The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 835-836
DND.835 – ทดสอบพลังชีวิต
“ซือหยูเซี่ยนออกมาได้แล้ว”
เสียงตะโกนดังมาจากนอกเรือนเมื่อปิงหวูชิงผู้ถือกระบี่ขมวดคิ้วด้วยใบหน้าเยือกเย็น
เมื่อซือหยูออกมาเห็นปิงหวูชิงในสภาพนี้เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป เมื่อมองดูนางอีกครั้งก็เห็นอสูรน้อยที่น้ำตาไหลพรากข้างกายนาง นางมีใบหน้าน่าเวทนาราวกับเศร้าโศกมาเป็นเวลานาน
“อะไรของเจ้า?”
ซือหยูถาม
ปิงหวูชิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าไม่รู้รึว่าเจ้าทำอะไรกับหวูซื่อ?”
ซือหยูไม่ปฏิเสธ
“ข้าก็แค่ให้นางได้ลิ้มรสผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์ของนางเอง!แล้วจะทำไม?”
อสูรน้อยเช็ดน้ำตาเค้นกรามแน่นและจ้องมองเขาอย่างดุร้ายนางใช้เวลาทั้งวันในห้องน้ำก็เพราะเขา!
“นางบอกข้าแล้วและถ้าหากนางเป็นคนเริ่ม ก็มิอาจมีใครโทษเจ้าได้…”
ปิงหวูชิงกล่าว
เมื่อได้ฟังซือหยูเริ่มสับสนและสงสัย…มิใช่ว่านางโกรธเรื่องนี้รึ เหตุใดนางถึงมาที่นี่ด้วยจิตสังหารกัน?
“ข้ากำลังถามเจ้าว่าเจ้าทำอะไรหวูซื่อหลังจากนั้น!”
ปิงหวูชิงโกรธจัด
ข้าทำอะไรน่ะรึ?ซือหยูคิดและพูดด้วยความสับสน
“ข้าไม่ได้ทำอะไรข้าก็แค่ให้นางตอบสองคำถามแล้วตีก้นนางหลายครั้ง หลังจากนั้นข้าก็บ่มเพาะพลังอีกห้าวันขณะที่นางพยายามขจัดพิษ จากนั้นข้าก็ไม่ได้เจอนางเลย”
ปิงหวูชิงจ้องมองเขาด้วยความโกรธยิ่งกว่าเดิม
“ไร้ยางอาย!เจ้าตีก้นนางแต่ก็ยังพูดว่าไม่ได้ทำอะไรผิดเรอะ? ไม่มีคนสอนเจ้าหรือว่าบุรุษกับสตรีไม่ควรแตะต้องกันเช่นนั้น?”
ซือหยูงุนงง
“นางก็แค่เด็กพิเรนทร์ตีก้นนางแล้วจะเป็นอะไรไป? เจ้ากำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่”
อสูรน้อยกำหมัดนางหน้าแดงและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้านั่นแหละที่เป็นเด็ก!ทั้งตระกูลเจ้ามันก็เด็กทั้งนั้น!”
ปิงหวูชิงแปลกใจกับคำพูดของซือหยูเมื่อครู่ก่อนนางจึงจ้องมองซือหยูนานด้วยแววตาประหลาด จากนั้นจึงถาม
“เจ้าไม่รู้จริงๆรึว่าหวูซื่ออายุสิบเก้า?”
“อะไรนะ?สิบเก้า? นางน่ะเรอะ?”
ซือหยูตกใจเมื่อกลับมาได้สติ เขาก็หันไปมองอสูรน้อยอีกครั้ง ใบหน้าของเด็กและอกแบนราบของนางไม่ต่างกับเด็กสิบขวบ!
“ไอ้คนลามก”
อสูรน้อยรีบเอามือปิดหน้าอกและพูดอย่างโศกเศร้า
“มองอะไรของเจ้า?”
ปิงหวูชิงสีหน้าเย็นชา
“ตอนหวูชิงสิบขวบนางรับประทานโอสถลับและทำให้ร่างกายคงสภาพที่อายุเดิม แต่อายุจริงของนางคือสิบเก้าปี เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นการดูหมิ่นตอนที่เจ้าตีก้นนางรึ?”
ซือหยูจิตใจยุ่งเหยิงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดต่ออย่างไร
“คนอื่นเห็นเจ้ากับข้าเป็นคู่รักเจ้าควรจะทำตัวให้ดีกว่านี้! ถ้าหากชื่อเสียงของข้ามัวหมอง ข้าจะไม่อภัยให้เจ้า”
จิตสังหารของปิงหวูชิงดับลงไปเมื่อนางรู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่นางก็เตือนเขาด้วยความชิงชัง
ซือหยูทำได้แค่ยิ้มแหยๆ
“ทำอย่างกับว่าข้าดีใจนักล่ะที่ได้เป็นคู่รักกับคนอย่างเจ้า!”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?อยากจะสู้กับข้างั้นเรอะ?”
ปิงหวูชิงเลิกคิ้ว
ซือหยูมิอาจทนความหยาบคายและไร้เหตุผลของนางได้อีกต่อไป
“เจ้าสองคนทะเลาะอะไรกันแต่เช้า!คู่เจ้านี่มันพิเศษเหลือเกิน!”
