The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 851-852
DND.851 – เจ้าถูกไล่ออก
ซือหยูหันไปมองฉินซีผู้เจ้าเล่ห์
“นี่ค่าจ้างสองเดือนของเจ้า”
ซือหยูหยิบถุงผ้าใบเก่าออกมาและโยนให้ฉินซี
ฉินซีดีใจมากเพราะคิดถึงแก้วสี่สิบดวงนี่คือค่าจ้างตามปกตินับสองปี! แต่เมื่อถือถุงผ้าก็พบว่ามันเบามาก เขาใจหาย เมื่อเปิดดูก็พบว่ามีแก้วอยู่เพียงสี่ดวง มิใช่สี่สิบ
เขาโมโหและโยนถุงผ้าลงกับพื้นทันทีเขาเงยหน้าอย่างดุร้าย
เขามองซือหยูราวกับสัตว์ป่า
“นี่มันบ้าอะไรกัน?ไหนค่าจ้างข้าล่ะ?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“ค่าจ้างเจ้ามิใช่แก้วสี่ดวงหรอกรึ?”
ฉินซีโกรธจัดจนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้ากำลังจะโกงข้าเรอะ?เจ้าไม่ได้บอกรึว่าลูกจ้างร้านตงหลินจะได้ค่าจ้างยี่สิบดวงต่อเดือน? ทำไมเจ้าถึงจ่ายให้ค่าตามค่าจ้างเดิม?”
ซือหยูหนักแน่นใจเย็นเขาถามกลับ
“…ยี่สิบดวงคือค่าจ้างคนของข้าเจ้าไม่ได้เพิ่งพูดว่าจะลาออกไม่ใช่รึ? ถ้าออกไป เจ้าก็ไม่ได้คนของข้าอีก เจ้าจะได้ค่าจ้างเท่ากันได้รึ?”
ซือหยูมองถุงผ้าบนพื้นและพูดต่ออย่างไร้อารมณ์
“เพราะเจ้ายังทำงานอยู่ถึงเจ้าจะไม่ได้ทำอะไรให้ร้านนัก แต่ข้าก็ยังจ่ายค่าจ้างสองเดือนกับเจ้า ถ้าเจ้าคิดว่ามันน้อยนัก เจ้าก็ไปหาร้านที่ให้มากกว่านี้ในเมืองส่วนในซะ”
ขณะที่พูดซือหยูโบกมือเรียกถุงผ้าที่มีแก้วสี่ดวงคืน เขาเก็บใส่แหวนมิติ
ฉินซีไม่พอใจเขาชี้หน้าซือหยูด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เจ้ากล้าดียังไงมารังแกข้า?ถ้าเจ้าอยากจะให้ข้าไป ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น เจ้าต้องให้แก้วข้าเดือนละยี่สิบดวง วันไหนข้าอยากไป ข้าจะไปเอง! แต่ตอนนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน!”
การที่เขาคิดจะออกนั้นไม่ต่างกับเรื่องตลก!เพราะไม่มีใครโง่พอที่จะออกจากงานที่ให้ค่าตอบแทนอย่างงามเช่นนี้!
ซือหยูหันไปมอง
“แล้วถ้าข้าไล่เจ้าออกเล่า?”
ฉินซีหัวเราะ
“ทุกคนจากตำหนักอย่างเจ้าก็แค่พวกโง่!เจ้าไม่หาข้อมูลเรื่องข้าก่อนจะมาที่นี่รึ? ข้าขอบอกไว้ก่อน…ข้าคือกลุ่มสามมือสังหารแห่งเมืองส่วนนอก หัวหน้ากลุ่มเป็นญาติสนิทข้า ถ้าเจ้ากล้าไล่ข้าออกไป พวกเราก็จะทำลายร้านโกโรโกโสนี่ซะ! อย่าคิดว่าตำหนักโลหิตมันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าใครที่มาเมืองส่วนนอกก็ต้องก้มหัวให้ข้า!”
เขาก็เป็นกลุ่มอันธพาลเช่นกันยิ่งสถานที่แร้นแค้นเท่าใดก็ยิ่งง่ายที่จะโกลาหล สถานที่เช่นนี้มักจะให้กำเนิดอันธพาลขึ้นมา
“กลุ่มสามโง่เรอะ?”
