The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 702
702 – ทางตันของเส้นทางบ่มเพาะ
จักรพรรดิโลหิตหยุดชะงักเขารู้สึกแปลกๆ แต่ซือหยูก็ตะโกนขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร
“กิเลนน้อย!”
จู่ๆมิติเหนือรอยแยกมิติก็มีหมอกสีชมพูปรากฏขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์กิเลนน้อยน่ารักปรากฏตัวออกจากหมอกและกระพริบตาอย่างน่าหมั่นไส้ ในปากของมันมีมุกสีหยกเม็ดเล็กๆอยู่ด้วย
มุกหยกเปล่งแสงจ้ามันขยายขนาดเป็นลูกแก้วสีครามอำพัน มันตกลงมาด้วยความเร็วจนน่าตกใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลย!
จักรพรรดิโลหิตมีเวลาได้มองมันแค่ครั้งเดียวก่อนที่ลูกแก้วครามอำพันจะทับเขา
“มุกบาดาลของตระกูลจักรพรรดิอสูร!”
จักรพรรดิโลหิตร้องเสียงหลงราวกับเห็นผีเขารู้ต้นตอของมุกบาดาลในทันที
เพราะเขาเคยเข้าร่วมสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรในจิวโจวมนุษย์ที่เป็นอสูรเนรมิตรล้วนกลายเป็นฝุ่นผงด้วยพลังของมุกบาดาล!
ตู้ม
ทั้งก้นบึ้งมังกรสั่นสะเทือนลาวาใต้ดินพุ่งขึ้นสูงสู่ฟากฟ้าหลายร้อยลี้ พร้อมกันนั้นรอยแยกมิติยังได้รับผลจากแรงกดดัน
เป๊าะ
อุโมงค์มิติเชื่อมโลกได้ระเบิดเป็นชิ้นๆม่านแสงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อุโมงค์มิติถูกทำลาย! ซือหยูทำสำเร็จหลังจากพยายามมาหลายครั้ง!
แม้แต่อสูรเนรมิตรก็ไม่ปลอดภัยเมื่อร่างกายอยู่ในช่องมิติที่กำลังแตกสลายและแขนกับขาของเขายังติดอยู่ในรอยแยกมิติด้วย!
“ไอ้เด็กบัดซบ!ข้าจะฆ่าเจ้า!”
จักรพรรดิโลหิตโกรธจัดเขาไม่ทำตัวสูงส่งทรงพลังอย่างเดิมอีกแล้ว
เขาพยายามที่จะขยับร่างกายครึ่งส่วนที่เหลือผ่านรอยแยกมิติแต่กิเลนน้อยก็เตะเขากลับมาในรอยแยก
จักรพรรดิโลหิตโกรธแค้นเขาใช้เนตรทำลายล้างมองไปยังกิเลนน้อย
แต่คาดไม่ถึงว่ากิเลนน้อยจะกลายเป็นสถานะภาพลวงที่มิอาจโดนทำร้ายได้
จักรพรรดิโลหิตหมายมั่นจะขยับแขนขาออกจากรอยแยกแต่ก็น่าตกใจอย่างยิ่งที่แม้เขาจะมีพลังระดับอสูรเนรมิตร เขาก็มิอาจขยับตัวแยกจากมุกบาดาลมาได้!
ไม่ว่าเขาจะออกแรงเท่าใดเขาก็มิอาจขยับมุกบาดาลได้เลย! ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะก้าวออกจากรอยแยก เขาจะติดอยู่ที่นี่!
ถ้าหากรอยแยกมิติแตกสลายโดยสมบูรณ์ส่วนของร่างกายที่ยังอยู่ในรอยแยกจะต้องเสียหายอย่างร้ายแรง!