ไป่ชานเหลียงหัวเราะเบาๆเมื่อเดินออกมาจากเรือนตะวันตก
ซือหยูกลอกตาขณะที่ปิงหวูชิงจ้องมองเขา
“แต่ก็ดีพวกเจ้าทุกคนควรจะไปร่วมการทดสอบประจำฤดู พวกเจ้าอาจจะได้เจอกันบนลานประลอง ตอนนั้นเจ้าค่อยไปแสดงความรักกันอย่างที่พวกเจ้าต้องการ!”
ไป่ชานเหลียงเหน็บแนม
ในตอนนั้นเองบุรุษที่งดงามอย่างมากเดินออกมาจากเรือนใต้
“ถ้ามีใครกล้ารังแกน้องหยูเซี่ยนวันนี้ข้าจะเสี่ยงชีวิตสู้กับมันเอง!”
เทียนเหรินเหยาพูดขณะที่มองซือหยูด้วยความรัก
ซือหยูสั่นไปทั้งตัวเขาสงสัยเหลือเกินกว่าเทียนเหรินเหยาชอบส่วนไหนของเขากันแน่ เพราะเขามีรูปลักษณ์ที่แก่เฒ่าและไม่มีส่วนใดเลยที่น่าดูชม
“เอาล่ะไปกันเถอะ แต่ก่อนที่จะไป ข้าต้องเน้นย้ำสักเรื่อง…”
ไป่ชานเหลียงกล่าว
“ในปีที่ผ่านมาพวกเราเหล่าอสูรเป็นบุคคลสาธารณะของตำหนักนอกที่ถูกผู้คนยอมรับนับถืออยู่เสมอ พวกเราเป็นคนดังเช่นนี้ เราต้องระวังคำพูดให้ดีเพื่อไม่ให้เกียรติยศแห่งเขาอสูรมัวหมอง เข้าใจหรือไม่?”
นอกจากซือหยูอสูรอื่นอีกสามคนพยักหน้าอย่างใสซื่อ เกียรติยศแห่งเขาอสูรงั้นเรอะ? ซือหยูหน้าแดงด้วยความละอายเมื่อได้ยินคำพูดโอ้อวดเช่นนั้น
…
ที่รวมพลเป็นลานขนาดใหญ่ที่มีคนมากมายอยู่แท้จริงแล้วมีศิษย์นอกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อเข้ารับการทดสอบประจำฤดู
เหตุผลของการทดสอบนี้ก็เพื่อประเมินความก้าวหน้าของศิษย์ทุกคนในฤดูกาลที่ผ่านมาและถ้าหากพบผู้ที่มิได้ก้าวหน้ามานาน คนผู้นั้นก็อาจจะถูกลงโทษโดยการริบคะแนน และสำหรับกรณีที่ร้ายแรง คนผู้นั้นอาจถูกขับออกจากตำหนัก! ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะไม่ตั้งใจในการทดสอบนี้
มีผู้คนมารวมตัวกันเยอะจนก่อเกิดเป็นภาพการชุมนุมอันตระการตาพวกเขายืนเรียงรายจนล้นพื้นที่ไปหมด มีอยู่พื้นที่เดียวที่ว่างซึ่งก็คือที่นั่งผู้ชมตรงกลาง หากมีคนนับเอ้าอี้ว่างเหล่านั้นก็จะพบว่ามีจำนวนหลายร้อย
ซือหยูนั่งลงบนที่ว่างที่หน้าผากเต็มไปด้วยรอยย่น
“นี่น่ะรึเกียรติยศแห่งเขาอสูรที่เจ้าพูดถึง?”
ณขณะนี้ ไป่ชานเหลียง เทียนเหรินเหยา และกงซุนหวูซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองผู้คนขณะที่โบกมือให้ พวกเขาตะโกนพร้อมกัน
“ศิษย์น้องมานี่สิ! มีที่นั่งเหลือตรงนี้เยอะเลยนะ”
แต่ผู้คนก็ทำตรงกันข้ามกับความปรารถนาของพวกเขา…
“หนีกันเถอะ!ดูรอยยิ้มชั่วช้าของพิษประจิมนั่นสิ! เขาอาจจะกำลังอยากทดสอบพิษใหม่อยู่ก็ได้! ข้าเคยได้ยินว่าทุกคนที่ถูกเขาจับตัวไปจะกลายเป็นหนูทดลองพิษของเขา!”
“ปีศาจบูรพาก็ยิ้มน่ากลัวเหมือนกันนางกำลังวางแผ่นชั่วอยู่แน่! ทุกคนอย่าลืมเลี่ยงพวกเขา อย่าตกไปอยู่ในมือพวกนั้นให้ได้เชียว”
ท่าทางนอบน้อมของพวกเขามิเพียงแต่จะไม่ได้รับการต้อนรับแต่เหล่าคนกับกนะจัดกระจายไปด้วยความกลัว พวกเขารู้สึกว่าเหล่าอสูรนั้นเป็นเหมือนสัตว์ประหลาด ดังนั้นจึงมีที่ว่างอีกร้อยที่ที่ว่างเปล่าในพริบตา หนึ่งในสิบของลานใหญ่กลายเป็นที่ว่าง
รอยยิ้มอ่อนหวานของกงซุนหวูซื่อหายไปนางกำหมัดและพูดอย่างชั่วร้าย
“พวกเจ้ามันไม่รู้ว่าอะไรดี!พอประลองจบ ข้าจะวางยาพิษใส่พวกเจ้าให้ตายหมดเลย!”
