The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 739-740
DND.739 – ความเข้าใจผิดอันละเอียดอ่อน
ซือหยูหันไปมองนางอย่างละเอียดนางดูสง่าอย่างน่าอัศจรรย์ ผิวของนางเปล่งประกายดั่งหยก กองไฟที่ชายฝั่งสะท้อนกับผิวของนางระยิบระยับ
แม้ว่านางจะดูงดงามเพียงใดสายตาซือหยูก็ได้แต่ขยะแขยงเมื่อมองนาง
“เป็นอะไรของเจ้า?”
นางถามและขมวดคิ้ว
เมื่อน้องสาวนางไม่ตอบมานานนางก็เริ่มรับรู้ว่ามีบางอย่างแปลกไป นางหันไปที่ฝั่งโดยไม่รู้ตัว
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช่น้องสาวของนางแต่เป็นชายแก่เฒ่าที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวเส้นผมของเขายุ่งเหยิงอย่างมาก
“ผี!!”
นางกรีดร้องและเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ซือหยูอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนักเขาเปียกไปทั้งกาย ผมยาวของเขาปิดแก้มจนเหลือเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา เขาดูน่ากลัวอย่างมากในค่ำคืนอันมืดมิด!
เมื่อถึงตอนนี้ซือหยูจึงรู้แล้วว่านางเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่นแต่เมื่อเขาเห็นว่านางจะกรีดร้องอีกครั้งก็กระโจนเข้าใส่นางอย่างแม่นยำและกดหัวนางให้จมพุ่มไม้ เขาใช้มือขวาปิดปากเพื่อไม่ให้นางส่งเสียงดัง
แม้ว่าร่างกายของเขาจะอ่อนแอและเปราะบางเขาก็รู้ตัวแล้วว่าเขาสามารถจับตัวผู้หญิงได้โดยเฉพาะเมื่อนางดูเหมือนเป็นผู้ที่ไร้ฐานพลัง…
แต่อนิจจา…ซือหยูประเมินนางต่ำไปนางมิใช่คนที่ไร้พลัง และนางยังแข็งแกร่งอีกด้วย!
“เจ้าคนโรคจิต!”
นางตื่นตกใจและคิดว่าซือหยูคิดจะทำมิดีมิร้ายกับนางนางจึงสู้กลับโดยสัญชาตญาณ นางรวบรวมพลังชีวิตในฝ่ามือและซัดไปที่ไหล่ของซือหยู
ปั้ง!
ซือหยูกระเด็นลอยไปจากฝ่ามือของนางเขากระแทกกับพุ่มไม้ เสียงที่ดังขึ้นทำให้เหล่าคนคุ้มกันหันมามอง
นางพยายามสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและออกจากพุ่มไม้ในทะเลสาบผู้ติดตามของนางรีบเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ใบหน้าของสาวใช้ดูแปลกใจทันทีที่พบว่าไม่มีอะไรที่แปลกนางไปดูพุ่มไม้มืดและตะโกนเรียกคนเพื่อความมั่นใจ
“มาตรงนี้เร็ว!นายหญิงของเราเจออันตราย!”
ฟึ่บ!
เมื่อได้ยินเสียงของสาวใช้กลุ่มคนอารักขาติดอาวุธรีบพุ่งเข้ามา ชายอายุราวสามสิบที่เป็นหัวหน้าสายตาคมกริบขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นรึนายหญิง?”
นางจับชายเสื้อของตนโดยไม่พูดอะไรร่างกายที่น่าประทับใจของนางสั่นระริก นางยังตกใจไม่หายกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้าไม่เป็นไร”
นางตอบหลังจากใจเย็นลง
“อาจจะเป็นสัตว์น้ำในพุ่มไม้นั่น”
หัวหน้าคนอารักขากล่าว
“เป็นความผิดข้าเองที่ไม่ได้จัดการให้ดีเป็นความรับผิดชอบของข้าที่ทำให้ท่านตกใจ โปรดลงโทษแต่เพียงข้าเท่านั้น”
นางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรข้ารู้ว่าเจ้ามีคนจำกัด คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะลืมอะไรไปบ้าง รีบกลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ”
หัวหน้าคนอารักขามองพุ่มไม้และถาม
“ไม่ให้ข้าสั่งคนไปดูที่พุ่มไม้นั่นเล่า?ถ้าหากมันเป็นสัตว์น้ำมีพิษ ท่านอาจจะเป็นอันตรายได้”
“ไม่ต้องการเดินทางพรุ่งนี้สำคัญกว่า อย่าเสียเวลากับเรื่องนี้เลย”
นางพูดและส่ายหน้า
หัวหน้าผู้อารักขาไม่ยืนกรานต่อไปอีกเขารีบนำคนออกไป ขณะนั้นนางผู้สูงส่งก็มีสีหน้าเยือกเย็นลง
จิตสังหารปรากฏในแววตาของนาง
“เสี่ยวเถาแอบฆ่าไอ้คนโรคจิตในพุ่มไม้นั่นซะ มันต้องบาดเจ็บอยู่แน่ แต่เจ้าต้องฆ่ามันให้ตาย เก็บกวาดให้เรียบร้อยอย่าให้มีคราบเลือด”
สาวใช้ตกใจกับคำพูดของนางนางไม่อยากจะเชื่อว่านายหญิงเจอกับโจรขมขื่น! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย!
นายหญิงมีฐานะขุนนางถ้าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ทุกคนก็จะพากันนินทาเรื่องของนาง! นั่นจะทำให้ชื่อเสียงอันสะอาดบริสุทธิ์ของนางต้องมัวหมอง!
และที่สำคัญกว่านั้นนายหญิงได้หมายหมั้นไปแล้ว ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงหูคู่หมั้นก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่ นี่จึงเป็นเหตุที่นางแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่และพูดให้คนคุ้มกันออกไป
เสี่ยวเถาสีหน้าเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“โอหังนัก!กล้าดียังไงมาทำให้นายหญิงของพวกเราแปดเปื้อน! นายหญิง ท่านสบายใจได้ ข้าจะจัดการเอง!”
เสี่ยวเถาเข้าไปยังพุ่มไม้และมองหาโจรขมขื่นที่นายหญิงกล่าวถึงพื้นที่ตรงพุ่มไม้ไม่กว้างนัก แต่เมื่อมองดูสองครั้ง นางก็ไม่พบร่องรอยของชายคนที่ว่าเลย
เมื่อผ่านไปไม่นานนายหญิงของนางก็ขมวดคิ้วถาม
“เขาไม่อยู่ตรงนั้นรึ?เจ้าแน่ใจนะ? เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เพราะการหมั้นหมายของนางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่ออนาคตของตระกูลและก็เป็นเรื่องโชคดีอย่างมากที่เกิดงานหมั้นนี้ขึ้น! จะต้องไม่มีคำพูดใดในเรื่องนี้ถึงหูคู่หมั้นของนาง
เสี่ยวเถาพยักหน้า
“ข้าแน่ใจ!นายหญิง ท่านฆ่าเขาด้วยฝ่ามือไปแล้วหรือไม่? บางทีศพของเขาอาจจะจมอยู่ที่ใต้ทะเลสาบ”
เขาตายแล้วรึ?
นางไม่แน่ใจเท่าใดนัก
“ดูเหมือนเขาจะไร้ฐานพลังแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะตายเพราะฝ่ามือของข้า”
นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างแต่นางก็ลังเลอยู่นานจนยอมแพ้และกลับไปยังค่าย เมื่อนางเดินผ่านทะเลสาบก็พบว่าน้องสาวของนางกำลังเล่นน้ำและฮัมเพลงอย่างสนุกสนาน
นางไม่พอใจเท่าใดนัก
“เจ้าจะออกจากสระมาได้รึยัง?ยามวิกาลหนาวนัก ถ้าเจ้าไม่สบายขึ้นมาแล้วข้าจะบอกกับท่านพ่อท่านแม่ยังไง?”
เมื่อถูกตำหนิสาวน้อยน่ารักหยุดฮัมเพลงและรีบว่ายน้ำกลับฝั่ง ส่วนผู้เป็นพี่ได้กลับไปยังที่พักของตนเอง
“อ๊ะ!ข้าทำพลาดอีกแล้ว แถมยังพี่ทำข้าหงุดหงิดอีก”
นายโทษตัวเอง
“ข้ามันโง่จริงๆ”
นางตีหน้าผากตัวเองแต่จากนั้นนางก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง…
ถ้าหากพี่สาวมาตามข้าด้วยตัวเองเช่นนั้นก็แปลว่านางเป็นห่วงข้าน่ะสิ? อ๊ะ! ข้ามองข้ามความหวังดีของพี่ไปได้ยังไง ข้าจะต้องรีบกลับไปขอโทษนาง!