จักรพรรดิโลหิตจ้องมองซือหยูด้วยความแค้นเมื่อรู้สึกถึงอันตรายแต่เขาก็มองไม่เห็นใครแล้ว ซือหยูกับจิวหยวนโจวได้ไปหาที่ซ่อนเพื่อหลบการโจมตีของเขา
จักรพรรดิโลหิตมิอาจฆ่าใครได้เขารู้สึกโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิมและตะโกน
“ไอ้เด็กบัดซบข้าจะจำเจ้าไว้ ข้าจะต้องได้เจอพวกเจ้าสองคนอีกครั้ง!”
ฉั่วะ
เสียงชิ้นเนื้อขาดสะบั้นสองครั้งดังขึ้นแขนและขาของเขาที่โดนทับอ่อนลง พลังอันน่ากลัวจากภายในรอยแยกมิติหายไปแล้ว
จากนั้นม่านแสงก็เริ่มแหลกละเอียดมันหม่นแสงลงและกระจัดกระจายหายไป ท้ายสุดก็เหลือแต่เพียงกำแพงศิลาธรรมดาเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะลาวาที่กระจายไปทั่วบริเวณก้นบึ้งมังกรก็คงไม่มีใครเชื่อว่าครั้งหนึ่งอสูรเนรมิตรได้ปรากฏตัวและเกือบจะมาถึงโลกแห่งนี้
เส้นทางระหว่างสองโลกถูกทำลายสิ้นคนจากจิวโจวเข้ามาไม่ได้อีกแล้ว และคนจากเฉินหลงก็จะถูกผนึกอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
ผ่านไปนานซือหยูกับผู้เฒ่าจิวมองหน้าและหัวเราะต่อกัน
“ฮ่าๆๆๆ….ไม่คิดเลยว่าคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในจิวโจวอย่างจักรพรรดิโลหิตจะมาแพ้คนหนุ่มอย่างเจ้า…”
ผู้เฒ่าจิวหัวเราะอยู่นานน้ำตาแห่งความยินดีไหลอาบแก้ม
ซือหยูฝืนใช้พลังชีวิตเพื่อหยุดเลือดที่ไหลจากท้องเขาหัวเราะอย่างขมขื่น
“ถ้าข้าเลือกได้ข้าก็คงไม่มาที่นี่หรอก”
สิ่งที่ซือหยูสูญเสียในก้นบึ้งมังกรนั้นเหนือจินตนาหุ่นเชิดทั้งสอง ร่วมวิเศษบัวแดง และสมบัติเทพเกือบทั้งหมดและของที่เขาสะสมเอาไว้ล้วนจากไป แม้แต่ลูกแก้วลำดับห้าธาตุสี่ลูกก็เสียหายอย่างหนัก
และที่สำคัญที่สุดจุดกำเนิดพลังของเขาเสียหายอย่างรุนแรง แก้วพลังชีวิตดวงหนึ่งของเขาถูกบดกลายเป็นผง! ส่วนเรื่องร่างกาย ซือหยูยังไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บส่วนไหนอีกบ้าง
แต่คาดไม่คิดที่ผู้เฒ่าจิวจะกลอกตา
“เจ้ายังไม่พอใจกับแขนขาของจักรพรรดิโลหิตอีกเรอะ?พลังของเลือดเนื้ออสูรเนรมิตรไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะคาดคิดได้หรอกนะ!”
ซือหยูเริ่มตื่นเต้นเขามองไปยังแขนขาข้างหนึ่งของจักรพรรดิโลหิตที่ยังถูกมุกบาดาลกดทับเอาไว้ แม้แขนขาของเขาจะแหลกไป แต่มันก็ยังมีพลังอันแข็งแกร่งปะทุออกมา
“ถ้าเจ้าสกัดแก่นโลหิตออกมาให้เหล่าจิตวิญญาณจักรวาลมันจะเกิดประโยชน์ราวกับเทพมาประทานพรให้เจ้าเชียวล่ะ!”