เหล่าผู้คนหวาดกลัวยิ่งกว่าและทิ้งระยะไกลจากเหล่าอสูรมากกว่าเดิมพวกเขายินดีจะนั่งเบียดกันจนหายใจแทบไม่ออกดีกว่านั่งใกล้อสูรทั้งสี่ หลายคนกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นตระหนก…
“เจ้าได้ยินนางไหม?นางไม่ได้คิดดีอยู่แล้ว นางอยากจะวางยาพิษพวกเรา!”
“พวกอสูรน่ากลัวจริงๆ!”
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเราที่ใจดีและมีน้ำใจมักจะถูกเข้าใจผิดแบบนี้!”
กงซุนหวูซื่อถอนหายใจสั้นๆขณะที่พูด
“ใช่ข้าก็คิดเหมือนเจ้า!”
เทียนเหรินเหยาเห็นด้วยกันนาง
ในตอนนั้นเองไป่ชานเหลียงไอพร้อมกระอักเลือดออกมา เขาคร่ำครวญ
“ไม่นะ!เกียรติยศแห่งเขาอสูรของพวกเรา…”
ซือหยูกลอกตาเขากำลังคิดว่าพวกอสูรเป็นกลุ่มพวกประหลาดชัดๆ
แกร๊ง!
เสียงระฆังแหลมดังเมื่อสามคนขี่เมฆเข้ามาพวกเขาคือเจ้าตำหนักทั้งสามแห่งตำหนักนอก
เมื่อเจ้าตำหนักทั้งสามนั่งลงผู้เฒ่าคนหนึ่งประกาศขึ้นมา
“การประลองประจำฤดูจะเริ่มขึ้นในเวลานี้การทดสอบจะแบ่งเป็นสิบพื้นที่ในเวลาเดียวกัน จะมีการจัดลำดับตามระยะเวลาที่พวกเจ้าเข้าสู่ตำหนัก”
ไป่ชานเหลียงปิงหวูชิง กงซุนหวูซื่อ และเทียนเหรินเหยาถูกจับแยกกลุ่มกันอย่างจงใจ ส่วนซือหยูที่มาเป็นศิษย์ชุดสุดท้ายของนางคัดเลือกนั้นถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่ที่สิบ
ปิงหวูชิงมองซือหยูมาโดยตลอดและเมื่อรู้ว่าเขาถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่ที่สิบ นางก็พูดอย่างเย็นชา
“เห็นทีเจ้ากับข้าจะไม่มีโอกาสได้สู้กันแต่ก็ยังไปสู้กันได้หลังจากกลับเขาอสูร”
การทดสอบประจำฤดูมิใช่การท้าทายเพื่อจัดลำดับดังนั้นการประลองจึงมีเพื่อประเมินความก้าวหน้าของแต่ละคนเพียงเท่านั้น ศิษย์ที่ถูกจัดให้อยู่คนละกลุ่มย่อมไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กัน
“ข้ายินดีจะสู้กับเจ้าทุกเมื่อ”
ซือหยูส่ายหน้าเขาปวดหัวก็เพราะนาง
ขณะนั้นเองผู้เข้าร่วมทุกคนเริ่มเข้าไปยังพื้นที่ที่ตนถูกจัดเอาไว้ ซือหยูพบเฉาฉิงเฟิงอยู่ในพื้นที่ที่สิบตามคาด เฉาฉิงเฟิงถูกผู้เฒ่าจ้าวเทวะคนหนึ่งติดตามตลอดเวลาเพื่อไม่ให้มีโอกาสหนี
ดังนั้นผู้ที่มีฐานพลังสูงสุดในพื้นที่สิบก็คือเฉาฉิงเฟิง และบังเอิญเสียยิ่งกว่าที่ผู้ที่ประเมินในพื้นที่สิบคือจ้าวหอเพลิงคลั่ง!
นางยังคงทรงเสน่ห์ยั่วยวนเหมือนเคยและยังเป็นที่สนใจแก่ผู้คนเมื่อนางยืนบนลานประลองมีบุรุษเกือบหนึ่งในสามที่เหม่อลอย
เมื่อนางเห็นซือหยูจากระยะไกลนางก็ตาเป็นประกายและเหลือบมองเขาอย่างเจ้าชู้ นางยิ้มและส่งเสียงให้เขา
“ผู้ชายไร้หัวใจเจ้าไม่มาหาข้านานนัก! เจ้าทำให้ข้าเจ็บปวดจริงๆ!”
ซือหยูงุนงงกับนาง!ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือการมองเขาจากนางนั้นทำให้คนอื่นๆเกลียดเขายิ่งกว่าเดิม! มีศิษย์ที่อายุมากกว่าเขามากมายในพื้นที่สิบที่กำลังกำหมัดและพร้อมจะต่อสู้กับซือหยู!