นางปืนขึ้นฝั่งอย่างงุ่มง่ามแต่นางก็เห็นบางคนในน้ำด้วยหางตา! เขาเป็นชายที่ดูอ่อนแอและกำลังซ่อนตัวอยู่!
ถ้าหากเป็นคนธรรมดาจะต้องหวาดกลัวเมื่อต้องพบเขาแน่นอนแต่สาวน้อยน่ารักผู้นี้ค่อนข้างใจเย็น นางจึงถาม
“เอ๋?ปู่ก็มาว่ายน้ำเหมือนกันรึ?”
ขณะที่นางพูดซือหยูที่สวมชุดขาวได้คลานไปที่ข้างทะเลสาบ นางเอามือลูบคางมองซือหยูที่ว่ายน้ำขึ้นฝั่งด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูที่ตกใจเสียงนางรีบโผล่ขึ้นมาจากน้ำและมองไปรอบๆในตอนนั้น ความเจ็บปวดรุ่นแรงได้แล่นผ่านไหล่จนเขาเบ้ปาก
ผู้หญิงนั่นจู่โจมเขาอย่างไร้ปรานีร่างกายของเขาก็ไม่มั่นคงนัก ฝ่ามือของนางแทบจะทำให้ทั้งไหล่ของเขาแหลกสลาย! ซือหยูมองสาวน้อยตรงหน้าและไม่รู้ว่าจะคิดอะไร
“หืม?ปู่จะไปไหนรึ?”
นางถาม
“ปู่ไม่มีบ้านรึ?”
ปู่เรอะ?ซือหยูตกใจคำที่นางใช้เรียกเขา เขาคิดว่ามันแปลกยิ่งนัก! เขาอายุมากกว่าสาวน้อยตรงหน้าแค่สองสามปีเท่านั้น แต่นางก็เรียกเขาว่าปู่!
“ข้าหลงมาอยู่ที่นี่ขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจ ข้าลาเจ้าล่ะ”
ร่างกายของซือหยูเปราะบางและหลังจากที่ไหล่บาดเจ็บ เขาได้หนาวสั่นและอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ เขาจะต้องไปหาที่อบอุ่นเพื่อฟื้นฟู
สาวน้อยรีบยืนขึ้นและกวักมือเรียกเขาเมื่อเห็นว่าซือหยูสภาพย่ำแย่
“ปู่รีบมาตรงนี้เถอะน้ำเย็นนัก ปู่ต้องไปที่ค่ายของข้า”
อะไรนะ?สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ระแวงคนแปลกหน้าเลย! ซือหยูคิดขณะลังเล
เขามองค่ายที่อยู่ไกลออกไปและถาม
“แม่หนูข้าขอถามหน่อยสิ…พวกเจ้าเป็นใครกันรึ?”
สาวน้อยตอบ
“ข้ามาจากตระกูลหยวนแห่งเทือกเขาครามพวกเราเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่บ้าง พวกเรารู้วิธีปรุงโอสถ ท่านพ่อกับท่านแม่และพี่สาวชอบช่วยเหลือผู้คน มากับข้าเถอะ พี่สาวจะต้องดีใจที่ได้ช่วยปู่แน่!”
ที่นางคิดพี่สาวของนางนั้นงดงาม สูงส่ง และใจดีอย่างมาก นางเป็นคนที่นับถือพี่สาวของนางสูงสุด
“แม่นางเจ้าชื่ออะไรรึ?”
ซือหยูถาม
สาวน้อยหัวเราะคิดคัก
“หึหึ!ข้าเป็นนายหญิงที่สองแห่งตระกูลหยวน หยวนหยิงหยิง”
นายหญิงสองรึ?ซือหยูตาลุกวาว น้ำตาแทบจะไหลอกมา เขามิอาจเชื่อว่านางจะเป็นหนึ่งในเสาหลักของตระกูล!
เมื่อรู้เรื่องนี้และนางบอกว่าอยากจะช่วยซือหยูด้วยตัวเอง การไปที่ค่ายก็น่าจะปลอดภัย ซือหยูไม่ลังเลเลย
เขาถูกหยวนหยิงหยิงพาไปที่ค่ายเมื่อไปถึงนางก็พูดขึ้นมา
“ปู่ทำตัวให้อุ่นก่อนนะข้าจะไปขออาหารจากสาวใช้ของท่านพี่”
หยวนหยิงหยิงเดินเตาะแตะไๆปหาสาวใช้นางกลับมาหลังจากที่ได้เนื้อแห้งมาสองชิ้น
ซือหยูหิวจัดเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานเขากินมันอย่างเอร็ดอร่อย
“หึหึปู่จะเอาอีกไหมล่ะ? ข้าจะไปเอามาให้อีก”
เมื่อหยวนหยิงหยิงเห็นว่าซือหยูดูมีสีสันบนใบหน้าขึ้นหลังจากกินเสร็จนางก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
ซือหยูยกมือขึ้นปฏิเสธนาง
“ไม่ต้องหรอกแม่หนูข้าอิ่มแล้วล่ะ ขอบคุณที่ให้อาหารข้า ข้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
“ปู่ไม่ต้องตอบแทนข้าหรอกแค่เนื้อสองชิ้นเอง!”
หยวนหยิงหยิงเขินอายเล็กน้อยและนางก็รีบพูดขึ้นมาเมื่อเห็นเสื้อผ้าขาดวิ่นและเปื่อยยุ่ยของซือหยู
“ปู่รอตรงนี้นะข้าจะไปหาเสื้อผ้าให้ใหม่”
ซือหยูพยักหน้าขณะมองตามนางและจู่ๆเขาก็หรี่ตาเมื่อมองไปยังนอกกระโจม
“ใครน่ะ?”
มีเสียงคนดังขึ้นมา
ฟึ่บ!
เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นคนอารักขาที่แข็งแกร่งสี่คนที่อาวุธครบมือเข้ามาล้อมซือหยู จากนั้นสาวใช้ก็เปิดประตูกระโจมให้หญิงสาวงดงามผู้มีใบหน้าเยือกเย็นเดินเข้ามา
“ไม่แปลกใจเลยที่หยวนหยิงหยิงไปขอเนื้อแห้ง!นางขอมาให้เจ้านี่เอง! ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นเจ้า”
เมื่อนางเห็นซือหยูสีหน้านางเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม นางสั่งเหล่าผู้อารักขา
“ลากมันออกไปฆ่าซะ!”
นางสั่งฆ่าซือหยูโดยไม่ถามไถ่อะไรเขาเลย!แม้ซือหยูจะไม่รู้ว่านางมีสถานะเป็นอย่างไร เขาก็แน่ใจว่านางต้องการให้เขาตาย
นางอยากจะฆ่าเขาเพียงเพราะเขาได้มองนางแค่ไม่กี่ครั้ง!นางไม่พยายามจะสืบหาความจริงเลย! นางโหดร้ายจริงๆ!
ซือหยูมองคนอารักขาทั้งสี่และพบว่าทุกคนเป็นกึ่งภูติส่วนใหญ่เป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวง ส่วนตัวนางผู้เยือกเย็นนั้นมีแก้วสามดวง
สาวใช้ของนางฐานพลังต่ำกว่านางมีแก้วเพียงดวงเดียว เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเผาทุกคนให้ตายด้วยเพลิงวิญญาณ
“นี่แม่นางเจ้าไม่คิดถึงผลที่ตามมาก่อนจะฆ่าคนเพียงเพื่อปิดบังความลับเลยรึ?”
ซือหยูหวังว่าเขาจะไม่ต้องฆ่าคนเหล่านี้โดยเฉพาะเมื่อพวกนางมีจำนวนที่มาก
เมื่อได้ยินคำถามนางเบิกตากว้าง สายตานางเยือกเย็นขึ้น
“เจ้าขู่ข้าเรอะ?”
นางคิดว่าซือหยูอยากจะเปิดเผยเรื่องที่เขาเห็นนางอาบน้ำ
“เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ย่อมได้”
ซือหยูตอบเขาดูเยือกเย็นแม้จะโดนล้อมอยู่
เขาดูไม่เกรงกลัวและค่อนข้างมั่นใจอีกด้วยนางดูหวาดหวั่นขึ้นมา
นางคิดว่าจะทำอะไรต่อไปขณะที่นางลังเลอยู่นั้นเอง ได้มีหัวของคนที่อ่อนแอเบียดเข้ามาในกระโจมจนเกือบจะโขกกับหัวนาง!
“อ๊ะ!ท่านพี่! ท่านมาที่นี่ทำไมกัน? ทำไมถึงเอาทหารตำหนักมาด้วยล่ะ? แล้วทำไมถึงขู่ปู่คนนี้?”