ผู้เฒ่าจิวพูดด้วยตาเป็นประกายดูเหมือนเขาจะแนะนำกับซือหยู
ตัวอย่างที่เขาเพิ่งจะอธิบายก็คือเรื่องของเมล็ดไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปลูกทางเดียวก็คือใช้แก่นโลหิตของอสูรเนรมิตรกับมันตลอดวันคืน
หรือว่าผู้เฒ่าจิวพูดถึงกิเลนน้อยรึ?ซือหยูสงสัย ถ้าผู้เฒ่าจิวเคยเป็นองครักษ์แสงกระจ่างมาก่อน เขาก็น่าจะพูดถึงแก่นแท้วิญญาณกิเลนน้อยแน่
ซือหยูมองเขาอย่างจริงใจ
“ท่านผู้เฒ่าจิวโปรดเอื้อเฟื้อข้าด้วยข้าต้องการแขนขานั่น”
“พูดอะไรของเจ้า?เจ้าช่วยชีวิตข้ากับทุกคนในเฉินหลง! เจ้าต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตด้วยตัวคนเดียว ทุกสิ่งที่ได้ก็ต้องเป็นของเจ้า”
ผู้เฒ่าจิวหัวเราะชอบใจเขาไม่คิดจะชิงสิ่งใดจากซือหยูอยู่แล้ว
เพราะถ้าหากผู้เฒ่าจิวอยากจะได้มันเขาก็คงไม่บอกซือหยูว่ามันมีคุณประโยชน์อย่างไร! เขาเพียงแค่สังหารซือหยูและชิงมันมาเองก็ย่อมได้
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าจิว”
ซือหยูประสานหมัดขอบคุณ
ทั้งสองพักฟื้นอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งซือหยูเก็บมุกบาดาลอย่างระมัดระวัง
เขายังเก็บแขนขาของจักรพรรดิโลหิตไว้ในที่ปลอดภัยพลังอันน่าตกตะลึงยังคงปะทุออกมาอยู่ ในมือที่ขาดของจักรพรรดิโลหินนี้มีเส้นขนของอสูรและเวทความฝันอยู่ด้วย แม้ซือหยูจะสูญเสียไปมาก เขาก็ได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาเช่นกัน
“ไปเถอะซือหยูเจ้าได้สร้างนามให้ตัวเองแล้ว วีรบุรุษไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยก็ต้องพบกับความยากลำบากในการสร้างชื่อ เจ้าแทบจะเทียบกับจักรพรรดิจิวโจวคนก่อนเสียด้วยซ้ำ แม้แต่ราชาแห่งความมืดก็มาเบียดบังแสงสว่างของเจ้าไม่ได้!”
ผู้เฒ่าจิวยิ้มด้วยความยินดี
“จักรพรรดิจิวโจวคนก่อนสละแก่นโลหิตตัวเองเพื่อสร้างทวีปขึ้นมาใหม่การกระทำของเขามิใช่เพื่อตนเอง คนอย่างข้าจะมีวันเทียบได้รึ?”
“ตอนนี้ทวีปถูกปิดผนึกแล้วเส้นทางการบ่มเพาะย่อมถึงจุดจบ ชื่อเสียงและเกียรติยศล้วนไร้ความหมาย”
ซือหยูหัวเราะ
“กลับกันเถอะท่านผู้เฒ่า”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วครึ่งปีผ่านไปในชั่วพริบตา ตลอดเวลานั้น เหล่าทัพต่างโลกบัดซบได้ถูกสังหารสิ้น ทวีปเฉินหลงได้กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง
ด้วยผลของม้าเมฆามากมายหลายต้นมีภูติอีกร้อยคนที่ถูกสร้างขึ้นในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกเขายึดดินแดนทั้งสี่อาณาเขตของทวีป นั่นคือทวีปเหนือ ตะวันออก ตะวันตก และใต้ พวกเขาให้อาณาจักรทมิฬเป็นผู้กุมอำนาจหลักของทั้งทวีป
เหล่าขุมกำลังในทวีปถูกสอดส่องดูแลโดยกฎอันเข้มงวดของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่มีกองทัพทหารที่ถูกอนุญาตให้ก่อตั้ง
ทุกคนที่ฝ่าฝืนกฎจะต้องถูกเหล่าภูติล้างบางทวีปเฉินหลงได้พบกับความผาสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอดีต
เหล่าผู้บ่มเพาะพลังที่กำลังร่ำเรียนวิชาได้รอดชีวิตจากสงครามอันเลวร้ายสำนักของพวกเขาได้ดำรงอยู่ต่อไป เหล่ายอดฝีมือที่ได้พบเห็นกองทัพจากต่างโลกได้กลายเป็นผู้ที่ทุ่มเทมากขึ้น
ดังนั้นเหล่าคนในทวีปจึงพยายามหนักกว่าเดิมไม่ว่าสำนักจะมีขนาดเท่าใด ศิษย์สำนักหลายคนถูกรับตัวเข้ามาฝึกฝน และคนรุ่นหลังก็ต่างมีผู้มากพรสวรรค์ราวกับมัจฉาในวารี พวกเขามีโอกาสได้เรียนรู้และเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากหมื่นปีทุ่งแห่งการบ่มเพาะพลังได้กลับมาโดดเด่นเป็นสง่าอีกครั้ง และพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้บ่มเพาะพลัง!