ในบรรดาพลังของเหล่าอสูรมีเพียงซือหยูเท่านั้นที่ยังมีพลังไม่เป็นที่ประจักษ์ หลายคนจึงอยากจะรู้ถึงพลังของเขา
“การทดสอบแรกจะทดสอบความเข้มข้นในพลังชีวิตของพวกเจ้า”
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มเมื่อมองซือหยูผู้คนอิจฉาเขายิ่งขึ้น นางดูจะพอใจมากกับสิ่งที่ซือหยูต้องเจอ และเมื่อเห็นว่ากำลังจะถึงเวลา นางจึงประกาศการทดสอบ
มีกระบี่เล่มยักษ์ปักศิลาอยู่ณ พื้นที่ที่สิบ มีรอยกระบี่เก้ารอยสลักเอาไว้ มันแสดงถึงความเข้มข้นของพลังชีวิตเก้าระดับ
ภูติระดับหนึ่งจะมีพลังไปถึงรอยกระบี่รอยแรกเท่านั้นและภูติระดับสองก็จะมีพลังถึงรอยที่สอง เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนถึงระดับเก้า
ส่วนจ้าวเทวะกระบี่นี้มิอาจประเมินได้
ไม่นานผู้คนก็เริ่มไปทดสอบตามที่ชี้แนะบางคนมีพลังชีวิตที่โดดเด่นจนทุกคนสนใจ เฉาฉิงเพียงคือหนึ่งในคนเหล่านั้น
ก่อนหน้านี้ผู้คนเพียงแค่รู้ว่าเขาเป็นภูติระดับแปด และหลังจากที่ผ่านการทดสอบ พวกเขาจึงรู้ว่าเฉาฉิงเฟิงเกือบจะมีพลังชีวิตถึงภูติระดับเก้าแล้ว! การประเมินนี้ทำให้หลายคนแปลกใจ
“ท่านเจ้าตำหนักน่าสงสารเฉาฉิงเฟิงนัก หากมิได้ทำความผิดใหญ่หลวง เขาก็คงจะมีพรสวรค์อันยอดเยี่ยม”
เจ้าตำหนักฮั่วเสียดายเล็กๆ
เจ้าตำหนักคงฉานพยักหน้าเบาๆเพราะเห็นด้วยแต่นางยิ่งสนใจซือหยูมากกว่า เพราะความสามารถของซือหยูควรจะน่าประทับใจยิ่งกว่า!
“รอดูไปก่อน”
เจ้าตำหนักพูดอย่างใจเย็น
จากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาของซือหยูเขาคือคนสุดท้ายที่เข้ารับการทดสอบ
DND.836 – ต่อสู้ในการทดสอบ
“ซือหยูเซี่ยนขึ้นมา!”
จ้าวหอเพลิงคลั่งผู้ยั่วยวนมองซือหยูด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้
นางอยากจะรู้ว่าฐานพลังของซือหยูเป็นภูติระดับสามอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่เพราะเขาสามารถต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงที่ฐานพลังเท่ากันจนเสมอ! เขาควรจะไม่ใช่คนธรรมดาที่ขาดพรสวรรค์!
เฉาฉิงเฟิงไม่ได้สนใจนักต่อให้ซือหยูสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงเสมอได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นั่นก็เพราะเขาเป็นภูติระดับแปด
มีความแตกต่างในด้านพลังมากมายดังนั้นจึงไม่ควรจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และแท้จริงยังดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักจงใจไว้ชีวิตเขา
“ดูไปแล้วจะมีค่าอะไร?อย่างมากก็แค่สามรอยกระบี่!”novel-lucky
คนดูคนหนึ่งกล่าว
หลายคนสวมเสื้อผ้าแตกต่างกันพวกเขาไม่เป็นผู้เฒ่าตำหนักนอกก็ต้องเป็นศิษย์ใน พวกเขามารับชมการต่อสู้
เล่าอ๋ายกับเว่ยเจิงก็มาด้วยพวกเขาเป็นตัวแทนของสำนักซ้ายขวา พวกเขามาที่นี่เพื่อประเมินศิษย์ใหม่ที่มีพรสวรรค์น่าสนใจและเชิญเข้าฝ่ายตัวเอง
และก่อนหน้านี้ยังมีข่าวลือว่าซือหยูเคยต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงและเสมอพวกเขาต้องสนใจซือหยูให้มาก เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่มาจากสถานที่ลับต่างๆที่แอบสนใจซือหยูอยู่
“เขาคือศิษย์นอกที่พวกเราได้ยินชื่อมาหลายครั้งผู้ที่เสมอกับเจี๋ยนอู๋เชิงน่ะรึ? สุดท้ายก็แค่ข่าวลือสินะ เพราะเขาเป็นแค่ภูติระดับสาม!”