หยวนหยิงหยิงถามด้วยความตกใจเมื่อมาเห็นเหตุในกระโจม
นางผู้เย็นชาสั่นไปทั้งตัวนางมองหยวนหยิงหยิงและฝืนตัวเองให้ใจเย็น
“เขาได้พูดอะไรกับเจ้าหรือไม่?”
หยวนหยิงหยิงค่อนข้างสับสนกับคำถามของพี่สาวที่ดูแปลกประหลาด
“ปู่บอกทุกอย่างกับข้ามานิดเดียวท่านพี่อยากจะรู้อะไรกันแน่?”
หยวนหยิงหยิงกระพริบตาเพราะที่นางคิดคือซือหยูบอกนางจริงๆว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
ปั่ก!ปั่ก!
พี่สาวนางก้าวไปข้างหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัวนางตัวสั่นเทิ้มและกัดฟันแน่น นางโกรธจนตัวสั่น
“เจ้าไร้ยางอายน่ารังเกียจนี่ใช้น้องสาวข้าเป็นเครื่องมืองั้นรึ!”
นางเข้าใจซือหยูผิดและคิดว่าเขาบอกทุกสิ่งกับน้องสาวนางเพื่อเตรียมการเผื่อถูกฆ่านางคิดว่าถ้าหากฆ่าเขาเพื่อปิดความลับ น้องสาวนางก็ต้องเปิดโปงนางอยู่ดี!
DND.740 – วานรอสูรเจ้าเล่ห์
“ท่านพี่พูดอะไรนะ?พี่เป็นอะไร? เป็นหวัดรึเปล่า? ใส่ผ้าขนสัตว์นี่สิ…”
หยวนหยิงหยิงรีบพูด
สีหน้าของพี่สาวนางเยือกเย็นขึ้นมาทันที
“ไม่ต้อง”
นางหันไปมองหยวนหยิงหยิงด้วยความลังเล
“อย่าพูดเรื่องที่มันบอกเจ้ามิเช่นนั้นจงอย่าหาว่าข้าใจร้าย!”
หยวนหยิงหยิงไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวนางถึงโกรธแต่ดูเหมือนว่านางจะทำให้พี่สาวนางไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว นางได้แต่พยักหน้าไม่หยุด
“ท่านพี่ข้าจะไม่บอกใครเลย”
“เจ้าทำตัวให้ดีๆเถอะ!”
นางตอบอย่างเยือกเย็นและเดินออกจากกระโจมอย่างโกรธเกรี้ยวนางเดินผ่านกระโจมของซือหยูพลางครุ่นคิด
นางรู้ว่าเขาจะต้องแอบเข้ามาที่นี่เพราะรู้จักธงตระกูลหยวนและถ้าหากเขามีเรื่องซ่อนเร้นอยู่ เขาจะไม่กล้าเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นไปในช่วงเวลาหนึ่ง
ตราบเท่าที่นางไม่รีบร้อนฆ่าเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนางตั้งใจว่าจะรอจนกลับเทือกเขาครามก่อนจะหาโอกาสกำจัดเขาโดยที่ไม่มีใครรู้
“นายหญิงเราอยู่ระหว่างป่าบ้างกับภูเขา ข้างหน้าเราก็คือเทือกเขาวารีอสูรที่อันตราย เมืองมนุษย์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปแสนลี้ ไม่แปลกรึที่มีคนแก่ที่ไร้ฐานพลังมาปรากฏตัวที่นี่?”
สาวใช้เสี่ยวเถาถามนายหญิงข้างๆ
นางก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกันเพราะผู้เฒ่าตัณหากลับผู้นี้แปลกเกินไป! แต่นางก็ไม่กล้าจะทำอะไรกับเขาไปสักระยะ
“รอเวลาก่อนเถอะเราจะจัดการเรื่องนี้หลังจากกลับไปถึงเทือกเขาคราม”
ซือหยูที่อยู่ในกระโจมคิดถึงเรื่องตระกูลหยวนเพราะหยวนหยิงหยิงบอกเขาว่าตระกูลนางเป็นตระกูลปรุงโอสถ ถ้าเช่นนั้นตระกูลนางก็ควรจะมีความรู้ด้านโอสถรวมถึงวิธีฟื้นฟูร่างกายด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหยวนอาจจะมีโอสถที่เหมาะให้เขาฟื้นฟูร่างกาย!
คงจะดีที่สุดถ้าเขายังคงอยู่ในคาราวานนี้อยู่ที่เทือกเขาครามคงจะดีกว่าอยู่ในที่รกร้าง! ส่วนผู้หญิงที่อยากจะฆ่าเขาซือหยูมิได้สนใจนัก เพราะถ้าหากหยวนหยิงหยิงไม่โผล่มาพอดี นางก็คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว!
ค่ำคืนผ่านไปโดยไม่เกิดเรื่องยามตะวันรุ่ง คณะเดินทางได้เดินทางต่อ ซือหยูหลับอย่างเจียมตัวในกระโจมหลังน้อยที่หยวนหยิงหยิงเตรียมให้
ตั้งแต่โลกเฉินหลงถูกทำลายเขายังไม่ได้หลับตาแม้แต่ครั้งเดียว เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก การนอนหลับที่เหมาะสมคงจะทำให้เขามีแรงมากขึ้น
เขามองเสื้อผ้าที่หยวนหยิงหยิงส่งให้มันเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่เหล่าคนอารักขาสวมใส่
มันพอดีกับเขาและทำให้เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วมันทั้งนุ่มและยืดหนุ่ม มันยังมีพลังป้องกันอีกด้วย
ซือหยูสวมมันและหวีผมขาวที่ยุ่งเหยิงมัดเป็นมวยและปั่กด้วยปิ่นไม้เขาละเส้นผมที่เหลือให้ประบ่า เขามองตัวเองในกระตกด้วยความตกใจ
แม้ชายแก่ในกระจกจะผอมบางอย่างมากเขาก็ยังตัวสูง และเมื่อได้รวบผมไว้อย่างดีก็เห็นได้ว่าใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลาเหมือนกับในอดีต แม้จะดูแก่เฒ่า แต่มันก็มีเสน่ห์ของคนหนุ่ม
ตอนนี้เขามิใช่คนเฒ่าตัวๆไปอีกแล้ว เขาไม่เป็นคนแก่แง้มฝาโลกอีก เขากลับดูตื่นตัว เฉียบคม และรอบรู้ เขาดูมิใช่คนจากโลกนี้เลย
“ปู่เราจะเดินทางแล้วนะ”
หยวนหยิงหยิงเรียกเขาด้วยเสียงอันอ่อนหวานจากนอกกระโจม
ซือหยูเปิดกระโจมและก้าวออกมา
“อ๊ะ!เจ้าเป็นใคร? เจ้าคือปู่เมื่อคืนรึ?”
หยวนหยิงหยิงตกใจมากเมื่อเห็นชายแก่ผมขาวตรงหน้าที่ดูเหมือนคนจากต่างโลก
เขาหุบยิ้มไม่ได้
“นายหญิงสองท่านลืมข้าไปแล้วรึ? ท่านเพิ่งจะรับข้ามาเมื่อวานนี้เอง! ข้าซือ…”
ซือหยูเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้บอกนามตัวเองแก่นาง
และเมื่อราชาเขตกลางหมายตาเขาเขาจะต้องไม่ใช้ชื่อที่แท้จริง! เขาคิดและตัดสินใจใช้ชื่อปลอมกับนาง
“ข้าซือหยูเซี่ยนเรียกข้าว่าผู้เฒ่าซือก็ได้”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
ซือหยูเซี่ยนได้คำว่าซือจากซือหยูหยูจากเซี่ยจิงหยู และเซี่ยนจากฉินเซี่ยนเอ๋อ เขาใช้แต่ละคำของชื่อแต่ละคนมาตั้งเป็นชื่อปลอม ชื่อนี้ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้น
“ปู่คือปู่ซือสินะ!”
หยวนหยิงหยิงมองเขาด้วยดวงตากลมโตและความสงสัย
“ซือหยูเซี่ยน?ชื่อปู่หมายความว่าพิรุณอมตะ…ปู่ซือ ปู่เป็นพิรุณอมตะจริงๆรึ? ทำให้ฝนตกใส่พวกเราได้ไหม?”
ซือหยูหัวเราะนางช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางทำให้เขาคิดถึงเซี่ยนเอ๋อในอดีต เขาเกือบจะเข้าใจผิดว่านางเป็นเซี่ยนเอ๋อด้วยซ้ำ มันทำให้เขารู้สึกดีกับนาง
“หยิงหยิงทำไมยังไม่ขึ้นรถม้ามาอีก?”