ซือหยูลูบคางและพูดซ้ำ
“กลุ่มสามมือสังหารต่างหากเจ้าโง่”
ฉินซีเชิดหน้าอย่างภูมิใจ
ซือหยูพยักหน้า
“กลุ่มสามมือสังหาร…เอาเถอะข้าจะจำไว้”novel-lucky
ฉินซีถอนหายใจแรงเมื่อเห็นซือหยูยอม
“เจ้าของร้านทุกคนที่เคยมาก็เหมือนกับเจ้าทำเป็นอวดดีตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ต้องก้มหัวให้ข้า ข้าจะไม่พูดอะไรแล้ว เอาแก้วสี่สิบดวงของข้ามา”
ซือหยูยืนมือไพล่หลัง
“เจ้าพูดจบหรือยัง?ถ้าพูดจบแล้วก็ไสหัวไปซะ! เจ้าถูกไล่ออก ข้าให้เวลาเจ้าไปแค่สามลมหายใจ!”
ฉินซีตกตะลึงเขามองซือหยูอย่างดุร้าย เขาพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ข้าจะพูดอีกครั้ง…ถ้าข้าไม่อยากออกแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ให้ข้าออกไม่ได้!”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“สามลมหายใจผ่านไปแล้วข้าจะไล่เจ้าออกไปเอง”
เขาโบกมือขวาพลังมหาศาลกระทบลำตัวฉินซี เขากระเด็นไปก่อนที่จะได้โต้ตอบ
กร๊อบ!กร๊อบ!
เสียงแตกหักดังมาจากกระดูกของฉินซีขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศเขากระอักเลือด เสียงกรีดร้องของเขาไม่ต่างกับหมูถูกเชือด มันดังก้องไปทั่วพื้นที่
ร่างของเขากระเด็นเป็นเส้นโค้งสวยงามเขากระแทกลงกับพื้น เช่นนั้นเอง การจู่โจมธรรมดาๆ ทำให้เขาเกือบจะพิการไปทั้งร่าง!
“ในที่สุดก็สงบลงสักที…”
ซือหยูยืนมือไพล่หลังตามเดิมเขาไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับนักเลงท้องถิ่นที่ทำให้ภาพลักษณ์ของร้านเสียหาย
ฉิงหลิวตกตะลึงเขาพูดเบาๆ
“ยอดฝีมือภูติ…”
เจ้าของร้านในอดีตอย่างมากก็เป็นแค่กึ่งภูติแต่ครั้งนี้กลับเป็นภูติที่มา! ความอวดดีที่เคยมีในสายตาหายไปหมด เขาไม่กล้าจะดูหมิ่นซือหยูอีก
ซือหยูมองเขาเมื่อได้ยินเสียงเบาๆ
“พูดอะไรของเจ้า?เจ้ายังมีค่าจ้างติดค้างอยู่อีกรึ?”
ฉิงหลิวสั่นไปทั้วตัวเม็ดเหงื่อปรากฏบนหน้าผาก หัวใจแทบจะหยุดเต้น เขารีบพูด
“ไม่…ข้าได้ข้าจ้างครบแล้ว”
นี่มันเรื่องตลกร้ายอะไรกัน?เขาจะกล้าทำให้ซือหยูโกรธทั้งๆที่ฉินซีนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร?
ซือหยูพยักหน้า
“ก็ดีแล้ว”
ฉิงหลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาแอบดีใจที่ฉินซีทำให้ซือหยูสนใจเขาทั้งหมด ถ้าหากไม่ใช่เพราะฉินซี เขาเองก็คงจะเป็นแบบฉินซีไปแล้ว!
“ท่านผู้อาวุโสข้าฉิงหลิว นางคือหยิงหลวน ท่านจะให้พวกข้าทำงานอย่างไรบ้าง?”
