The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 690
DND.690 – ทายาทสหายเก่า
สถานะของซือหยูในตอนนี้ทำให้จางยู่เฟยลืมหายใจเมื่อคิดถึงเขาจางยู่เฟยกับฉีหงซื่อเชื่อว่าพวกนางคงงจะไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะได้พูดคุยกับคนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
พวกนางคงจะถูกหัวเราะเยาะหากไปบอกผู้คนว่าพวกนางคือสหายของซือหยูจางยู่เฟยตัดสินใจปล่อยอดีตให้ผ่านไปเมื่อคิดเช่นนี้ เขาปล่อยให้เด็กชายทดสอบต่อไป
เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้นเด็กชายหกขวบดูเยือกเย็นและหนักแน่น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ท่าทางของเขาดูมั่นใจและเฉลียวฉลาดเกินอายุ เด็กชายยืนแยกตัวจากเหล่าผู้คน
ท่าทางสง่างามที่เขาแสดงออกมานั้นมาจากคนในวังเขาดูไม่เหมือนกับสามัญชนแม้แต่น้อย
“เข้ามา…”
เด็กชายหกขวบพูดอย่างเยือกเย็น
ชายหนุ่มผู้เป็นศัตรูของเขานั้นอายุสิบหกปีชายหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบนร่าง เขาดูแข็งแกร่งมาก
“ถึงเจ้าจะยังเด็กเจ้าก็ดูแข็งแกร่งมากสินะ”
แม้ว่าชายหนุ่มจะพูดชมเขาก็หัวเราะยั่วยุ
เขาก้าวเข้าไปจู่โจมเด็กชายอย่างรวดเร็วเขาเร็วอย่างกับลิง!
ไม่กี่อึดใจเขาพุ่งมาข้างหน้าได้ไกลและกำลังจะโจมตีเด็กชาย จากฐานพลังของเด็กชาย เขาน่าจะป้องกันได้ยาก
แต่น่าประหลาดใจที่เด็กชายหกขวบเพียงแตะปลายเท้าเบาๆกับพื้นด้วยฐานพลังของเขาที่ยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกตน เขาสามารถกระโดดได้สูงมาก
ผู้เฒ่าเริ่มพูดคุยกันในนั้นคือจางยู่เฟยที่ตาลุกวาว
“นั่นมันการเคลื่อนไหวของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์!วิชาตัวเบาของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”
เด็กชายสง่างามราวกับหงส์เขากระโดดขึ้นกลางอากาศและหลบชายหนุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น
เวลาเดียวกันยังมีแสงทมิฬปล่อยออกมาจากดวงตาของเขาชายหนุ่มที่ตอบสนองไม่ทันถูกวิชานั้นซัดเข้าใส่ เขาตะโกนด้วยความเจ็บปวดแม้จะดูเหมือนว่าร่างกายของเขาไม่เป็นอะไร
“โจมตีวิญญาณรึ?”
จางยู่เฟยประหลาดใจอีกครั้ง
ฉีหงซื่อกลับครุ่นคิดหลังจากผ่านไปนาน เขาถามอย่างจริงจัง
“ศิษย์น้องจางเจ้าไม่คิดว่าวิชาตัวเบาของเด็กคนนี้ดูคุ้นๆบ้างรึ?”
คุ้นรึ?จางยู่เฟยหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง นางมองดูวิชาบ่มเพาะของเด็กชายและพยายามคิดถึงส่วนลึกที่สุดของความทรงจำ
จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏในใจนางพูดด้วยความลังเล
“ข้าจำได้ว่าซือหยูใช้วิชาเดียวกันตอนที่เขาเป็นผู้ฝึกตนเขาใช้วิชานั้นตอนเข้าคัดเลือก ดูเหมือนว่าวิชาของเขาจะมาจากแหล่งเดียวกัน…”
ฉีหงซื่อพยักหน้าแต่ไม่นานเขาก็ส่ายหน้า
“ไม่ใช่แหล่งเดียวกันหรอกแต่เป็นวิชาเดียวกันเลยล่ะ นี่คือวิชาเงาลอยล่องที่มาจากเกาะเฉินยี่ มันคือวิชาจากตระกูลกษัตริย์”
“หรือเขาจะเป็นญาติกับซือหยู?”