สตรีที่ดูหยิ่งยโสจ้องมองซือหยูและกระซิบกับคนข้างๆ
คนถัดจากนางกล่าว
“ศิษย์น้องเหือพวกเราทำตามคำสั่งศิษย์น้องปิงเพื่อมามองดูศิษย์นอกคนนี้ นี่ก็แค่ลานทดสอบ เรามิอาจประลองกับเขาได้ เราจะได้ไม่ลำบากไปทำเช่นนั้น”
“แล้วเรายังต้องดูอีกรึ?ศิษย์น้องปิงหูเบาเกินไป เขาก็แค่ภูติระดับสาม เราจะต้องไปดูอะไรอีก? ไม่นานก็ได้เบาะแสมากพอแล้วหลังจากเขาทดสอบพลังชีวิตจบ…”
ศิษย์น้องเหือพูดดูถูก
อีกคนนั้นมองซือหยูอย่างลึกซึ้งและยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ข้าคิดว่าเจ้าเด็กนี่มีความยอดเยี่ยมอยู่ในตัวเราอาจจะต้องตกใจกับการทดสอบพลังชีวิตนี้ก็ได้”
“หา?เขาจะมีพลังชีวิตสูงแค่ไหนกันเชียว? อย่างมากก็ได้แค่รอยกระบี่ที่สาม”
ศิษย์น้องเหือส่ายหน้าเพื่อแสดงความต่อต้าน
“ข้าไม่เห็นเป็นเช่นนั้นความหนาแน่นของพลังเจ้านี่ควรจะใกล้ภูติระดับสี่ มิเช่นนั้นเขาจะสู้เสมอเจี๋ยนอู๋เชิงไม่ได้”
ศิษย์น้องเหือขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกในที่นั่ง เจ้าตำหนักคงฉานและเจ้าตำหนักฮั่วชายตามองพื้นที่ที่สิบ
“ความหนาแน่นของพลังชีวิตเจ้าหนูนั่นไม่น่าจะต่ำหากเข้าใกล้สามรอยครึ่งก็ดีมากแล้ว บ่มเพาะอีกไม่นานเขาก็จะเป็นภูติระดับสี่”
เจ้าตำหนักฮั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เจ้าตำหนักคงฉานพยักหน้าช้าๆ
“ข้าคิดว่าเขามีพลังมากกว่านั้น”
เมื่อได้ฟังการพูดคุยของทั้งสองเจ้าตำหนักหันไปมองซือหยูและส่ายหน้า
“พวกเจ้าประเมินเขาต่ำไปแล้วพลังชีวิตของเขาไม่ควรจะต่ำอย่างนั้น มีโอกาสมากนักที่จะใกล้รอยกระบี่ที่สี่”
รองเจ้าตำหนักทั้งสองตกใจเมื่อได้ฟังการคาดเดาของเจ้าตำหนัก
“เช่นนั้นเขาก็จะเป็นภูติระดับสี่ในอีกไม่นานรึ?เขาเลื่อนระดับจากภูติระดับหนึ่งมาจนเกือบเป็นภูติระดับสี่ในเวลาแค่สองเดือน ความเร็วในการบ่มเพาะของเขารวดเร็วจนแปลกประหลาด เขาเกือบจะเทียบพวกสัตว์ประหลาดในตำหนักในได้อยู่แล้ว!”
เหล่ารองเจ้าตำหนักอุทานออกมาด้วยความยินดี
ศิษย์หลายคนก็มองดูซือหยูเช่นกันพลังของอสูรเรือนกลางคนใหม่ยังคงไม่มีใครได้เห็น และยังมีเรื่องข่าวลือในการต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงอีก ทุกคนย่อมต้องสงสัยในตัวเขาอยู่แล้ว
ซือหยูผู้อยู่บนลานทดสอบที่กำลังเป็นจุดสนใจจากคนนับหมื่นเดินไปที่กระบี่เขาคิดในใจ เห็นทีข้าจะไม่ต้องเผยพลังทั้งหมด หากซ่อนพลังไว้บ้าง เฉาฉิงเฟิงก็จะไม่ทันระวัง!
แต่เมื่อเขากำลังจะกดพลังชีวิตของตัวเองนั้นเองจ้าวหอเพลิงคลั่งที่มองออกก็พูดขึ้นมา
“ศิษย์ที่เข้ารับการทดสอบต้องใช้พลังทั้งหมดกระบี่มีสัมผัสแม่นยำ ถ้าสัมผัสได้ว่าผู้ทดสอบยังซ่อนพลังเอาไว้ก็จะส่งคำเตือน ผู้เข้าร่วมทดสอบจะถูกตัดสิทธิ์และต้องไปถูกลงโทษจ้องกำแพงหนึ่งปี”
ซือหยูขมวดคิ้วเขาไม่รู้เลยว่ามีกฎแบบนี้อยู่ด้วย! ไม่แปลกเลยที่ไม่มีกล้าซ่อนพลังและเลือกจะปล่อยทุกสิ่งที่มีออกมา
แต่เขามีจุดกำเนิดพลังสองแห่ง…หากใช้จุดกำเนิดพลังเดียวกระบี่จะยังสัมผัสได้หรือไม่?
หลังจากคิดถี่ถ้วนซือหยูตัดสินใจที่จะไม่เสี่ยงง เขาใช้พลังจากจุดกำเนิดพลังทั้งสองอัดแน่นในมือขวาและซัดกระบี่
ปั้ง!
กระบี่รอยที่สามเปล่งประกายขึ้นมาในพริบตานั่นเผยว่าความหนาแน่นของพลังวิญญาณซือหยูนั้นมาถึงภูติระดับสาม แต่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น รอยกระบี่ยังคงสูงขึ้นไปอีก!
เฉาฉิงเฟิงเยาะเย้ย
“ไม่คิดเลยว่าพลังชีวิตเจ้าจะบริสุทธิ์เช่นนี้มันเกือบถึงสามรอยครึ่….”
ในตอนนั้นเองรอยกระบี่เหนือสามรอยครึ่งขึ้นไป มันไปถึงรอยที่สี่!
“ความบริสุทธิ์นั่นมันเกือบจะถึงรอยที่สี่แล้ว!”
เฉาฉิงเฟิงตกใจ
เขาจำได้แม่นว่าซือหยูเพิ่งจะเป็นภูติระดับสามหลังกลับจากเขาวิญญาณจรัสการที่เขาเพิ่มพลังจนเกือบถึงภูติระดับสี่ในเวลาไม่กี่วันนั้นน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
ศิษย์น้องเหือที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนดูพยักหน้า
“ศิษย์พี่ลู่พูดถูกเขาเกือบจะถึงภูติระดับสี่แล้ว! แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่น่าจะสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงได้”
เจ้าตำหนักคงฉานกับเจ้าตำหนักฮั่วตกใจ
“ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้าหนูนี่ไม่สูงไปหน่อยรึ?”