เมื่อรถม้าแล่นผ่านม่านก็ได้เปิดออกพร้อมกับพี่สาวนางที่โผล่หน้าออกมา
นางตะลึงเมื่อเห็นซือหยูนางมิอาจหาส่วนเกี่ยวข้องระหว่างชายแก่ตรงหน้ากับผู้เฒ่าราวกับผีเมื่อคืนที่ผมยุ่งได้เลย! นางจำเขาได้ในตอนที่ซือหยูมองนางเท่านั้น เพราะดวงตาของเขาคือสิ่งที่นางยังไม่ลืม
แต่นางก็กลับมาเย็นชาเหมือนเดิมเพราะนางที่ชิงชังเขาจะต้องไม่ทำดีกับเขา! นางดึงม่านลงและไม่สนใจอะไรอีก
หยวนหยิงหยิงแลบลิ้นและโบกมือเมื่อขึ้นไปยังรถม้าเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าซือหยูจะได้ขี่ม้าร่วมกับผู้อารักขาขณะเดินทาง
เมื่อขึ้นขี่ม้าก็พบว่าม้านี้ต่างกับม้าที่เฉินหลงม้าที่เขาขี่มีพลังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนไหลอยู่ในร่างกาย พลังนี้แข็งแกร่งมากและดูเหมือนพลังพลังชีวิตของมนุษย์
“เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนรึ?นี่คือม้าหมื่นลี้ของตระกูลหยวน มันคือสัตว์อสูรระดับหนึ่งของตระกูลอสูร มันวิ่งได้วันละหมื่นลี้ คนธรรมดาไม่มีทางได้ขี่มัน”
เสี่ยวเถาที่ขี่ม้าข้างๆซือหยูยิ้มเยาะอธิบายเมื่อเห็นว่าซือหยูมองดูม้าด้วยความสงสัย
สัตว์อสูรรึ?ซือหยูตกตะลึงอย่างมาก เพราะไม่มีสัตว์อสูรที่แท้จริงในโลกเฉินหลงมาก่อนเลย! แม้จะมีสัตว์บางอย่างที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูร แต่ก็เป็นเพราะมันคือสัตว์ป่าที่มีพลัง มิได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอสูรจริงๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์อสูรที่แท้จริง!
ข้าจะต้องหาทางรู้เรื่องทั่วๆไปของจิวโจวให้ได้!ซือหยูคิด
ม้าหมื่นลี้นั้นวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าสายลมมันเดินทางสิบลี้ได้ในเวลาเพียงสามลมหายใจ! ความเร็วของมันเทียบได้กับกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง!
ซือหยูเห็นว่าตำแหน่งของเขาแปลกไปเพราะเขาถูกล้อมไปด้วยทหารทุกทิศทาง เขาเชื่อว่าคนเหล่านี้มิได้ปกป้องเขาแต่กลับล้อมเขาเอาไว้เพื่อเฝ้าระวัง แต่เขาก็ไม่สนใจนัก เขาเพียงแค่เดินทางไปกับกลุ่มคาราวานอย่างเจียมตัว
หนึ่งชั่วยามผ่านไปพวกเขาเดินทางเกินหมื่นลี้มาถึงเทือกเขาทมิฬ เทือกเขานี้สูงชันและแนบชิดกันมาก ถ้าหากมองไกลๆจะเห็นเป็นเพียงกลุ่มก้อนความมืดสนิทที่ทำให้ไม่สบายใจ
กลุ่มคาราวานหยุดที่หน้าเขาทมิฬซือหยรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่นแปลงไป เหล่าทหารเริ่มระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
“เรามาถึงเทือกเขาวานรอสูรแล้วเอาโอสถกลิ่นสวรรค์ออกมา”
หัวหน้าอาฉิงหยิบธนูมาจากด้านหลัง
ธนูนี้มีสีดำสนิทมันคือสมบัติเทพระดับสูง
ทหารที่ใช้ม้าตัวเดียวกับซือหยูหยิบขวดมาจากกระเป๋าในขวดมีโอสถสีชมพูที่ปล่อยกลิ่นหอมออกมา มันเหมือนกับกลิ่นกายสตรีที่เบาบางละเอียดอ่อน
อ้าฉิงรับโอสถจากทหารและง้างธนูเล็งไปที่เงาทมิฬเขายิงโอสถออกไป โอสถพุ่งทะยานไปยังส่วนลึกสุดของเขาทมิฬ
ทุกคนเงียบลงเมื่อมองไปข้างในของภูเขาขณะกลั้นหายใจพวกเขาตึงเครียดขณะที่รอคอย…
เจี๊ยก!เจี๊ยก!
เสียงดังมาจากภูเขาจนพวกเขาตัวสั่นเงาขนาดยักษ์สะบัดบนภูเขาพร้อมกัน พวกมันพุ่งไปยังจุดที่โอสถกลิ่นสวรรค์ถูกยิงไป
หัวหน้าอ้าฉิงยินดีเมื่อเห็นดังนี้เขาตะโกน
“ไปกันเถอะ!ตามข้ามา”
เมื่อเขาตะโกนเขาถอยไปที่ข้างรถม้าที่ต้องปกป้องอย่างแน่นหนาที่สุด
พวกเขาพยายามจะกลบเสียงรถม้าขณะที่ผ่านภูเขาทมิฬและกลั้นหายใจซือหยูสับสนกับสิ่งที่พวกเขาทำ เสียงที่ดังเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเหล่าวานร
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ซือหยูถามเบาๆราวกับเสียงกระซิบ
ทหารข้างๆเขาตอบ
“เทือกเขาวานรอสูรน่ะมันเคยเป็นถนนเก่าที่คาราวานพ่อคต้าใช้เดินทาง มันเคยเป็นถนนที่คับคั่ง แต่จากนั้นก็มีวานรอสูรโผล่ขึ้นมา มันยึดพื้นที่เขารอบๆและขวางทางเอาไว้ มันเริ่มปล้นคนที่เดินทาง ภูเขานี้จึงได้ชื่อว่าเขาวานรอสูร”
ซือหยูเอามือปิดปากเมื่อได้ฟังคำอธิบาย
ทหารพูดต่อ
“วานรไม่ได้แค่ปล้นคาราวานพ่อค้ามันยังฆ่าพวกพ่อค้าด้วย! มันไม่เคยปล่อยให้ใครรอดชีวิตเลย! พวกวานรอสูรชอบจับผู้หญิงไปที่ถ้ำของมัน หลายคนถูกพวกมันข่มขืน”
ซือหยูขมวดคิ้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์นิยมชมชอบมนุษย์ผู้หญิง!
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่มีใครฆ่ามันเล่า?ไม่มีภูติระดับสามสักคนในเทือกเขาครามเลยรึ?”
ซือหยูถาม
ทหารตอบด้วยความเกลียดชัง
“จะเป็นไปได้ยังไง?ตระกูลใหญ่ทั้งสามของเทือกเขาครามร่วมมือกันพยายามฆ่าวานรอสูรหลายครั้ง แต่พวกมันเจ้าเล่ห์ถึงที่สุด มันใช้ความเคยชินในพื้นที่ซ่อนตัวจนหาไม่พบ!”
เขาพูดต่อ
“พอภูติของพวกเราเคยไล่ล่ามันภูติเหล่านั้นบ้างก็หาไม่เจอ บ้างก็ถูกมันฆ่าตาย! เคยมีภูติผู้หญิงที่ถูกมันจับตัวไป จนถึงวันนี้นางอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย!”
ใบหน้าของเขาโกรธแค้นอย่างมาก
“พวกเราที่อยู่ในเทือกเขาครามช่างน่าขันนักเราถูกพวกมันรังแกนับไม่ถ้วน แต่พวกเราก็ยังจัดการมันไม่ได้”
ซือหยูขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาดีใจที่คาราวานนี้รีบออกจากสถานที่แห่งนี้ เพราะเขาไม่ใช่คนเดียวที่อยากจะออกจากเขาวานรอสูร!
เพราะวานรอสูรนั้นอันตรายมากถ้าหากมันรู้ว่าโอสถกลิ่นสวรรค์ไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงอย่างที่มันคิด พวกเขาก็คงจะตายกันหมด! พวกเขามาถึงกลางเขาวานรอสูรในไม่นาน หากพวกเขาผ่านจุดนี้ไปได้ พวกเขาก็จะเดินทางต่อได้อย่างปลอดภัย
เจี๊ยก!เจี๊ยก!