ความคิดของฉิงหลิวต่อซือหยูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ซือหยูโบกมือ
“ข้ามิใช่ผู้อาวุโสของพวกเจ้าเรียกข้าว่าเจ้าของร้านซือก็พอ ส่วนเรื่องงาน…พวกเจ้าทำอย่างเคยก็พอแล้ว”
ฉิงหลิวสับสนเขาคิดว่าเจ้าของร้านคนใหม่จะมอบงานหนักให้พวกเขาเพราะเขาจ่ายค่าจ้างจำนวนมาก เขาไม่คิดว่ามันจะง่ายดายเช่นนี้!
“ทำงานของเจ้าไปซะข้าจะไปพัก…”
ซือหยูพูดต่อ
ฉิงหลิวนำซือหยูไปที่ห้องในทันที
“ห้องกลางเป็นห้องของเจ้าของร้านข้าจะทำความสะอาดให้ท่าน”
“ไม่ต้อง”
ซือหยูเข้าไปในห้องปิดประตู และนั่งสมาธิ
จากนั้นซือหยูเข้าไปยังมุกวิญญาณเก้าหยก เขาปรากฏที่หน้าแปลงสมุนไพร เมล็ดวัตถุดิบวารีผงกลั่นดวงใจที่ผู้เฒ่าเหลียวหามานั้นถูกซือหยูปลูกมาก่อนหน้านี้แล้ว
ต้องขอบคุณพลังอันน่าอัศจรรย์ของดินเพาะบ่มชั้นสูงถ้าหากไม่ใช่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ ทุกสิ่งที่ปลูกในดินนี้จะเติบโตจนเก็บเกี่ยวได้ในเวลาห้าวัน วัตถุดิบทั้งแปดชนิด ที่ล้ำค่าสุดก็คือหญ้าใจสลายที่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ครั้งโบราณ เหลือเพียงแค่เมล็ดเอาไว้บนโลก
มันล้ำค่าในตอนนี้เท่านั้นในอดีตมันคือวัตถุดิบที่หาได้ทั่วไปและด้อยกว่าไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่ยากจะปลูก ซือหยูจ้องมองใบหน้าสีม่วงที่ตรงเป๊ะ มันดูเหมือนตะเกียบที่ปักอยู่บนพื้น
ที่ปลายใบหญ้านั้นมีดอกอ่อนที่ยังไม่บานด้านในเต็มไปด้วยเมล็ดสีดำที่มีหลายเมล็ดหล่นลงพื้นไปแล้ว เขาเห็นเมล็ดที่เริ่มงอก และอีกห้าวัน มันจะเติบโตเป็นผืนหญ้าใจสลาย!
ซือหยุยิ้มเขาใช้พลั่วหยกขุดเมล็ดขึ้นมา หลังจากนับก็พบว่ามีสามสิบเมล็ด เขาฝังมันในดินเพาะบ่มชั้นสูง
ส่วนวัตถุดิบอื่นที่ธรรมดากว่าหญ้าใจสลายต่อให้เขาไม่มีเมล็ด เขาก็ยังหามันได้ง่ายๆในเมืองเทียนหยา แต่เขาก็ยินดีที่มีเมล็ดเหล่านั้น จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้
ซือหยูรวบรวมวัตถุดิบสองชุดในการปรุงผงวารีกลั่นดวงใจก่อนจะออกจากมุกวิญญาณเก้าหยก ซือหยูก้าวพริบตาไปยังก้นหุบเขา
เขาเห็นจางตี๋เก้อวางตราภูติผู้ส่งสารลงบนตักและบ่มเพาะสิ่งสืบทอดในตราอย่างเงียบๆซือหยูพยักหน้าเมื่อเห็นนาง เขามองข้างๆ
เขาเห็นกิเลนน้อยอยู่ใกล้กับจางตี๋เก้อมันนั่งไขว้ขาและวางม้วนคัมภีร์สีดำที่ตัก มันกำลังอ่านอย่างตั้งใจ ทั้งตัวของมันส่องแสงสีม่วงจางๆออกมา
ท่าทางของมันขณะนี้คงทำให้คนส่วนมากระเบิดเสียงหัวเราะมันกำลังพยายามอย่างมากที่จะเรียนรู้วิชาช่างลับสวรรค์ ถ้าหากมันทำสำเร็จเมื่อใด มันจะช่วยซือหยูตีกระบี่ขึ้นมาได้
พอถึงตอนนั้นซือหยูจะได้ใช้เพลงกระบี่เก้าสุริยาที่ซือหยูรอคอยมานาน! ซือหยูยิ้มแต่ไม่รบกวนทั้งสอง เขากลับไปยังโลกภายนอกและเตรียมปรุงวารีผงกลั่นดวงใจ
เขามีวัตถุดิบสองชุดเขายังมีหม้อปรุงระดับสูงที่ผู้เฒ่าเหลียวหามาให้ เขาขาดเพียงสิ่งเดียว…นั่นก็คือไฟ!
