดวงออกมาส่งให้จ้าวหอวารีสวรรค์
“หนึ่งดวงนี้ชดเชยให้ท่าน อีกสามดวงให้กับอาจารย์ปรุงโอสถทั้งสาม ข้าไม่ชอบติดหนี้ผู้ใดโปรดอย่าปฏิเสธ”
ไปจงกับจ้าวหอวารีสวรรค์ตื่นตกใจอีกครั้ง ของล้ำค่าอย่างแก้วพลังที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตจากธรรมชาติไม่มีอยู่ในทวีปเฉินหลง แค่เรื่องนี้ก็บอกได้แล้วว่ามันพิเศษเพียงใด
“ข้าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เช่นนั้นคงต้องขอลาก่อน ถนอมตัวด้วย”
ซือหยูประสานหมัดให้ทั้งคู่เมื่อตั้งใจจะกลับ
แต่ตอนนั้นเอง จ้าวหอวารีสวรรค์ได้พูดออกมาอย่างรีบร้อน
“เดี๋ยวสิท่านเจ้าพันธมิตรซือ เหตุใดท่านไม่พักที่นี่สักสองวันเล่า? ท่านจ้าวลําดับแรกยังบ่มเพาะพลังอยู่ ข้าจะไปแจ้งให้เขาทราบว่าท่านมา”
ซือหยูตอบ
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ฐานะตัวเองดี คิดซะว่าข้าไม่เคยมาที่นี่ก็แล้วกัน”
ทั้งสองรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากเมื่อซือหยูตัดสินใจกลับ แต่ก็ไม่เหมาะไม่ควรหากทั้งคู่จะรั้งซือหยูต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น ได้โปรดตามข้ามา ข้าจะพาท่านไปที่ประตูมิติ”
ไปจงรู้สึกขอบคุณต่อซือหยูเป็นอย่างสูง สมบัติวิเศษในมือทําให้เขาตื่นเต้นจนถึงขีดสุด
ประตูมิติรึ? ซือหยูสับสน เขาคิดว่าเขาจะต้องออกจากชั้นแรก เขาเตรียมตัวที่จะรับมือกับกองทัพศัตรูแล้ว แต่เมื่อได้เห็นประตูมิติบานใหญ่ที่เหนือหอวารีสวรรค์เขาก็เข้าใจแล้วว่าไปจงพูดถึงอะไร
“ประตูมิติจะเปิดให้คนของพวกเราใช้เท่านั้น มันจะพาท่านไปจากยอดเขาที่ใดก็ได้ในระยะร้อยลี้ แต่ท่านจะกลับมาไม่ได้ ดังนั้นการออกไปจากที่นี่จึงเป็นเรื่องง่าย แต่การกลับเข้ามานั้นค่อนข้างยาก”
ไปจงอธิบาย
ซือหยูเข้าใจแล้วว่าทําไมไปจงถึงปรากฏตัวที่ด้านนอกวันนั้น และเหตุที่เขาถูกคนจากต่างโลกไล่ล่า นั่นก็เพราะมีประตูมิติแบบนี้อยู่นั่นเอง
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย หวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง”
ซือหยูประสานหมัดให้ทั้งสองและก้าวเข้าไปในประตูมิติ
ซือหยูออกจากอาณาจักรทมิฬไปแล้ว เขาเริ่มเดินทางกลับทวีปเหนือ
ที่หน้าประตูมิติ
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป ยินดีด้วย! ท่านได้รับสมบัติกึ่งวิญญาณ! นี่เป็นสมบัติที่พวกเราทําได้แค่ใฝ่ฝัน”
จ้าวหอวารีสวรรค์มองสว่านในมือไปจงด้วยความอิจฉา
ไปจงตอบ
“ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าพันธมิตรซือจะมีน้ำใจเช่นนี้ ข้าไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนท่านเจ้าพันธมิตรซือได้ยังไง”
“ข้าได้ยินว่าซือหยูเป็นคนมีคุณธรรมที่จะตอบแทนทุกน้ำใจที่แสดงต่อเขา และวันนี้ข้าก็ได้เห็นกับตา”
จ้าวหอวารีสวรรค์ถอนหายใจด้วยความที่งและเศร้า
“ถ้าข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ข้าก็คงไม่สนใจฐานะตัวเองแล้วรีบออกมาต้อนรับเขาเร็วกว่านี้”
ไปจงถามด้วยความตกตะลึง
“ท่านจ้าวหอวารีสวรรค์ ท่านเป็นลูกหลานของจ้าวแห่งความมืด เหตุใดนั้นถึงนับถือเจ้าพันธมิตรซือขนาดนี้กัน? ข้าสงสัยจริงๆ เขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าจ้าวสาม ไม่ต้องพูดถึงจ้าวสองกับจ้าวแห่งความมืดเลย”
จ้าวหอวารีสวรรค์ตาเป็นประกายขณะที่ตอบ
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป ท่านเชื่อจริงๆรีว่าเจ้าพันธมิตรซือสังหารได้แค่ภูติระดับสาม?”