แต่เสียงวานรอันน่ากลัวก็ได้ดังทั่วเทือกเขาระยะของเสียงฟังดูทั้งใกล้และไกล บอกไม่ได้เลยว่าเสียงดังมาจากที่ใด
ซือหยูหันไปมองนางอย่างละเอียดนางดูสง่าอย่างน่าอัศจรรย์ ผิวของนางเปล่งประกายดั่งหยก กองไฟที่ชายฝั่งสะท้อนกับผิวของนางระยิบระยับ
แม้ว่านางจะดูงดงามเพียงใดสายตาซือหยูก็ได้แต่ขยะแขยงเมื่อมองนาง
“เป็นอะไรของเจ้า?”
นางถามและขมวดคิ้ว
เมื่อน้องสาวนางไม่ตอบมานานนางก็เริ่มรับรู้ว่ามีบางอย่างแปลกไป นางหันไปที่ฝั่งโดยไม่รู้ตัว
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช่น้องสาวของนางแต่เป็นชายแก่เฒ่าที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวเส้นผมของเขายุ่งเหยิงอย่างมาก
“ผี!!”
นางกรีดร้องและเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ซือหยูอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนักเขาเปียกไปทั้งกาย ผมยาวของเขาปิดแก้มจนเหลือเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา เขาดูน่ากลัวอย่างมากในค่ำคืนอันมืดมิด!
เมื่อถึงตอนนี้ซือหยูจึงรู้แล้วว่านางเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่นแต่เมื่อเขาเห็นว่านางจะกรีดร้องอีกครั้งก็กระโจนเข้าใส่นางอย่างแม่นยำและกดหัวนางให้จมพุ่มไม้ เขาใช้มือขวาปิดปากเพื่อไม่ให้นางส่งเสียงดัง
แม้ว่าร่างกายของเขาจะอ่อนแอและเปราะบางเขาก็รู้ตัวแล้วว่าเขาสามารถจับตัวผู้หญิงได้โดยเฉพาะเมื่อนางดูเหมือนเป็นผู้ที่ไร้ฐานพลัง…
แต่อนิจจา…ซือหยูประเมินนางต่ำไปนางมิใช่คนที่ไร้พลัง และนางยังแข็งแกร่งอีกด้วย!
“เจ้าคนโรคจิต!”
นางตื่นตกใจและคิดว่าซือหยูคิดจะทำมิดีมิร้ายกับนางนางจึงสู้กลับโดยสัญชาตญาณ นางรวบรวมพลังชีวิตในฝ่ามือและซัดไปที่ไหล่ของซือหยู
ปั้ง!
ซือหยูกระเด็นลอยไปจากฝ่ามือของนางเขากระแทกกับพุ่มไม้ เสียงที่ดังขึ้นทำให้เหล่าคนคุ้มกันหันมามอง
นางพยายามสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและออกจากพุ่มไม้ในทะเลสาบผู้ติดตามของนางรีบเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ใบหน้าของสาวใช้ดูแปลกใจทันทีที่พบว่าไม่มีอะไรที่แปลกนางไปดูพุ่มไม้มืดและตะโกนเรียกคนเพื่อความมั่นใจ
“มาตรงนี้เร็ว!นายหญิงของเราเจออันตราย!”
ฟึ่บ!
เมื่อได้ยินเสียงของสาวใช้กลุ่มคนอารักขาติดอาวุธรีบพุ่งเข้ามา ชายอายุราวสามสิบที่เป็นหัวหน้าสายตาคมกริบขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นรึนายหญิง?”
นางจับชายเสื้อของตนโดยไม่พูดอะไรร่างกายที่น่าประทับใจของนางสั่นระริก นางยังตกใจไม่หายกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้าไม่เป็นไร”
นางตอบหลังจากใจเย็นลง
“อาจจะเป็นสัตว์น้ำในพุ่มไม้นั่น”
หัวหน้าคนอารักขากล่าว
“เป็นความผิดข้าเองที่ไม่ได้จัดการให้ดีเป็นความรับผิดชอบของข้าที่ทำให้ท่านตกใจ โปรดลงโทษแต่เพียงข้าเท่านั้น”
นางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรข้ารู้ว่าเจ้ามีคนจำกัด คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะลืมอะไรไปบ้าง รีบกลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ”
หัวหน้าคนอารักขามองพุ่มไม้และถาม
“ไม่ให้ข้าสั่งคนไปดูที่พุ่มไม้นั่นเล่า?ถ้าหากมันเป็นสัตว์น้ำมีพิษ ท่านอาจจะเป็นอันตรายได้”
“ไม่ต้องการเดินทางพรุ่งนี้สำคัญกว่า อย่าเสียเวลากับเรื่องนี้เลย”
นางพูดและส่ายหน้า
หัวหน้าผู้อารักขาไม่ยืนกรานต่อไปอีกเขารีบนำคนออกไป ขณะนั้นนางผู้สูงส่งก็มีสีหน้าเยือกเย็นลง
จิตสังหารปรากฏในแววตาของนาง
“เสี่ยวเถาแอบฆ่าไอ้คนโรคจิตในพุ่มไม้นั่นซะ มันต้องบาดเจ็บอยู่แน่ แต่เจ้าต้องฆ่ามันให้ตาย เก็บกวาดให้เรียบร้อยอย่าให้มีคราบเลือด”
สาวใช้ตกใจกับคำพูดของนางนางไม่อยากจะเชื่อว่านายหญิงเจอกับโจรขมขื่น! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย!
นายหญิงมีฐานะขุนนางถ้าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ทุกคนก็จะพากันนินทาเรื่องของนาง! นั่นจะทำให้ชื่อเสียงอันสะอาดบริสุทธิ์ของนางต้องมัวหมอง!
และที่สำคัญกว่านั้นนายหญิงได้หมายหมั้นไปแล้ว ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงหูคู่หมั้นก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่ นี่จึงเป็นเหตุที่นางแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่และพูดให้คนคุ้มกันออกไป
เสี่ยวเถาสีหน้าเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“โอหังนัก!กล้าดียังไงมาทำให้นายหญิงของพวกเราแปดเปื้อน! นายหญิง ท่านสบายใจได้ ข้าจะจัดการเอง!”
เสี่ยวเถาเข้าไปยังพุ่มไม้และมองหาโจรขมขื่นที่นายหญิงกล่าวถึงพื้นที่ตรงพุ่มไม้ไม่กว้างนัก แต่เมื่อมองดูสองครั้ง นางก็ไม่พบร่องรอยของชายคนที่ว่าเลย
เมื่อผ่านไปไม่นานนายหญิงของนางก็ขมวดคิ้วถาม
“เขาไม่อยู่ตรงนั้นรึ?เจ้าแน่ใจนะ? เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เพราะการหมั้นหมายของนางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่ออนาคตของตระกูลและก็เป็นเรื่องโชคดีอย่างมากที่เกิดงานหมั้นนี้ขึ้น! จะต้องไม่มีคำพูดใดในเรื่องนี้ถึงหูคู่หมั้นของนาง
เสี่ยวเถาพยักหน้า
“ข้าแน่ใจ!นายหญิง ท่านฆ่าเขาด้วยฝ่ามือไปแล้วหรือไม่? บางทีศพของเขาอาจจะจมอยู่ที่ใต้ทะเลสาบ”
เขาตายแล้วรึ?
นางไม่แน่ใจเท่าใดนัก
“ดูเหมือนเขาจะไร้ฐานพลังแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะตายเพราะฝ่ามือของข้า”
นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างแต่นางก็ลังเลอยู่นานจนยอมแพ้และกลับไปยังค่าย เมื่อนางเดินผ่านทะเลสาบก็พบว่าน้องสาวของนางกำลังเล่นน้ำและฮัมเพลงอย่างสนุกสนาน
นางไม่พอใจเท่าใดนัก
“เจ้าจะออกจากสระมาได้รึยัง?ยามวิกาลหนาวนัก ถ้าเจ้าไม่สบายขึ้นมาแล้วข้าจะบอกกับท่านพ่อท่านแม่ยังไง?”
เมื่อถูกตำหนิสาวน้อยน่ารักหยุดฮัมเพลงและรีบว่ายน้ำกลับฝั่ง ส่วนผู้เป็นพี่ได้กลับไปยังที่พักของตนเอง
“อ๊ะ!ข้าทำพลาดอีกแล้ว แถมยังพี่ทำข้าหงุดหงิดอีก”
นายโทษตัวเอง
“ข้ามันโง่จริงๆ”
นางตีหน้าผากตัวเองแต่จากนั้นนางก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง…
ถ้าหากพี่สาวมาตามข้าด้วยตัวเองเช่นนั้นก็แปลว่านางเป็นห่วงข้าน่ะสิ? อ๊ะ! ข้ามองข้ามความหวังดีของพี่ไปได้ยังไง ข้าจะต้องรีบกลับไปขอโทษนาง!