ในตำหนักโลหิตซือหยูสามารถใช้ห้องของจ้าวหอเพลิงคลั่งได้ เขาใช้ไฟจากที่นั่นปรุงยา
ในเมืองเทียนหยาที่ซือหยูไม่คุ้นเคยเขาต้องหาสถานที่ที่น่าเชื่อถือที่จะปรุงยา มิเช่นนั้นเขาอาจจะต้องกลับไปยังเมืองส่วนในและหาสถานที่ที่เหมาะสมจะปรุงยา
“เจ้าของร้านซือมีคนมา…เขามาหาท่าน”
เสียงดังมาจากด้านนอกเป็นเสียงของหยิงหลวน
ซือหยูเปิดประตูถามด้วยเสียงใจดี
“ใครเหรอ?”
เขาเพิ่งจะมาถึงเมืองเทียนหยาและไม่รู้จักใครเลยเขาสงสัยว่าใครจะมาหาเขา…
“เขาคือจะ…เจ้าของร้านใหญ่…”
หยิงหลวนพูดติดๆขัดๆ
เจ้าของร้านใหญ่?เจ้าของร้านโอสถใหญ่น่ะรึ?
ซือหยูคิดถึงชายวัยกลางคนที่สีหน้าหม่นหมองในวันนี้เขาคือเจ้าของร้านยาที่ใหญ่ที่สุดของตำหนักโลหิต เขาเป็นคนสกุลจู้และมีอำนาจมาก นั่นหมายความว่าเจ้าของร้านกลางและเล็กต้องฟังคำสั่งของเขา
ซือหยูสับสนและเมื่อเดินมาที่หน้าร้านก็เห็นเด็กชายสวมชุดหลากสี เขามารออย่างใจร้อนขณะที่พูดคุยกับฉิงหลิว
เด็กชายเบ้ปากเมื่อเห็นซือหยูเดินออกมา
“ทำไมเจ้าชักช้านัก?ข้าเป็นลูกจ้างร้านโอสถกลิ่นสวรรค์ ข้าได้รับคำสั่งจากเจ้าของร้านใหญ่ให้มาบอกเจ้าเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมร้านโอสถ เจ้าอย่าได้พลาด”
พอพูดจบเขาก็หันหลังไปทันทีเขาพูดขณะที่เดินจากไป
“ข้าต้องไปแจ้งร้านอื่นด้วยข้าไม่มีเวลาจะพาเจ้าไป เจ้าต้องหาทางไปเอง”
ฉิงหลิวมองเด็กชายที่เดินออกไป
“อวดดีนัก!มันก็แค่ลูกจ้างระดับสามแต่กลับกล้าพูดกับท่านเช่นนี้!”
ร้านกลิ่นสวรรค์มีลูกจ้างมากมายแบ่งเป็นหลายระดับ ลูกจ้างระดับสูงจะอยู่ต้อนรับลูกค้าในร้าน พวกระดับสามจะถูกส่งมาแจ้งข่าวสาร
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“พวกเจ้าอยู่ดูร้านที่นี่ข้าจะไปงานชุมนุมร้านโอสถ”
DND.852 – ร่วมงานชุมนุมร้านโอสถ
ช่างพอดิบพอดีกับเวลาที่ซือหยูอยากจะเข้าเมืองส่วนในเพื่อหาที่ปรุงยาซือหยูจะได้เข้าร่วมงานชุมนุมร้านโอสถด้วย
ร้านกลิ่นสวรรค์ตั้งอยู่ในเขตที่ค้าขายดีที่สุดในเมืองส่วนในผู้คนแน่นขนัดทั้งบนฟ้าและพื้นดิน
ซือหยูหาร้านกลิ่นสวรรค์ได้ง่ายๆโดยไม่ต้องเสียเวลามองหานั่นก็เพราะมันยิ่งใหญ่ราวกับวัง! และด้วยขนาดมหึมาของมัน ยากที่จะไม่มีใครมองเห็น!