เจ้าตำหนักมองซือหยูและพยักหน้าช้าๆ
“ไม่เลวเขาเกือบจะเป็นภูติระดับสี่แ….เดี๋ยวสิ! นั่นมันอะไร?”
หลายคนอ้าปากค้างในทันทีพวกเขาร้องตะโกนและจ้องมองกระบี่ นั่นก็เพราะแสงกระบี่ยังคงไม่หยุดพุ่งขึ้น มันเลยรอยกระบี่ที่สี่ไปแล้ว!
“นี่มันบ้าอะไรกัน?ฐานพลังซือหยูเซี่ยนก็แค่ภูติระดับสาม แต่พลังชีวิตกลับแข็งแกร่งถึงภูติระดับสี่ได้ยังไง?”
ความหนาแน่นของพลังชีวิตนั้นแสดงให้เห็นถึงฐานพลังปัจจุบันเมื่อปริมาณพลังชีวิตถึงจุดที่มากพอ มันจะเริ่มบีบอัดจนแน่น จุดกำเนิดพลังที่มิอาจรับแรงกดดันได้จะขยายออกซึ่งทำให้ฐานพลังเพิ่มขึ้น
ไม่มีเหตุผลกลใดที่จะมาอธิบายได้เลยว่าเหตุใดพลังชีวิตของซือหยูถึงอยู่ที่ภูติระดับสี่แม้จุดกำเนิดพลังของเขาจะยังไม่ขยายทุกคนหยุดสงสัยไม่ได้…เขามีจุดกำเนิดพลังที่ไม่เหมือนใครตั้งแต่เกิดเลยรึ? มันเป็นเหตุที่จุดกำเนิดพลังของเขาไม่ขยายสินะ?
เจ้าตำหนักทั้งสามตกใจมากรองเจ้าตำหนักทั้งสองสับสนอย่างหนัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเรื่องประหลาดเช่นนี้
เจ้าตำหนักพูดเบาๆกับตัวเอง
“แปลกจริง!จุดกำเนิดพลังของเขาขยายใหญ่กว่าคนปกติจนทำให้เขาสะสมพลังได้มากขึ้นรึ?”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าตำหนักเกือบจะเดาถูกแต่ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่นั้นเอง รอยกระบี่ก็ยังไม่หยุดขยับ มันเคลื่อนต่อไปจนเกินรอยที่ห้า!
“เป็นไปไม่ได้!”
เฉงฉิงเฟิงตกตะลึง
ไม่มีทฤษฎีใดที่อธิบายเรื่องนี้ได้อีกแล้ว…จุดกำเนิดพลังของซือหยูใหญ่กว่าคนทั่วไปเป็นเท่าตัวงั้นรึ?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงท้องของซือหยูก็คงจะไม่มีอวัยวะอื่นใดนอกจากจุดกำเนิดพลัง! อวัยวะภายในไม่ควรจะมีที่อยู่ได้! มันเป็นไปไม่ได้เลยนอกซะจากว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์!
ผู้คนส่งเสียงดังเมื่อตกใจกับผลการทดสอบและจุดกำเนิดพลังประหลาดของซือหยูเจ้าตำหนักเองตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาไม่รู้ว่าเกินอะไรขึ้น
ตามทฤษฎีจุดกำเนิดพลังของมนุษย์มิอาจมีขนาดถึงสองกำปั้นได้ นี่จึงเป็นเหตุให้หลายคนมิอาจคลายความสงสัยไปได้แม้เวลาจะผ่านไปนาน
ชายหนุ่มที่อยู่ในบรรดาคนดูหัวเราะออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ตัวตนเช่นนี้ประหลาดยิ่งข้าเชื่อข่าวลือนั่นแล้ว! เขาต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงจนเสมอได้จริงๆ”
ศิษย์น้องเหือพูดอย่างเย็นชา
“พลังชีวิตของภูติระดับห้าก็ยังไม่พอหากจะเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงรอดูต่อไปเถอะ”
แม้การทดสอบของพื้นที่อื่นจะจบลงไปแล้วการทดสอบในพื้นที่ที่สิบก็ยังคงน่าตกตะลึงที่สุด ทุกคนเพ่งความสนใจให้กับอสูรเรือนกลางผู้มีพลังชีวิตระดับสัตว์ประหลาด!