จางยู่เฟยถามด้วยความลังเล
ฉีหงซื่อส่ายหน้า
“ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นซือหยูออกจากเกาะเฉินยี่ตอนอายุสิบสี่ เด็กคนนี้ยังไม่เกิดเลย”
จางยู่เฟยหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความอายนางรู้สึกบางอย่างที่ชัดเจนเมื่อแอบมองฉีหงซื่อ นางสงสัยว่าฉีหงซื่ออาจจะจงใจถามนางในเรื่องนี้
หรือว่าฉีหงซื่อจะรู้เรื่องค่ำคืนที่จางยู่เฟยเคยใช้ร่วมกับซือหยูในตอนนั้น?
“กระโดดขึ้นสูงและใช้วิชาโจมตีวิญญาณรึ?เจ้าหนู พอได้แล้ว!”
ชายหนุ่มตะโกนด้วยความโกรธ
เขาเบื่อการถูกจู่โจมอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว!เขาอัดพลังไปที่ขาขวาและเตะด้วยพลังวิญยาณ
ความเร็วของขาเขานั้นสร้างวายุลมที่ทำให้เด็กชายตกใจเด็กชายถูกวายุลมนั้นซัดใส่ขณะที่ลอยกลางอากาศ มันทำให้เขาร่วงลงสู่พื้นในหลังจากนั้น ผลประลองถูกตัดสินใจทันที
“ดูเหมือนว่าเขาจะเด็กเกินไปนะ…”
จางยู่เฟยส่ายหน้าเบาๆด้วยความผิดหวัง
“ถ้าเขาบ่มเพาะอีกสองปีบางทีเขาอาจจะผ่านการทดสอบ แต่ตอนนี้มันยังยากเกินไปสำหรับเขา”
ฉีหงซื่อถอนหายใจ
“คนแพ้ต้องกลับไปหลังจากสามวัน พวกเจ้าแต่ละคนจะถูกส่งกลับ พวกเจ้าค่อยมาทดสอบอีกครั้งหลังจากสามปี”
เด็กชายผู้พ่ายแพ้เสียใจเมื่อทุกคนเลิกหวังกับเขาเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แววตาของเขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
ฉีหงซื่อขมวดคิ้วเบาๆ
“พาตัวเขาไป”
แม้ว่าเขาจะสงสารเด็กชายแต่นี่เป็นการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่เขาจะมีมาตรฐานที่สองกับใคร
มีคนรับคำสั่งพาเด็กชายออกจากลานประลองในทันทีเด็กชายพยายามที่จะลืมตา นั่นก็เพราะมีน้ำตาไหลออกมา เขากลัวว่าน้ำตาจะไหลออกมาเมื่อหลับตา
ความอัปยศจากความพ่ายแพ้ทำให้เขาไม่กล้าเงยหน้าและเดินออกจากเหล่าผู้คนอย่างเงียบเชียบแต่จู่ๆเขาก็เห็นเท้าคู่หนึ่งปรากฏในสายตา
เขาเงยหน้ามองและเห็นชายหนุ่มผู้หน้าตาหล่อเหลาที่มีเส้นผมสีเงินยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มให้เขาและย่อเข่าถาม
“พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?เขาแข็งแรงดีใช่หรือไม่?”
เด็กชายตัวแข็งทื่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปอีกเพื่อจ้องมองซือหยูด้วยความสงสัยแม้ว่าเขาจะเด็กมาก เขาก็ตื่นตัวและฉลาดหลักแหลม
เด็กชายตอบอย่างใจเย็น
“ท่านพ่อสบายดีข้าขอถาม…ใต้เท้า…ท่านเป็นใครกัน?”