นางปืนขึ้นฝั่งอย่างงุ่มง่ามแต่นางก็เห็นบางคนในน้ำด้วยหางตา! เขาเป็นชายที่ดูอ่อนแอและกำลังซ่อนตัวอยู่!
ถ้าหากเป็นคนธรรมดาจะต้องหวาดกลัวเมื่อต้องพบเขาแน่นอนแต่สาวน้อยน่ารักผู้นี้ค่อนข้างใจเย็น นางจึงถาม
“เอ๋?ปู่ก็มาว่ายน้ำเหมือนกันรึ?”
ขณะที่นางพูดซือหยูที่สวมชุดขาวได้คลานไปที่ข้างทะเลสาบ นางเอามือลูบคางมองซือหยูที่ว่ายน้ำขึ้นฝั่งด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูที่ตกใจเสียงนางรีบโผล่ขึ้นมาจากน้ำและมองไปรอบๆในตอนนั้น ความเจ็บปวดรุ่นแรงได้แล่นผ่านไหล่จนเขาเบ้ปาก
ผู้หญิงนั่นจู่โจมเขาอย่างไร้ปรานีร่างกายของเขาก็ไม่มั่นคงนัก ฝ่ามือของนางแทบจะทำให้ทั้งไหล่ของเขาแหลกสลาย! ซือหยูมองสาวน้อยตรงหน้าและไม่รู้ว่าจะคิดอะไร
“หืม?ปู่จะไปไหนรึ?”
นางถาม
“ปู่ไม่มีบ้านรึ?”
ปู่เรอะ?ซือหยูตกใจคำที่นางใช้เรียกเขา เขาคิดว่ามันแปลกยิ่งนัก! เขาอายุมากกว่าสาวน้อยตรงหน้าแค่สองสามปีเท่านั้น แต่นางก็เรียกเขาว่าปู่!
“ข้าหลงมาอยู่ที่นี่ขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจ ข้าลาเจ้าล่ะ”
ร่างกายของซือหยูเปราะบางและหลังจากที่ไหล่บาดเจ็บ เขาได้หนาวสั่นและอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ เขาจะต้องไปหาที่อบอุ่นเพื่อฟื้นฟู
สาวน้อยรีบยืนขึ้นและกวักมือเรียกเขาเมื่อเห็นว่าซือหยูสภาพย่ำแย่
“ปู่รีบมาตรงนี้เถอะน้ำเย็นนัก ปู่ต้องไปที่ค่ายของข้า”
อะไรนะ?สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ระแวงคนแปลกหน้าเลย! ซือหยูคิดขณะลังเล
เขามองค่ายที่อยู่ไกลออกไปและถาม
“แม่หนูข้าขอถามหน่อยสิ…พวกเจ้าเป็นใครกันรึ?”
สาวน้อยตอบ
“ข้ามาจากตระกูลหยวนแห่งเทือกเขาครามพวกเราเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่บ้าง พวกเรารู้วิธีปรุงโอสถ ท่านพ่อกับท่านแม่และพี่สาวชอบช่วยเหลือผู้คน มากับข้าเถอะ พี่สาวจะต้องดีใจที่ได้ช่วยปู่แน่!”
ที่นางคิดพี่สาวของนางนั้นงดงาม สูงส่ง และใจดีอย่างมาก นางเป็นคนที่นับถือพี่สาวของนางสูงสุด
“แม่นางเจ้าชื่ออะไรรึ?”
ซือหยูถาม
สาวน้อยหัวเราะคิดคัก
“หึหึ!ข้าเป็นนายหญิงที่สองแห่งตระกูลหยวน หยวนหยิงหยิง”
นายหญิงสองรึ?ซือหยูตาลุกวาว น้ำตาแทบจะไหลอกมา เขามิอาจเชื่อว่านางจะเป็นหนึ่งในเสาหลักของตระกูล!
เมื่อรู้เรื่องนี้และนางบอกว่าอยากจะช่วยซือหยูด้วยตัวเอง การไปที่ค่ายก็น่าจะปลอดภัย ซือหยูไม่ลังเลเลย
เขาถูกหยวนหยิงหยิงพาไปที่ค่ายเมื่อไปถึงนางก็พูดขึ้นมา
“ปู่ทำตัวให้อุ่นก่อนนะข้าจะไปขออาหารจากสาวใช้ของท่านพี่”
หยวนหยิงหยิงเดินเตาะแตะไๆปหาสาวใช้นางกลับมาหลังจากที่ได้เนื้อแห้งมาสองชิ้น
ซือหยูหิวจัดเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานเขากินมันอย่างเอร็ดอร่อย
“หึหึปู่จะเอาอีกไหมล่ะ? ข้าจะไปเอามาให้อีก”
เมื่อหยวนหยิงหยิงเห็นว่าซือหยูดูมีสีสันบนใบหน้าขึ้นหลังจากกินเสร็จนางก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
ซือหยูยกมือขึ้นปฏิเสธนาง
“ไม่ต้องหรอกแม่หนูข้าอิ่มแล้วล่ะ ขอบคุณที่ให้อาหารข้า ข้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
“ปู่ไม่ต้องตอบแทนข้าหรอกแค่เนื้อสองชิ้นเอง!”
หยวนหยิงหยิงเขินอายเล็กน้อยและนางก็รีบพูดขึ้นมาเมื่อเห็นเสื้อผ้าขาดวิ่นและเปื่อยยุ่ยของซือหยู
“ปู่รอตรงนี้นะข้าจะไปหาเสื้อผ้าให้ใหม่”
ซือหยูพยักหน้าขณะมองตามนางและจู่ๆเขาก็หรี่ตาเมื่อมองไปยังนอกกระโจม
“ใครน่ะ?”
มีเสียงคนดังขึ้นมา
ฟึ่บ!
เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นคนอารักขาที่แข็งแกร่งสี่คนที่อาวุธครบมือเข้ามาล้อมซือหยู จากนั้นสาวใช้ก็เปิดประตูกระโจมให้หญิงสาวงดงามผู้มีใบหน้าเยือกเย็นเดินเข้ามา
“ไม่แปลกใจเลยที่หยวนหยิงหยิงไปขอเนื้อแห้ง!นางขอมาให้เจ้านี่เอง! ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นเจ้า”
เมื่อนางเห็นซือหยูสีหน้านางเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม นางสั่งเหล่าผู้อารักขา
“ลากมันออกไปฆ่าซะ!”
นางสั่งฆ่าซือหยูโดยไม่ถามไถ่อะไรเขาเลย!แม้ซือหยูจะไม่รู้ว่านางมีสถานะเป็นอย่างไร เขาก็แน่ใจว่านางต้องการให้เขาตาย
นางอยากจะฆ่าเขาเพียงเพราะเขาได้มองนางแค่ไม่กี่ครั้ง!นางไม่พยายามจะสืบหาความจริงเลย! นางโหดร้ายจริงๆ!
ซือหยูมองคนอารักขาทั้งสี่และพบว่าทุกคนเป็นกึ่งภูติส่วนใหญ่เป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวง ส่วนตัวนางผู้เยือกเย็นนั้นมีแก้วสามดวง
สาวใช้ของนางฐานพลังต่ำกว่านางมีแก้วเพียงดวงเดียว เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเผาทุกคนให้ตายด้วยเพลิงวิญญาณ
“นี่แม่นางเจ้าไม่คิดถึงผลที่ตามมาก่อนจะฆ่าคนเพียงเพื่อปิดบังความลับเลยรึ?”
ซือหยูหวังว่าเขาจะไม่ต้องฆ่าคนเหล่านี้โดยเฉพาะเมื่อพวกนางมีจำนวนที่มาก
เมื่อได้ยินคำถามนางเบิกตากว้าง สายตานางเยือกเย็นขึ้น
“เจ้าขู่ข้าเรอะ?”
นางคิดว่าซือหยูอยากจะเปิดเผยเรื่องที่เขาเห็นนางอาบน้ำ
“เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ย่อมได้”
ซือหยูตอบเขาดูเยือกเย็นแม้จะโดนล้อมอยู่
เขาดูไม่เกรงกลัวและค่อนข้างมั่นใจอีกด้วยนางดูหวาดหวั่นขึ้นมา
นางคิดว่าจะทำอะไรต่อไปขณะที่นางลังเลอยู่นั้นเอง ได้มีหัวของคนที่อ่อนแอเบียดเข้ามาในกระโจมจนเกือบจะโขกกับหัวนาง!
“อ๊ะ!ท่านพี่! ท่านมาที่นี่ทำไมกัน? ทำไมถึงเอาทหารตำหนักมาด้วยล่ะ? แล้วทำไมถึงขู่ปู่คนนี้?”