“การทดสอบที่สองคือการทดสอบร่างกายพื้นฐาน”
จ้าวหอเพลิงคลั่งผู้ยั่วยวนมองซือหยูตาเป็นประกายนางคาดหวังในการทดสอบถัดไป
การทดสอบร่างกายก็คือการทดสอบความแข็งแกร่งของกายเนื้อยอดฝีมือต้องบ่มเพาะทั้งพลังชีวิตและความแข็งแกร่งของกายา นั่นเป็นเหตุให้การทดสอบนี้สำคัญไม่แพ้กัน
การทดสอบร่างกายนั้นเรียบง่ายผู้ทดสอบเพียงแค่ต้องแบกหินที่มีขนาดเท่ากำปั้น แต่หากตำหนักสร้างหินเหล่านี้มาแบบพิเศษ มันย่อมไม่เหมือนกับหินอื่น
แม้ภูติระดับหนึ่งจะใช้พลังทั้งหมดเขาก็มิอาจแบกได้มากกว่าสิบก้อนพร้อมกัน ซึ่งก็หมายถึงหินแต่ละก้อนนั้นใช้หนึ่งในสิบแรงช้างในการแบก วิธีนี้ทำให้ประเมินพลังได้อย่างแม่นยำ
พื้นที่ที่สิบเริ่มการทดสอบและไม่เหมือนกับการทดสอบความหนาแน่นของพลังชีวิต เพราะความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นจะไม่ถูกจำกัดตามฐานพลัง ดังนั้นบางคนที่มีวิชาปรับร่างกายที่แข็งแกร่งจะมีร่างกายที่แข็งแรงตามไปด้วย
มีคนที่น่าประทับใจมากมายในพื้นที่ที่สิบหนึ่งในนั้นเป็นศิษย์นอกที่เป็นภูติระดับเจ็ด เขาสามารถแบกหินได้ถึงแปดสิบเอ็ดก้อน นั่นหมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าคนที่เพิ่งจะเป็นภูติระดับแปด!
แปดแรงช้างนั้นเป็นพลังที่มีแต่ภูติระดับแปดจะครอบครองนั่นเป็นเหตุให้คนผู้นั้นได้รับความสนใจจากคนหลายคน
ยังมีอีกคนที่น่าสนใจเขาคือเฉาฉิงเฟิง ฐานพลังของเขาเกือบจะถึงภูติระดับเก้า ขณะที่ร่างกายของเขาแบกหินได้เก้าสิบเอ็ดก้อน นั่นหมายความว่าเขาเทียบได้กับภูติระดับเก้าแล้ว
หลายคนถอนหายใจเมื่อมองเขาเพราะเฉาฉิงเฟิงนั้นคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง! หากให้เวลาเขามากพอ เขาจะมีโอกาสได้ไปถึงภูติระดับเก้าและอาจจะได้เป็นจ้าวเทวะ!
แต่น่าเสียดายที่เขาทำผิดใหญ่หลวงและถูกลงโทษอย่างหนักจากเจ้าตำหนักต่อให้เขาเอาชนะซือหยูได้ในวันนี้ เขาก็ถูกขับออกจากตำหนักอยู่ดี
รองเจ้าตำหนักทั้งสองถอนหายใจเขาหนักใจเมื่อคิดเช่นนี้ แม้ที่เฉาฉิงเฟิงทำลงไปจะชั่วร้ายแต่ท้ายสุด มันก็คือความสูญเสียของตำหนักนอกที่ลงโทษเขาแบบนั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่นานก็ถึงคราวซือหยูอีกครั้ง อีกเขาก็เป็นที่สนใจของทุกคนเช่นเคย ทุกคนเคยตกตะลึงมาก่อนแล้วว่าซือหยูมีพลังอันยิ่งใหญ่แค่ไหน!
“ซือหยูเซี่ยนขึ้นมา”
จ้าวหอเพลิงคลั่งมองซือหยู
“เจ้าต้องใช้พลังทั้งหมดเหมือนกับการทดสอบก่อนหน้ามิเช่นนั้นกระบี่จะสัมผัสได้”
ซือหยูพยักหน้าเขามองหินกองใหญ่เขาคว้าหินจำนวนมาก หากบอกให้ชัดเจนก็คือสามสิบเก้าก้อน
“เกือบถึงสี่แรงช้างแล้ว!”
มีคนตะโกนขึ้นมา
มันน่าตกใจมากที่ภูติระดับสามมีพลังเช่นนั้นแต่พวกเขาไม่ตกใจอีกแล้วเมื่อเป็นซือหยู จากนั้นซือหยูก็เริ่มหยิบหินทีละก้อนด้วยมือขวาจนเขาแบกสี่สิบเก้าก้อนได้ง่ายๆ!
“เกือบถึงห้าแรงช้าง”
เจ้าตำหนักคงฉานมองซือหยูอย่างพอใจ
เจ้าตำหนักฮั่วยิ้มอย่างอบอุ่น
“หึหึเขาเป็นศิษย์ที่ดี ทั้งพลังชีวิตและพลังกายไปถึงห้าแรงช้าง! ถ้าหากเขาบ่มเพาะพลังอย่างอดทนต่อไป เขาจะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่”
มีเพียงเจ้าตำหนักที่ยังคงเงียบ
และก็เป็นอย่างที่หลายคนคิดซือหยูหยิบหินก้อนที่ห้าสิบขึ้นมาในไม่นาน หลายคนกล่าวด้วยความนับถือ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือซือหยูยังคงไม่หยุด เขาหยิบต่อไปเรื่อยๆ!
“ห้าสิบสามก้อน”
“ห้าสิบสี่ก้อน”
“ห้าสิบห้าก้อน”
“อะไรกัน!พลังกายห้าแรงช้างครึ่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าฐานพลังอีก!”
หลังจากเสียงตะโกนนี้ผ่านไปผู้คนก็เงียบลงเมื่อพบว่าห้าแรงช้างครึ่งยังไม่ถึงพลังสูงสุดของเขา!