“ข้าเรอะ?หึหึ…เจ้าเรียกข้าว่าลุงเถอะ”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
เด็กชายกระพริบตาพลางสงสัย…ถ้าเช่นนั้นพี่ชายคนนี้ก็เป็นสหายรุ่นราวเดียวกับท่านพ่อรึ?
แต่เด็กชายยังคงระวังตัวเขายังคงเงียบและไม่กล้าจะบอกเรื่องสภาพร่างกายของพ่อ
ซือหยูหัวเราะและพยายามถามคำถามอื่นแต่จู่ๆก็มีอีกสองคนเดินเข้ามา
“กล้าดียังไง?เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าบุกรุกเข้ามาที่สำนักหลิวเซี่ยนเรอะ?”
หนึ่งในสองคนนั้นถามทั้งสองตกใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า
ซือหยูยืนขึ้นและมองชายทั้งสอง
“เจ้าสองคนมาใหม่สินะ?”
“โอหัง!เราถามเจ้าอยู่! นี่เป็นงานคัดเลือกของสำนักหลิวเซี่ยน เจ้าบุกรุกเข้ามาำทไมกัน? ใครส่งเจ้ามา?”
ชายทั้งสองยังคงถามด้วยความไม่เป็นมิตร
เป็นธรรมดาที่สำนักอื่นจะพยายามหาข้อมูลเรื่องการคัดเลือกศิษย์ของสำนักหลิวเซี่ยนชายสองคนเข้าใจว่าซือหยูแอบมาหาข้อมูล
แต่ซือหยูกลับเผยตัวให้ทุกคนเห็นต่อหน้าต่อตา!นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา เพราะพวกที่มาหาข้อมูลมักจะมาอย่างลับๆ
เสียงเอะอะเริ่มทำให้ผู้คนสนใจฉีหงซื่อรอคนต่อไปที่จะมาทดสอบ แต่เมื่อเขาหันไปมองจุดที่ซือหยูยืนอยู่…เขาก็ตัวแข็งทื่อในทันที ราวกับว่าเขาถูกสายฟ้าฟาดใส่!
จางยู่เฟยรู้สึกแปลกๆนางมองตามฉีหงซื่อ นางเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เคยเห็นในอดีต แม้จะผ่านไปหลายปี แต่รูปลักษณ์ของชายหนุ่มที่ทั้งคู่เห็นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเขาอายุเท่าเดิมมาโดยตลอด!
“ซะ…ซือหยู…”
จางยู่เฟยเอ่ยนามของเขาโดยไม่รู้ตัว
นางไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าซือหยูผู้ที่เป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมาที่สำนักหลิวเซี่ยน!
“โอหัง!กล้าดียังไงถึงเรียกท่านเจ้าพันธมิตรด้วยนาม?”
ลั่วซวงตะโกนเสียงทุ้มต่ำแรงกดดันของภูติของเขาทำให้ทุกคนใจเต้นแรง
จางยู่เฟยกับฉีหงซื่อตกตะลึงทั้งคู่ยืนตัวสั่นต่อหน้าซือหยู
“ไปคุยที่อื่นกันเถอะ”
ทั้งคู่ตกตะลึงที่ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนขึ้นพวกเขาได้ยินเสียงและฝ่ามือที่แตะบ่าของทั้งคู่อย่างแผ่วเบา เจ้าของฝ่ามือนี้ก็คือซือหยู!
พวกเขาอยู่ห่างกันเป็นลี้เมื่อครู่ก่อนแต่ซือหยูก็ปรากฏตัวมาที่หน้าพวกเขาในพริบตาเดียว! ความทรงพลังเช่นนี้ทำให้ทั้งคู่หัวใจแทบหยุดเต้น
ไม่นานก็มีสายฟ้าปรากฏเหนือศีรษะของทั้งคู่ เมื่อพวกนางลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่เงียบและไร้ผู้คน
“ย้ายมิติ!”