ร้านกลิ่นสวรรค์มีพื้นที่หมื่นตารางเมตรมันเป็นร้านโอสถขนาดใหญ่ที่มักจะไม่เห็นในเมืองเทียนหยาที่เศษที่ดินก็มีค่าเท่ากับทอง!
หลังจากเข้ามาที่ร้านกลิ่นสวรรค์เขาเห็นว่าข้างในค่อนข้างหรูหรา กลิ่นโอสถโชยตลบอบอวลไปทั้งร้าน มันแบ่งเป็นสิบพื้นที่ ซึ่งจะแบ่งโอสถในระดับที่แตกต่างกัน
ระดับของโอสถนั้นจะจัดตามต่ำไปสูงเพราะพวกเขามีโอสถทุกระดับ!พวกเขามีกระทั่งโอสถที่จ้าวเทวะใช้ได้ แต่โอสถเหล่านั้นมีราคาแพง เม็ดหนึ่งมีค่าราวห้าหมื่นดวง!
ซือหยูเดาะลิ้นเมื่อมองดูโอสถราคาแพงเหล่านี้!แค่เม็ดเดียวก็มีค่าถึงห้าหมื่นดวง กำไรที่ได้คงจะสูงอย่างบ้าคลั่ง ไม่แปลกเลยที่ร้านกลิ่ยสวรรค์จะเป็นร้านระดับสูงเพราะพวกเขามีสินค้าเหล่านี้!
ซือหยูแสดงตราเจ้าของร้านและไปที่ชั้นสองชั้นสองมิได้เปิดเพื่อวางขายสินค้าแต่เป็นสถานที่อยู่ของเหล่าลูกจ้างและที่รับประทานอาหาร ที่สำคัญกว่าก็คือมันคือสถานที่ชุมนุม
มีเจ้าของร้านร้อยคนมาอยู่ที่นี่แล้วพวกเขานั่งลงอย่างร้อนใจและกระซิบกันไปมา…
“หึหึเจ้าคนสกุลเฟยเริ่มประชุมอย่างที่ข้าคิดเลย มันถูกรองผู้จัดการใหญ่ตำหนิเลยรีบเริ่มประชุม มันกระวนกระวายจนลืมตัวไปแล้ว!”
“แต่ถ้ามันกระวนกระวายขนาดนี้สถานการณ์ก็คงจะย่ำแย่เต็มที ข้ารู้สึกไม่ดีเลย…”
“หวังว่าเจ้าเฟยนั่นจะไม่ทำเกินไปเถอะ!ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าสจำต้องสละคนในเครือข่ายเพื่อต่อสู้กับมัน!”
…
พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติซือหยูเพียงแค่ฟังและรอให้การประชุมเริ่มขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกเขาต้องรอร่วมหนึ่งชั่วยาม
เจ้าของร้านทุกคนมารอก่อนแล้วแต่เจ้าของร้านใหญ่ก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา จนกระทั่งทุกคนเริ่มหมดความอดทน สาวใช้น่ารักสองคนได้เดินมาจากด้านข้าง ทั้งคู่ยืนที่หน้าประตูและก้มหน้าด้วยความนับถือ
เมื่อเห็นสาวใช้ทั้งสองห้องประชุมที่เสียงดังเงียบลง เจ้าของร้านทุกคนสุขุมขึ้น
ปั่ก!ปั่ก!