ไปจงตื่นตกใจในคําถาม เขาคิดก่อนจะตอบ
“ตามข่าวลือ ดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังแค่นั้น และถ้าให้ข้าพูดตามตรง ข้ารู้สึกว่ามีเรื่องของโชคอยู่ด้วยในตอนที่เขาสู้กับจ้าวสาม ถ้าไม่มีสายฟ้าที่บังเอิญพอดีนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
“ก็จริงของเจ้า แต่ข้าได้ข่าวลับของซือหยูมาด้วย ข่าวนั้นบอกว่าแปดศักดิ์สิทธิ์ยอมรับซือหยูเป็นเจ้านาย”
จ้าวหอวารีสวรรค์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ไปจงขมวดคิ้ว
“มันไม่ใช่ความลับเสียหน่อย ทุกคนรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว มันแปลกอะไร? ด้วยพลังระดับนั้นก็ง่ายดายนักที่เขาจะบังคับให้แปดศักดิ์สิทธิ์มารับใช้ มันไม่ยากหรอกที่เขาจะบังคับ”
จ้าวหอวารีสวรรค์ยิ้มออกมา
“หัวหน้าผู้ตรวจการไป บอกข้าที่ ถ้าจ้าวแปดพยายามจะบังคับให้ท่านเป็นทาสของเขา ท่านจะหนีหรือจะยินยอมพร้อมใจโดยไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย?”
ไปจงไม่พอใจกับคําถามของนาง
“เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นแน่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ข้าก็คงไม่ยอมง่ายๆ ข้าจะพยายามหนีจนสําเร็จ เว้นเสียแต่ว่าจะต้องเจอกับยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน”
“แล้วเช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่าแปดศักดิ์สิทธิ์คู่เหิง ไม่แม้แต่พยายามจะหนีตอนที่ซือหยูให้เขาเลือกว่าจะตายหรือรับใช้เขา? เขาเลือกที่จะรับใช้ซือหยูโดยไม่ลังเลด้วยซ้ำ! ตามข้อมูลลับที่ข้าได้มา วู่เหิงได้เห็นซือหยูต่อสู้ในกระโจมเทพสวรรค์ ที่นั่น ซือหยูได้สังหารจ้าวเทวะไปหนึ่งคน!”
จ้าวหอวารีสวรรค์ถอนหายใจยาว นางมิอาจปิดซ่อนความตกใจเมื่อเล่าเรื่องนี้กับไปจง
“อะไรนะ? เขาฆ่าจ้าวเทวะได้จริงๆรึ?”
ไปจงสูดหายใจเข้าลึก เขารู้สึกเพียงความกลัวในใจ
เพราะสามปีก่อน คนเฉินหลงมิได้รู้เลยว่าจ้าวเทวะคืออะไร แต่เมื่อถูกต่างโลกเข้ารุกราน ความรู้บางอย่างจากจวโจวจึงได้มาถึงพวกเขา นั่นจึงเป็นเวลาเดียวกับที่พวกเขารู้ว่ายังมีขอบเขตที่เหนือกว่าภูติ นั่นก็คือจ้าวเทวะ!
จ้าวเทวะคือยอดฝีมือผู้น่ากลัวที่มีพลังทําลายล้างที่จะสร้างความสูญเสียครั้งใหญ่เพียงแค่โบกมือครั้งเดียว แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินข่าวว่าซือหยูเคยฆ่าคนเช่นนั้น!