ฉีหงซื่อตกใจมาก
พวกเขาหันกลับไปมองชายที่ยืนด้านหลังฉีหงซื่อมิอาจเทียบชายคนนี้กับซือหยูในอดีตได้เลย
“หวังว่าเจ้าสองคนจะสบายดีนะ…”
ซือหยูหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม
ฉีหงซื่อไม่รู้จะพูดตอบอย่างไรจางยู่เฟยเองก็ได้แต่มองดวงตาของซือหยู ไม่นานนางก็ยิ้ม
“พวกข้าสบายดี”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“สำนักหลิวเซี่ยนจะฟื้นฟูขึ้นมาแน่”
ทั้งสองหัวเราะอย่างขมขื่นสำนักหลิวเซี่ยนเสื่อมโทรมก็เพราะว่าซือหยูสังหารผู้เฒ่าไปครึ่งสำนักตอนที่เขาพยายามหนีจากสำนัก
“ข้าขอถามได้หรือไม่ทำไมข้าไม่เห็นเจ้าสำนักล่ะ?”
ซือหยูถาม
แววตาฉีหงซื่อหม่นหมอง
“เขาพยายามปกป้องพวกเราท้ายสุด เขาสละชีวิตเข้าสู้กับพวกต่างโลก”
เขาตายแล้วรึ?ซือหยูถอนหายใจ มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในสามปีที่เขาไม่อยู่
“ข้าเสียใจด้วย…”
ซือหยูพูดด้วยความเศร้า
จางยู่เฟยดูจริงจังขึ้นมาแต่นางก็ไม่กล้าจะมองตาซือหยูตรงๆ
“ท่านเจ้าพันธมิตรซือมาทำอะไรที่สำนักหลิวเซี่ยนรึ?ท่านคงไม่ได้มารื้อฟื้นอดีตกับพวกเราแน่”
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่แล้วข้าอยากจะถามถึงผู้เฒ่าหยูโหรวกับม่ออู๋ พวกเจ้าได้ข่าวเรื่องที่อยู่ของพวกนางหรือไม่?”
ตั้งแต่ที่เขาพาผู้เฒ่าหยูโหรวไปซ่อนตัวที่เกาะเฉินยี่เขาติดต่อกับนางไม่ได้อีกเลย และเมื่อเขาผ่านสำนักหลิวเซี่ยน เขาจึงตัดสินใจหยุดพักเพื่อถามเรื่องนาง
จางยู่เฟยส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เลย”
ฉีหงซื่อส่ายหน้าเช่นกันคำตอบของทั้งคู่ทำให้ซือหยูผิดหวัง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปแล้วดูแลตัวเองด้วย…”
ซือหยูพูดขณะยื่นมือไปยังท้องฟ้า
ในตอนนั้นเองภาพอันงดงามได้ถือกำเนิดขึ้น ภาพนี้ไม่ต่างจากภาพเขียน ซือหยูคว้ามันด้วยดัชนีทั้งห้า เมื่อแบมือออกก็มีสัญลักษณ์โปร่งใสที่เปล่งประกายอยู่ภายใน
ซือหยูดีดนิ้วให้ตราสัญลักษณ์ฝังไปที่หน้าผากของจางยู่เฟย
“มันคือฎีกาสวรรค์ของข้าถ้าเจ้ามีปัญหาในอนาคต เจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้”
ซือหยูเตรียมจะเดินทางแต่เขาก็พูดต่อเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“เด็กชายคนนั้นเป็นทายาทของสหายเก่าของข้าที่เกาะเฉินยี่โปรดดูแลเขาแทนข้าด้วย”
เมื่อพูดจบซือหยูกระโดดขึ้นฟ้าและออกเดินทาง เขาพุ่งออกไปตามด้วยเงาภูติอีกสิบคนที่พุ่งขึ้นมาพร้อมกัน
จางยู่เฟยพูดไม่ออกนางสัมผัสหน้าผากด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยลืมนางเลย
ฉีหงซื่อกลับยินดียิ่งกว่าสิ่งใดถ้าพวกเขามีของขวัญจากเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เช่นนี้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกหรือดูหมิ่นสำนักหลิวเซี่ยนอีก!