เสียงฝีเท้ามั่นคงดังขึ้นชายวัยกลางคนผู้สวมผ้าคลุมที่ประดับตกแต่งด้วยไหมและทองคำเดินเข้ามา เขาเดินมือไพล่หลังด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ฝีเท้าของเขาหนักแน่นแววตานั้นเยือกเย็น รังสีพลังนั้นแข็งแกร่งมาก ห้องประชุมสงบลงโดยสมบูรณ์ เสียงกระซิบหยุดลงแล้ว
ซือหยูมองบุรุษผู้นี้เขาคือหนึ่งในสามเจ้าของร้านใหญ่ เจ้าของร้านกลิ่นสวรรค์
เมื่อซือหยูเห็นการตอบสนองของคนโดยรอบก็คิดว่าเจ้าของร้านเฟยนั้นมาช้าโดยจงใจเพียงเพื่อทำให้เขาดูเป็นเจ้าของร้านใหญ่เจ้าของร้านใหญ่เฟยนั่งตรงที่นั่งหลักและมองทุกคนที่มา
ดูเหมือนว่าเขาจะตรวจสอบผู้คนและสยายามจะมองดูว่าใครที่ยังไม่มาแต่เมื่อมองครบก็ยืนยันได้ว่าทุกคนอยู่ เขาจึงพูด
“มิตรสหายที่รักทุกท่านคงจะเข้าใจสถานการณ์ของการค้าโอสถของตำหนักโลหิตขณะนี้ดี…”
เขาหยุดและพูดต่อ
“สำนักในเขตกลางปล่อยโอสถใหม่ออกมาหลายตัวมันมีผลดีและราคาที่เหมาะสม นั่นทำให้การค้าของดินแดนพรสวรรค์อยู่ในช่วงขาลง ตอนนี้คือเวลาแห่งการทดสอบของพวกเจ้า ในยามสำคัญเช่นนี้ พวกเราต้องร่วมมือร่วมใจต่อต้านเขตกลางด้วยกัน”
เจ้าของร้ายเฟยหยุดพูดก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง
“ข้าจัดการชุมนุมนี้ก็เพื่อใช้ความสามัคคีรวมพวกเราให้เป็นหนึ่งข้าจะประกาศแผนกอบกู้สถานการณ์ตอนนี้”
เหล่าผู้คนมองเจ้าของร้านเฟยด้วยความสับสน
เขาจึงพูด
“แผนของข้าเป็นเช่นนี้…พวกเราจะต้องรวมร้านโอสถทั้งหมดโดยมีร้านกลิ่นสวรรค์เป็นศูนย์กลางและขายโอสถหลักทั้งสามนั่นคือโอสถเลือดบริสุทธิ์ โอสถชำระวิญญาณ และผงประณีต”
“ช่วงนี้โอสถอันเป็นที่นิยมของเขตกลางก็คือโอสถสามชนิดนี้ถ้าพวกเรากดราคาโอสถทั้งสามในทุกร้านของเรา เราจะชิงลูกค้าและขายโอสถได้มากมายแน่นอน นี่จะเป็นหมัดหนักต่อร้านของเขตกลาง! พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ผู้คนเริ่มกระซิบกันและพูดคุยอย่างตื่นเต้นซือหยูไม่ได้แปลกใจกับแผนนี้
เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับกลไม้นี้เพราะมันคือการตลาดแบบร่วมมือกัน พวกเขาเพียงแค่เลิกคิดทำกำไรในระยะสั้นโดยการกดราคาเพียงเพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาในระยะยาว
เมืองเทียนหยานั้นมีร้ายโอสถมากมายร้อยร้านหากพวกเขาทำแผนนี้พร้อมกัน พวกเขาก็จะทำให้ลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก หากทำต่อไปเป็นระยะเวลานาน ยอดขายของร้านจากเขตกลางก็จะลดลงอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาก็มิอาจใช้แผนนี้ได้นานเกินไปเพราะมันไม่ต่างจากการดื่มยาพิษในยามกระหาย แต่ถ้าใช้แผนในระยะเวลาไม่นาน แผนนี้ก็จะมีได้ผลแบบชั่วคราวอยู่ดี
ไม่มีใครปฏิเสธว่าแผนของเจ้าของร้านเฟยมีเหตุผลแต่ซือหยูก็ยิ้มออกมาเพราะเจ้าของร้านเฟยมิได้อธิบายแผนอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปห้านาที ผู้คนก็เริ่มคุยกันจบ
“อืม…พวกเจ้าคิดอย่างไรกันบ้าง?หากมีคำถามก็ถามมาได้เลย เพราะถ้าพวกเราเริ่มแผนก็จะไม่มีการถอยกลับแล้ว! ใครที่ข้าหักหลังข้าลับหลังจะเป็นศัตรูของข้า!”