หยวนหยิงหยิงถามด้วยความตกใจเมื่อมาเห็นเหตุในกระโจม
นางผู้เย็นชาสั่นไปทั้งตัวนางมองหยวนหยิงหยิงและฝืนตัวเองให้ใจเย็น
“เขาได้พูดอะไรกับเจ้าหรือไม่?”
หยวนหยิงหยิงค่อนข้างสับสนกับคำถามของพี่สาวที่ดูแปลกประหลาด
“ปู่บอกทุกอย่างกับข้ามานิดเดียวท่านพี่อยากจะรู้อะไรกันแน่?”
หยวนหยิงหยิงกระพริบตาเพราะที่นางคิดคือซือหยูบอกนางจริงๆว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
ปั่ก!ปั่ก!
พี่สาวนางก้าวไปข้างหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัวนางตัวสั่นเทิ้มและกัดฟันแน่น นางโกรธจนตัวสั่น
“เจ้าไร้ยางอายน่ารังเกียจนี่ใช้น้องสาวข้าเป็นเครื่องมืองั้นรึ!”
นางเข้าใจซือหยูผิดและคิดว่าเขาบอกทุกสิ่งกับน้องสาวนางเพื่อเตรียมการเผื่อถูกฆ่านางคิดว่าถ้าหากฆ่าเขาเพื่อปิดความลับ น้องสาวนางก็ต้องเปิดโปงนางอยู่ดี!
DND.740 – วานรอสูรเจ้าเล่ห์
“ท่านพี่พูดอะไรนะ?พี่เป็นอะไร? เป็นหวัดรึเปล่า? ใส่ผ้าขนสัตว์นี่สิ…”
หยวนหยิงหยิงรีบพูด
สีหน้าของพี่สาวนางเยือกเย็นขึ้นมาทันที
“ไม่ต้อง”
นางหันไปมองหยวนหยิงหยิงด้วยความลังเล
“อย่าพูดเรื่องที่มันบอกเจ้ามิเช่นนั้นจงอย่าหาว่าข้าใจร้าย!”
หยวนหยิงหยิงไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวนางถึงโกรธแต่ดูเหมือนว่านางจะทำให้พี่สาวนางไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว นางได้แต่พยักหน้าไม่หยุด
“ท่านพี่ข้าจะไม่บอกใครเลย”
“เจ้าทำตัวให้ดีๆเถอะ!”
นางตอบอย่างเยือกเย็นและเดินออกจากกระโจมอย่างโกรธเกรี้ยวนางเดินผ่านกระโจมของซือหยูพลางครุ่นคิด
นางรู้ว่าเขาจะต้องแอบเข้ามาที่นี่เพราะรู้จักธงตระกูลหยวนและถ้าหากเขามีเรื่องซ่อนเร้นอยู่ เขาจะไม่กล้าเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นไปในช่วงเวลาหนึ่ง
ตราบเท่าที่นางไม่รีบร้อนฆ่าเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนางตั้งใจว่าจะรอจนกลับเทือกเขาครามก่อนจะหาโอกาสกำจัดเขาโดยที่ไม่มีใครรู้
“นายหญิงเราอยู่ระหว่างป่าบ้างกับภูเขา ข้างหน้าเราก็คือเทือกเขาวารีอสูรที่อันตราย เมืองมนุษย์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปแสนลี้ ไม่แปลกรึที่มีคนแก่ที่ไร้ฐานพลังมาปรากฏตัวที่นี่?”
สาวใช้เสี่ยวเถาถามนายหญิงข้างๆ
นางก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกันเพราะผู้เฒ่าตัณหากลับผู้นี้แปลกเกินไป! แต่นางก็ไม่กล้าจะทำอะไรกับเขาไปสักระยะ
“รอเวลาก่อนเถอะเราจะจัดการเรื่องนี้หลังจากกลับไปถึงเทือกเขาคราม”
ซือหยูที่อยู่ในกระโจมคิดถึงเรื่องตระกูลหยวนเพราะหยวนหยิงหยิงบอกเขาว่าตระกูลนางเป็นตระกูลปรุงโอสถ ถ้าเช่นนั้นตระกูลนางก็ควรจะมีความรู้ด้านโอสถรวมถึงวิธีฟื้นฟูร่างกายด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหยวนอาจจะมีโอสถที่เหมาะให้เขาฟื้นฟูร่างกาย!
คงจะดีที่สุดถ้าเขายังคงอยู่ในคาราวานนี้อยู่ที่เทือกเขาครามคงจะดีกว่าอยู่ในที่รกร้าง! ส่วนผู้หญิงที่อยากจะฆ่าเขาซือหยูมิได้สนใจนัก เพราะถ้าหากหยวนหยิงหยิงไม่โผล่มาพอดี นางก็คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว!
ค่ำคืนผ่านไปโดยไม่เกิดเรื่องยามตะวันรุ่ง คณะเดินทางได้เดินทางต่อ ซือหยูหลับอย่างเจียมตัวในกระโจมหลังน้อยที่หยวนหยิงหยิงเตรียมให้
ตั้งแต่โลกเฉินหลงถูกทำลายเขายังไม่ได้หลับตาแม้แต่ครั้งเดียว เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก การนอนหลับที่เหมาะสมคงจะทำให้เขามีแรงมากขึ้น
เขามองเสื้อผ้าที่หยวนหยิงหยิงส่งให้มันเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่เหล่าคนอารักขาสวมใส่
มันพอดีกับเขาและทำให้เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วมันทั้งนุ่มและยืดหนุ่ม มันยังมีพลังป้องกันอีกด้วย
ซือหยูสวมมันและหวีผมขาวที่ยุ่งเหยิงมัดเป็นมวยและปั่กด้วยปิ่นไม้เขาละเส้นผมที่เหลือให้ประบ่า เขามองตัวเองในกระตกด้วยความตกใจ
แม้ชายแก่ในกระจกจะผอมบางอย่างมากเขาก็ยังตัวสูง และเมื่อได้รวบผมไว้อย่างดีก็เห็นได้ว่าใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลาเหมือนกับในอดีต แม้จะดูแก่เฒ่า แต่มันก็มีเสน่ห์ของคนหนุ่ม
ตอนนี้เขามิใช่คนเฒ่าตัวๆไปอีกแล้ว เขาไม่เป็นคนแก่แง้มฝาโลกอีก เขากลับดูตื่นตัว เฉียบคม และรอบรู้ เขาดูมิใช่คนจากโลกนี้เลย
“ปู่เราจะเดินทางแล้วนะ”
หยวนหยิงหยิงเรียกเขาด้วยเสียงอันอ่อนหวานจากนอกกระโจม
ซือหยูเปิดกระโจมและก้าวออกมา
“อ๊ะ!เจ้าเป็นใคร? เจ้าคือปู่เมื่อคืนรึ?”
หยวนหยิงหยิงตกใจมากเมื่อเห็นชายแก่ผมขาวตรงหน้าที่ดูเหมือนคนจากต่างโลก
เขาหุบยิ้มไม่ได้
“นายหญิงสองท่านลืมข้าไปแล้วรึ? ท่านเพิ่งจะรับข้ามาเมื่อวานนี้เอง! ข้าซือ…”
ซือหยูเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้บอกนามตัวเองแก่นาง
และเมื่อราชาเขตกลางหมายตาเขาเขาจะต้องไม่ใช้ชื่อที่แท้จริง! เขาคิดและตัดสินใจใช้ชื่อปลอมกับนาง
“ข้าซือหยูเซี่ยนเรียกข้าว่าผู้เฒ่าซือก็ได้”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
ซือหยูเซี่ยนได้คำว่าซือจากซือหยูหยูจากเซี่ยจิงหยู และเซี่ยนจากฉินเซี่ยนเอ๋อ เขาใช้แต่ละคำของชื่อแต่ละคนมาตั้งเป็นชื่อปลอม ชื่อนี้ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้น
“ปู่คือปู่ซือสินะ!”
หยวนหยิงหยิงมองเขาด้วยดวงตากลมโตและความสงสัย
“ซือหยูเซี่ยน?ชื่อปู่หมายความว่าพิรุณอมตะ…ปู่ซือ ปู่เป็นพิรุณอมตะจริงๆรึ? ทำให้ฝนตกใส่พวกเราได้ไหม?”
ซือหยูหัวเราะนางช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางทำให้เขาคิดถึงเซี่ยนเอ๋อในอดีต เขาเกือบจะเข้าใจผิดว่านางเป็นเซี่ยนเอ๋อด้วยซ้ำ มันทำให้เขารู้สึกดีกับนาง
“หยิงหยิงทำไมยังไม่ขึ้นรถม้ามาอีก?”