ทั้งคู่ใจเย็นลงและรู้สึกว่างเปล่าในใจทั้งคู่จ้องมองซือหยูที่หายลับฟ้า ช่องว่างระหว่างพวกเขากับซือหยูได้กว้างใหญ่ขึ้นไปทุกที
ผ่านไปครึ่งชั่วยามพวกเขากลับมาในที่จัดงานคัดเลือก แต่พวกเขาก็เห็นเพียงว่าที่นี่ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง!
“อะไรนะ?ชายคนเมื่อครู่คือเจ้าพันธมิตรซืองั้นเรอะ?”
บางคนอุถทานออกมา
เหล่าคนที่ผ่านการคัดเลือกตกใจอย่างหนักพวกเขาตะโกนพร้อมกัน
“พระเจ้าเขาดูเป็นแบบนั้นมาตลอดเลยรึ?”
“มันจบแล้วคืนนี้ข้านอนไม่หลับแน่ นั่นคือเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ปกป้องทวีปของเรา! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าจะได้เห็นเขาตัวเป็นๆ!”
สองคนที่ไม่เป็นมิตรต่อซือหยูใบหน้าบิดเบี้ยวทั้งคู่ราวกับเตรียมจะถูกตำหนิ
“เงียบซะการทดสอบจะดำเนินต่อไป…”
ฉีหงซื่อพูดอย่างมั่นคงแม้เขาจะดูจริงจัง แต่น้ำเสียงของเขาก็ดูอ่อนลง
“นอกจากนี้ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องประกาศ”
ฉีหงซื่อมองไปยังเด็กชาย
“เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายตกใจกับความสนใจของเจ้าสำนักฉีหงซื่อกำลังถามเขา!
“ลี่จุน…”
ฉีหงซื่อยิ้ม
“เอาล่ะลี่จุน เจ้ายินดีจะเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?”
คำพูดของเขาทำให้ทั้งสำนักเงียบกริบการเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักไม่ต่างกับการได้เป็นผู้สืบทอดสำนักหลิวเซี่ยนในอนาคต!
ลี่จุนยินดีเป็นอย่างมาก
“ขะ!ข้ายินดี!”
แต่เขาสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงถูกเลือกให้กลายเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก…
หรือว่าเป็นเพราะพี่ชายผมสีเงินคนนั้น?
“ท่านเจ้าสำนักมันจะไม่เกินไปหน่อยรึ?”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดด้วยความกังวลใจ
ผู้เฒ่าคนอื่นพยักหน้าและขมวดคิ้วพร้อมกันพวกเขารู้สึกว่าการตัดสินใจของฉีหงซื่อนั้นแปลกประหลาด
ฉีหงซื่อตอบอย่างไร้อารมณ์
“ลี่จุนเป็นทายาทสหายเก่าของบุรุษผู่นั้นพวกเจ้าแน่ใจรึว่าจะต่อต้านการตัดสินใจนี้?”
อะไรนะ?ทายาทของสหายซือหยูงั้นรึ? เหล่าผู้เฒ่าเริ่มหันไปมองลู่จุน แววตาพวกเขาเริ่มอบอุ่นจบแทบจะเผาลู่จุนด้วยสายตาได้
คนที่เก่าแก่ในสำนักกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีเพราะถ้าหากทายาทสหายเก่าของซือหยูได้เป็นเจ้าสำนัก ถึงตอนนั้น แม้แต่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็ไม่กล้าจะมีปากเสียงกับสำนักหลิวเซี่ยน! ทุกคนเริ่มจินตนาการถึงความสงบสุขอีกหลายร้อยปีในอนาคตของสำนักหลิวเซี่ยน!