ส่วนเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เขาได้กลายเป็นตัวตนดั่งองค์เทพที่ทุกคนในทวีปเลื่อมใส เขาเริ่มการผจญภัยบนเกาะเฉินยี่ ชีวิตของเขาไม่ต่างจากฝนดาวตกที่ฉายแสงยามค่ำวิกาลบนท้องนภาเฉินหลง
ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารผู้เฒ่าสำนักหลิวเซี่ยนไปครึ่งสำนักด้วยนามซือหยูเพื่อมอบความเป็นธรรมให้แก่ตนเองเขายังเคยท้าทายสวรรค์และเหล่าขุมกำลังใหญ่ทั้งสามด้วยนามหยินหยูในงานใหญ่ของคณะวิหคเพลิง เขายังเคยพิชิตพันธมิตรทวีปเหนือด้วยนามราชาปีศาจหิมะทมิฬ
หลังจากผ่านไปสามปีเขาได้กลับมาในนามซือหยูเพื่อกำจัดเหล่าภูติจากต่างโลก เขายังต่อสู้กับอสูรเนรมิตรเพื่อปกป้องทวีป ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนน่าทึ่ง หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าซือหยูคือตำนาน
เหล่าหนุ่มสาวรุ่นหลังต่างได้รับแรงบันดาลใจจากเขาและบ่มเพาะพลังด้วยความอุตสาหะและยังมีผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนที่ไปสถานที่ที่ซือหยูเคยต่อสู้เพียงเพื่อที่จะเข้าใจเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขา
ดังนั้นเกาะเฉินยี่ สำนักหลิวเซี่ยน ตำหนักเฉินเทียน และเขตหยินหยูจึงล้วนถูกนับว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มียอดฝีมือจากทุกมุมทวีปรวมตัวกันในสถานที่แห่งนั้นเพื่อที่จะประลองเพื่อเพิ่มพลังของตนโดยเฉพาะ
และก็เป็นตามคาดฐานหลักของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้ตั้งอยู่ที่ก้นบึ้งมังกร ยอดฝีมือจำนวนมากต้องการจะมาในที่แห่งนี้เพราะถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด
ก้นบึ้งมังกรที่แตกสลายได้ถูกยึดครองโดยพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มันยังถูกสร้างใหม่เป็นเกาะโดดเดี่ยวที่มีเหล่าคนที่เลือกจะปลีกตัวออกห่างจากเรื่องราวความขัดแย้งต่างๆบนโลก
แต่ก็ไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ว่ามันคือศูนย์กลางของเฉินหลงที่แท้จริงและเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการบ่มเพาะพลังนั่นก็เพระว่ามันคือสถานที่ที่ซือหยูอยู่ เขาถูกนับว่าเป็นราชาแห่งทวีปคนแรก ทุกคนไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีทำได้แค่ฝันว่าจะได้เจอเขาตัวเป็นๆ
โชคร้ายที่ราชาผู้นี้เลือกที่จะหายเข้ากลีบเมฆตั้งแต่ที่กลับมาจากก้นบึ้งมังกร