“ห้าสิบเจ็ด”
“ห้าสิบแปด”
“ห้าสิบเก้า”
เสียงดังจากเหล่าผู้คนเสียงนับนั้นแสดงถึงความสำเร็จของซือหยู หลายคนถึงกับกลืนน้ำลาย ซือหยูเกือบจะใช้พลังถึงหกแรงช้างแล้ว!
ปั้ง!
ซือหยูหยิบอีกก้อนผู้คนร้องคำราม บ้างก็ตะโกน
“หกแรงช้าง!เขาเป็นแค่ภูติระดับสามแต่มีพลังกายถึงหกแรงช้างผ่านฐานพลังและการฝึกฝน! มันเป็นไปได้ยังไง?”
แต่อีกไม่นานพวกเขาก็ต้องงุนงงอีกครั้งเพราะซือหยูยังไม่หยุด! ผ่านไปจนเขาแบกได้หกสิบห้าก้อน เขาจึงขมวดคิ้วและไม่คิดจะหยิบหินเพิ่ม
จ้าวหอเพลิงคลั่งที่เป็นผู้ตัดสินมิอาจอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของนางได้เลยนางคิดเพียงแต่ว่า…คนผู้นี้เป็นแค่ภูติระดับสามได้ยังไง? เขาเป็นสัตว์ประหลาด! ถ้าหากภูติระดับหกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเจอซือหยูเข้า คนผู้นั้นจะต้องถูกสั่งสอนอย่างแน่นอน!
“หกแรงช้างครึ่ง!เขาฝึกถึงระดับนี้ได้ยังไง?”
ชายคนหนึ่งอุทานขณะที่ทุกคนหายใจเข้าลึก
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่รู้เลยว่าซือหยูยังไม่ใช้กายามังกร! มิเช่นนั้นเขาจะมีพลังไปถึงเจ็ดแรงช้างครึ่ง!
เฉาฉิงเฟิงสีหน้าหม่นหมองแต่เขาก็คลายใจลงในไม่นาน
“น่าเสียดายนักอย่างไรเจ้ากับข้าก็ยังห่างชั้น”
ชายใบหน้ายิ้มแย้มชักสีหน้า
“นั่นมันสัตว์ประหลาด!แค่ที่เขาเผยออกมาอย่างเดียวก็มากพอที่จะเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงแล้ว! ไม่ต้องมองดูอะไรอีกแล้ว รีบกลับไปรายงานภารกิจเถอะ”
ศิษย์น้องเหือพูดขัด
“รอก่อนยังมมีการทดสอบอยู่อีก ข้าได้ยินว่าเขาต้องสู้กับเฉาฉิงเฟิงด้วย นี้เป็นโอกาสที่พวกเราจะได้เห็นพลังที่แท้จริงของเขา”
ชายใบหน้ายิ้มแย้มไม่มีทางเลือกเขาทำได้แค่รอดู
รองเจ้าตำหนักทั้งสองตกตะลึงทั้งคู่คิด…ซือหยูเซี่ยนบ่มเพาะพลังอย่างไรกัน? เหตุใดถึงแข็งแกร่งเพียงนี้?
พื้นที่ที่สิบกลายเป็นศูนย์รวมความสนใจอีกครั้งจากการทดสอบของซือหยูจ้าวหอเพลิงคลั่งที่ใบหน้าเปล่งประกายกระกาศจบการทดสอบ
จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
“การทดสอบสุดท้ายคือการต่อสู้จริงพวกเจ้าครึ่งหนึ่งที่มีเลขคี่ให้ไปสู้กับอีกครึ่งที่เหลือ เจ้าโยนตราประจำตัวให้คู่แข่งเพื่อเป็นการท้าประลองได้”
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
ตราประจำตัวหลายพันตราเปล่งแสงดั่งหยกพวกมันถูกขว้างออกไป แต่น่าแปลกที่มีตรามากกว่าร้อยตราถูกขว้างไปในจุดเดียวกัน
“อสูรเรือนกลาง!ข้าจะประลองกับเจ้า”
“ไสหัวไป!ข้าจะเป็นคนประลองกับมัน!”
“พวกเจ้าหลีกทางข้าเสียข้าจะประลองกับอสูรเรือนกลางเพื่อปิงหวูชิง”
…
หลายคนตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวพวกเขาแย่งชิงโอกาสที่จะได้ต่อสู้กับซือหยู ตราประจำตัวมากมายได้รวมกันเป็นกองภูเขาเล็กๆที่เบื้องหน้าซือหยู
ซือหยูคิดไม่ตกเมื่อเห็นสายตานับไม่ถ้วนมองเขาด้วยความคิดอยากจะต่อสู้
“พวกเจ้าทุกคนไสหัวไปซะ!”
ในตอนนั้นเองเสียงอันเยือกเย็นดังมาจากกลุ่มคน
“ข้ายังไม่ได้ประลองกับมันเลยยังไม่ถึงเวลาของขยะอย่างพวกเจ้า!”
ผู้ท้าประลองทุกคนเงียบเมื่อได้ฟังเสียงอันคุ้นเคยพวกเขาล้วนหลีกทางให้เฉาฉิงเฟิงที่ยืนมือไพล่หลังต่อหน้าซือหยู
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่แล้วหลังจากกำจัดเจ้าเท่านั้น ข้าถึงจะมีเวลาว่างประลองกับคนที่เหลือ”
ซือหยูไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทดสอบนี้นั่นก็คือการจัดการงูพิษชั่วร้ายตัวนี้!