ฉีหงซื่อกังจางยู่เฟงมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล
หลังจากที่การทดสอบจบลงทั้งสองไปยังที่พำนักของผู้เฒ่า ในด้านที่ดูเรียบง่าย สตรีที่งดงาม เย็นชา และอ่อนโยนสองคนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบเชียบ
“ท่านอาจารย์เจ้าพันธมิตรซือมาที่นี่ ท่านต้องสัมผัสถึงเขาได้แน่ ทำไมไม่ออกไปหาเขาเล่า?”
ฉีหงซื่อถามขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูกับจางยู่เฟย
หยูโหรวกับม่ออู๋อยู่ในสำนักหลิวเซี่ยน!หยูโหรวลืมตาขึ้นช้าๆโดยไม่พูดอะไร
ม่ออู๋ลืมตาขึ้นช้าๆ
“ท่านอาจารย์ไม่เสียใจดี?ถ้าท่านไปตอนนี้ ท่านอาจจะตามทัน”
ใบหน้างดงามของหยูโหรวแสดงความเจ็บปวด
“เรามิได้ช่วยเขาในเวลาอันยากลำบากและเขาได้สร้างชื่อด้วยตัวเองมาแล้ว คงน่าละอายนักหากจะต้องพบกับเขา ส่วนเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงเขามาก ทำไมเจ้าไม่ออกไปเจอเขาเล่า?”
ม่ออู๋เงียบและขบริมฝีปากเบาๆนางคิดไม่ตก
ผ่านไปนานดวงตาของนางดูสดใสดั่งแก้ว
“ข้าไม่เคยได้รับโชคอันใดในการเลือกหนทางนี้ข้าเพียงแค่อยากติดตามท่านอาจารย์เท่านั้น”
หยูโหรวถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ไม่ว่าจะอย่างไรอนาคตก็ยังมีโอกาส ข้าเชื่อว่าเราจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง”
ที่เขตเซี่ยนหยูบนเกาะเฉินยี่ซือหยูยืนอยู่หน้าตำหนัก เขาดูยินดีเป็นอย่างมาก เคยมีเรื่องเกิดขึ้นที่นี่และถูกขัดขวางเมื่อหกปีก่อน วันนี้ เขาจะต้องทำสิ่งที่ไม่สำเร็จให้ได้!
เขาจะประวิงงานแต่งงานของเขากับเซี่ยนเอ๋อไม่ได้อีกแล้วซือหยูเดินเข้าสู่ตำหนักด้วยความคิดนี้
ด้านในตำหนักชายวัยกลางคนกำลังอ่านตำราอยู่ใต้แสงตะวัน เขาดูสงบสุขยิ่งนัก
ซือหยูมองเขาโดยไม่ทักให้รู้ตัวเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหยูจึงเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ
“ท่านเจ้าพันธมิตรท่านไม่เข้าไปพบเขารึ?”
ลั่วซวงเห็นแววตาซือหยูและบอกได้เลยว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายวัยกลางคนผู้นี้
ซือหยูดูพอใจ
“ข้าได้เห็นเขาแล้วไม่จำเป็นที่ข้าต้องทำให้ท่านเป็นห่วง ข้าไปทั้งแบบนี้จะดีกว่า”
เขาพูดต่อ
“แต่ข้าจะไปคนเดียวเจ้าจงอยู่ที่นี่กับหน่วยกวาดล้าง ส่งจดหมายนี้ให้่เขา บอกเขาว่าวันที่ข้ากลับมาจะเป็นวันที่ข้าแต่งงานกับเซี่ยนเอ๋อ ข้าจะขอให้เขาดื่มน้ำชาหนึ่งถ้วยที่ข้ารินให้”
หลังจากที่ซือหยูสั่งเขายื่นจดหมายให้ลั่วซวง ลั่วซวงแปลกใจมาก
“แล้วนายท่านจะไปไหนรึ?”
ซือหยูมองไปยังมหาสมุทรอันห่างไกล
“ข้าจะไปช่วยสหายเก่าที่ก้นบึ้งมังกร”
ทันทีที่พูดจบ…ซือหยูหายลับขอบนภา