ในสมองของเขามีแต่ความว่างเปล่า ซือหยูเป็นผู้นํามนุษย์เฉินหลงต่อสู้กับทัพต่างโลกและซือหยูยังเป็นผู้มีเมตตา เขาไม่ถือตัวมากนัก ไปจงหัวหมุนเมื่อได้ฟังเรื่องราว
“ถ้าข้าไม่ได้ข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเฉินหลงจะยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่! เพราะมีแค่ราชาของเราเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นได้ แม้แต่จ้าวแห่งความมืดผู้เป็นปู่ของข้าก็ทําอะไรเจ้าพันธมิตรซือไม่ได้หรอก!”
นางพูดด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจรึยังว่าทําไมข้าต้องนับถือเจ้าพันธมิตรซืออย่างสูงเช่นนี้?”
จ้าวหอวารีสวรรค์ถามไปจงกลับไป
แม้นางจะสูงส่ง นางก็พยายามเข้าหาพ่อลูกตระกูลหลินซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นางเคยทํากับใคร นางไม่ถือตัวและออกมาต้อนรับเมื่อเขามาถึง การกระทําเหล่านี้ถือเป็นการลดเกียรติของตัวนางลง แต่นางรู้ว่ามันคือการกระทําที่คุ้มค่า
ไปจงเองก็ถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสําคัญ เพราะไปจงเพียงแค่ดูแลซือหยูเพียงไม่นาน แต่ซือหยูก็มอบสมบัติถึงวิญญาณให้กับเขา! เรื่องเหนือจินตนาการเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทวีปเฉินหลง แต่มันเกิดขึ้นครั้งแรกโดยเจ้าพันธมิตรซือ!
“ข่าวนี้น่าจึงเกินไปนัก! ข้าจะต้องไปบอกจ้าวแห่งความมืดกับจ้าวสองที่กําลังบ่มเพาะพลังอยู่”
หลังจากที่ไปจงได้สติ เขารีบพูดขึ้นมา
“เราต้องรีบแล้ว ข้าไม่อยากจะให้อาณาจักรทมิฬกับซือหยูห่างเหินต่อกัน มิเช่นนั้นเราคงจะลงเอยด้วยการเป็นศัตรูกับยอดฝีมือที่มิอาจต่อกรได้…”
เพียงแค่คิดก็ทําให้ไปจงตัวสั่นเทิ้ม จ้าวสามทําให้ซือหยูไม่พอใจอย่างมาก
จ้าวหอวารีสวรรค์ใจเต้นแรง นางชักสีหน้า
“มัวชักช้าไม่ได้แล้ว หวังว่าพวกเขาจะรีบตัดสินใจทัน ต่อให้ช้าก็ดีกว่าไม่ทําเลย”
ตอนนั้นเอง ไปจงนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหน้าซีดราวกับกระดาษ
“มันอาจจะสายไปแล้วก็ได้”
จ้าวหอวารีสวรรค์ตกใจกับคําพูดของไปจง
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ข้าพาเจ้าพันธมิตรซือไปที่ตําหนักเจ็ดจ้าวก่อนหน้านี้ แต่สองผู้เฒ่าที่หน้าประตู…”
ไปจงเล่าเรื่องและโกรธแค้นเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
จ้าวหอวารีสวรรค์ขนลุกไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด
“อะไรนะ? ไอ้แก่พวกนั้นกล้าที่จะขวางยอดฝีมือไร้พ่ายให้เข้าตําหนักเจ็ดจ้าวรึ?”
นางตกใจอย่างมาก และนางก็ไม่พอใจอย่างมากด้วย
“ก็ดี พวกนั้นก็แค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าคนเฝ้าประตูมันสูงส่งแค่ไหน มันไม่เป็นไรถ้าไอ้แก่สองคนนั้นจะเบ่งอํานาจในวันอื่นๆ แต่มันกล้าทํากะโหลกหนาต่อเรื่องสําคัญๆเช่นนี้ มันล้ำเส้นไปแล้ว! อยากรู้นักว่ามันจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง ไปกันเถอะ ตามข้าไปที่ตําหนักเจ็ดจ้าว ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านปูด้วยตัวเอง”