และแม้จะเป็นเช่นนั้นยอดฝีมือมหาศาลก็ยังคงงอยู่บนเกาะก้นบึ้งมังกรเพื่อรอคอยการปรากฏตัวของราชาแห่งทวีป พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นความสง่างามของเขากับตาตัวเอง
บนเกาะก้นบึ้งมังกรที่นี่มีเมืองที่มีตำหนักพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ตั้งอยู่ ภูติร้อยคน กึ่งภูติพันคน และกึ่งเทพอีกหมื่นคนลาดตระเวนขวักไขว่อยู่ในส่วนลึกของเมืองตำหนักที่เงียบเชียบและมีสวนอันเรียบง่าย
ด้านหลังประตูที่สร้างจากศิลานั้นคือห้องที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณอันหนาแน่นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ภายในห้อง
พลังวิญญาณเหนือศีรษะของเขาค่อยๆไหลผ่านมาที่หน้าผากแต่เมื่อมันเข้าไป มันก็ไหลออกมาจากช่องท้อง
เขาลืมตาขึ้นช้าๆและถอนหายใจ
“มันเกิดขึ้นจริงงั้นรึ?แก้วพลังของข้าถูกทำลายจนดูดซับพลังอะไรไม่ได้อีกแล้ว ข้ามาถึงทางตันแล้วสินะ”
เขาโศกเศร้าและขมขื่นตอนที่เขาถูกจักรพรรดิโลหิตจู่โจมในศึกชี้ชะตา แก้วพลังชีวิตหนึ่งดวงของเขาถูกทำลายไป
ในครึ่งปีที่ผ่านมาแล้วพยายามหลายต่อหลายวิธีเพื่อที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมาแต่ก็ไร้ผล เขาคิดว่าเขาคงจะเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงไปตลอดชีวิตโดยมิอาจเติบโตได้เลย
น่าเสียดายความพยายามอย่างหนักทำให้เขามิอาจเข้าใกล้การเป็นภูติได้สำหรับคนที่มุ่งมั่นเดินบนเส้นทางสายบ่มเพาะพลังอย่างซือหยู สิ่งนี้คือความน่าเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ซือหยูถอนหายใจและหยิบเอาเกราะสายฟ้าออกมามันมีคลื่นวิบัติอัสนีที่อัดแน่นอยู่ภายใน เขาเก็บสะสมมันมาตลอดครึ่งปีตอนที่ช่วยให้คนของพันธมิตรผ่านวิบัติอัสนี
แต่ก็ไม่มีวิบัติอัสนีใดที่เป็นของเขานั่นทำให้เขาโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม
ซือหยูลูบมุกวิญญาณเก้าหยกลูกแก้วครามอำพันปรากฏบนฝ่ามือของเขา ตอนนี้มันเบาราวกับขนนก
มุกบาดาลถูกชำระล้างโดยสมบูรณ์แล้วเขาจะควบคุมมันได้ตามใจนึก แต่เขาคงไม่มีทางได้ใช้มันอีกแล้ว…เขารู้สึกเศร้าหมองเมื่อคิดเช่นนี้
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและหยิบเอาตราสายฟ้าออกมามันคือตราสายฟ้าห้าธาตุที่ซือหยูร่างมืดได้ใช้เก็บจิตวิญญาณสายฟ้าเอาไว้ เขาทำไปเพื่อดูดซับพลังของจิตวิญญาณสายฟ้าเพื่อพัฒนาตราสายฟ้าห้าธาตุ
และตอนนี้มันคือขั้นสุดท้ายในการพัฒนาจิตวิญญาณสายฟ้ายังคงขัดขืนอยู่เพียงเล็กน้อย นี่คือสัญญาณว่าการหลอมรวมกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นาน