เมื่อรถม้าแล่นผ่านม่านก็ได้เปิดออกพร้อมกับพี่สาวนางที่โผล่หน้าออกมา
นางตะลึงเมื่อเห็นซือหยูนางมิอาจหาส่วนเกี่ยวข้องระหว่างชายแก่ตรงหน้ากับผู้เฒ่าราวกับผีเมื่อคืนที่ผมยุ่งได้เลย! นางจำเขาได้ในตอนที่ซือหยูมองนางเท่านั้น เพราะดวงตาของเขาคือสิ่งที่นางยังไม่ลืม
แต่นางก็กลับมาเย็นชาเหมือนเดิมเพราะนางที่ชิงชังเขาจะต้องไม่ทำดีกับเขา! นางดึงม่านลงและไม่สนใจอะไรอีก
หยวนหยิงหยิงแลบลิ้นและโบกมือเมื่อขึ้นไปยังรถม้าเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าซือหยูจะได้ขี่ม้าร่วมกับผู้อารักขาขณะเดินทาง
เมื่อขึ้นขี่ม้าก็พบว่าม้านี้ต่างกับม้าที่เฉินหลงม้าที่เขาขี่มีพลังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนไหลอยู่ในร่างกาย พลังนี้แข็งแกร่งมากและดูเหมือนพลังพลังชีวิตของมนุษย์
“เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนรึ?นี่คือม้าหมื่นลี้ของตระกูลหยวน มันคือสัตว์อสูรระดับหนึ่งของตระกูลอสูร มันวิ่งได้วันละหมื่นลี้ คนธรรมดาไม่มีทางได้ขี่มัน”
เสี่ยวเถาที่ขี่ม้าข้างๆซือหยูยิ้มเยาะอธิบายเมื่อเห็นว่าซือหยูมองดูม้าด้วยความสงสัย
สัตว์อสูรรึ?ซือหยูตกตะลึงอย่างมาก เพราะไม่มีสัตว์อสูรที่แท้จริงในโลกเฉินหลงมาก่อนเลย! แม้จะมีสัตว์บางอย่างที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูร แต่ก็เป็นเพราะมันคือสัตว์ป่าที่มีพลัง มิได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอสูรจริงๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์อสูรที่แท้จริง!
ข้าจะต้องหาทางรู้เรื่องทั่วๆไปของจิวโจวให้ได้!ซือหยูคิด
ม้าหมื่นลี้นั้นวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าสายลมมันเดินทางสิบลี้ได้ในเวลาเพียงสามลมหายใจ! ความเร็วของมันเทียบได้กับกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง!
ซือหยูเห็นว่าตำแหน่งของเขาแปลกไปเพราะเขาถูกล้อมไปด้วยทหารทุกทิศทาง เขาเชื่อว่าคนเหล่านี้มิได้ปกป้องเขาแต่กลับล้อมเขาเอาไว้เพื่อเฝ้าระวัง แต่เขาก็ไม่สนใจนัก เขาเพียงแค่เดินทางไปกับกลุ่มคาราวานอย่างเจียมตัว
หนึ่งชั่วยามผ่านไปพวกเขาเดินทางเกินหมื่นลี้มาถึงเทือกเขาทมิฬ เทือกเขานี้สูงชันและแนบชิดกันมาก ถ้าหากมองไกลๆจะเห็นเป็นเพียงกลุ่มก้อนความมืดสนิทที่ทำให้ไม่สบายใจ
กลุ่มคาราวานหยุดที่หน้าเขาทมิฬซือหยรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่นแปลงไป เหล่าทหารเริ่มระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
“เรามาถึงเทือกเขาวานรอสูรแล้วเอาโอสถกลิ่นสวรรค์ออกมา”
หัวหน้าอาฉิงหยิบธนูมาจากด้านหลัง
ธนูนี้มีสีดำสนิทมันคือสมบัติเทพระดับสูง
ทหารที่ใช้ม้าตัวเดียวกับซือหยูหยิบขวดมาจากกระเป๋าในขวดมีโอสถสีชมพูที่ปล่อยกลิ่นหอมออกมา มันเหมือนกับกลิ่นกายสตรีที่เบาบางละเอียดอ่อน
อ้าฉิงรับโอสถจากทหารและง้างธนูเล็งไปที่เงาทมิฬเขายิงโอสถออกไป โอสถพุ่งทะยานไปยังส่วนลึกสุดของเขาทมิฬ
ทุกคนเงียบลงเมื่อมองไปข้างในของภูเขาขณะกลั้นหายใจพวกเขาตึงเครียดขณะที่รอคอย…
เจี๊ยก!เจี๊ยก!
เสียงดังมาจากภูเขาจนพวกเขาตัวสั่นเงาขนาดยักษ์สะบัดบนภูเขาพร้อมกัน พวกมันพุ่งไปยังจุดที่โอสถกลิ่นสวรรค์ถูกยิงไป
หัวหน้าอ้าฉิงยินดีเมื่อเห็นดังนี้เขาตะโกน
“ไปกันเถอะ!ตามข้ามา”
เมื่อเขาตะโกนเขาถอยไปที่ข้างรถม้าที่ต้องปกป้องอย่างแน่นหนาที่สุด
พวกเขาพยายามจะกลบเสียงรถม้าขณะที่ผ่านภูเขาทมิฬและกลั้นหายใจซือหยูสับสนกับสิ่งที่พวกเขาทำ เสียงที่ดังเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเหล่าวานร
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ซือหยูถามเบาๆราวกับเสียงกระซิบ
ทหารข้างๆเขาตอบ
“เทือกเขาวานรอสูรน่ะมันเคยเป็นถนนเก่าที่คาราวานพ่อคต้าใช้เดินทาง มันเคยเป็นถนนที่คับคั่ง แต่จากนั้นก็มีวานรอสูรโผล่ขึ้นมา มันยึดพื้นที่เขารอบๆและขวางทางเอาไว้ มันเริ่มปล้นคนที่เดินทาง ภูเขานี้จึงได้ชื่อว่าเขาวานรอสูร”
ซือหยูเอามือปิดปากเมื่อได้ฟังคำอธิบาย
ทหารพูดต่อ
“วานรไม่ได้แค่ปล้นคาราวานพ่อค้ามันยังฆ่าพวกพ่อค้าด้วย! มันไม่เคยปล่อยให้ใครรอดชีวิตเลย! พวกวานรอสูรชอบจับผู้หญิงไปที่ถ้ำของมัน หลายคนถูกพวกมันข่มขืน”
ซือหยูขมวดคิ้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์นิยมชมชอบมนุษย์ผู้หญิง!
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่มีใครฆ่ามันเล่า?ไม่มีภูติระดับสามสักคนในเทือกเขาครามเลยรึ?”
ซือหยูถาม
ทหารตอบด้วยความเกลียดชัง
“จะเป็นไปได้ยังไง?ตระกูลใหญ่ทั้งสามของเทือกเขาครามร่วมมือกันพยายามฆ่าวานรอสูรหลายครั้ง แต่พวกมันเจ้าเล่ห์ถึงที่สุด มันใช้ความเคยชินในพื้นที่ซ่อนตัวจนหาไม่พบ!”
เขาพูดต่อ
“พอภูติของพวกเราเคยไล่ล่ามันภูติเหล่านั้นบ้างก็หาไม่เจอ บ้างก็ถูกมันฆ่าตาย! เคยมีภูติผู้หญิงที่ถูกมันจับตัวไป จนถึงวันนี้นางอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย!”
ใบหน้าของเขาโกรธแค้นอย่างมาก
“พวกเราที่อยู่ในเทือกเขาครามช่างน่าขันนักเราถูกพวกมันรังแกนับไม่ถ้วน แต่พวกเราก็ยังจัดการมันไม่ได้”
ซือหยูขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาดีใจที่คาราวานนี้รีบออกจากสถานที่แห่งนี้ เพราะเขาไม่ใช่คนเดียวที่อยากจะออกจากเขาวานรอสูร!
เพราะวานรอสูรนั้นอันตรายมากถ้าหากมันรู้ว่าโอสถกลิ่นสวรรค์ไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงอย่างที่มันคิด พวกเขาก็คงจะตายกันหมด! พวกเขามาถึงกลางเขาวานรอสูรในไม่นาน หากพวกเขาผ่านจุดนี้ไปได้ พวกเขาก็จะเดินทางต่อได้อย่างปลอดภัย
เจี๊ยก!เจี๊ยก!
แต่เสียงวานรอันน่ากลัวก็ได้ดังทั่วเทือกเขาระยะของเสียงฟังดูทั้งใกล้และไกล บอกไม่ได้เลยว่าเสียงดังมาจากที่ใด