เจ้าของร้านเฟยกล่าว
ผู้คนที่คิดอ่านได้รวดเร็วเหลือบมองกันจากนั้นพวกเขาก็หันไปมองเจ้าของร้านระดับต่ำคนหนึ่ง
“เจ้าของรน้านใหญ่ข้าขอถามว่าเราจะได้โอสถทั้งสามมาขายจากที่ใด? พวกเราต้องหาผู้ขายเองงั้นหรือ?”
หลายร้านมีนักปรุงยาเพื่อปรุงยาอยู่แล้วแต่โอสถเหล่านั้นห่างไกลเกินกว่าคำว่าดีพอ นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาต้องหาคนค้าโอสถและซื้อในราคาต่ำจากพวกเขา
เจ้าของร้านเฟยเผยรอยยิ้มเบาๆ
“พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงร้านกลิ่นสวรรค์จะจัดหาโอสถที่จำเป็นทั้งหมดให้พวกเจ้าเอง”
เมื่อไม่มีปัญหาเรื่องของที่จะขายก็ถึงเวลาที่จะคุยเรื่องที่ลึกเข้าไป
“เจ้าของร้านเฟยถ้าท่านเป็นคนเตรียมสิ่งของเหล่านั้น พวกข้าก็สบายใจได้ แต่ข้าสงสัยว่าพวกเราต้องซื้อที่ราคาเท่าไหร่รึ?”
เจ้าของร้านคนหนึ่งถามคำถามที่ทุกคนสนใจที่สุด
เจ้าของร้านเฟยตอบ
“ข้าจะให้ราคาที่ดีกับพวกเจ้าถ้าพวกเจ้าซื้อโอสถทั้งสามจากข้า พวกเจ้าจะได้ในราคาเม็ดละเก้าดวง พวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าโอสถจะขายได้ในราคาแก้วสิบดวง”
เมื่อได้ยินคำตอบความตกใจและความโกรธปรากฏบนใบหน้าทุกคน เจ้าของร้านเฟยหาทางฉวยโอกาสจากพวกเขาจริงๆ!
ซึ่งจริงๆแล้วถ้าหากพวกเขาซื้อโอสถทั้งสามจากผู้ค้าส่ง พวกเขามักจะจ่ายแค่เม็ดละห้าดวง แต่ถ้าหากพวกเขาซื้อจากเจ้าของร้านเฟย พวกเขาต้องจ่ายแก้วถึงเก้าดวง!
ถ้าเช่นนั้นต่อให้พวกเขาขายหมด พวกเขาก็จะได้กำไรเป็นแก้วหนึ่งดวงจากโอสถเพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้น มันไม่พอที่จะจ่ายต้นทุนในการขายด้วยซ้ำ!
เจ้าของร้านเฟยใช้ข้ออ้างเรื่องการต่อต้านการจู่โจมทางการค้าของเขตกลางก็เพื่อที่จะฟันกำไรจากพวกเขาเพื่อไปชดเชยกับรายได้ที่เสียไปของร้านกลิ่นสวรรค์!พวกเขาสงสัยอยู่ตั้งแต่ก่อนชุมนุมแล้วว่าเจ้าของร้านเฟยจะทำเกิดไป และขณะนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขากลัวจะกำลังเกิดขึ้นจริง!
แต่ก็น่าแปลกนักแม้ว่าทุกคนจะอยากถลกหนังเจ้าของร้านเฟยออกมาทั้งเป็น แต่กลับไม่มีใครเลยที่กล้าต่อต้าน พวกเขาไม่กล้าจะทำสีหน้าไม่พอใจด้วยซ้ำ
ใบหน้าของเจ้าของร้านระดับต่ำที่เพิ่งจะถามคำถามซีดไปเขาตัวสั่น
“พวกเจ้ามีคำถามอีกหรือไม่?”
เจ้าของร้านเฟยถาม
เจ้าของร้านระดับต่ำทุกคนส่ายหน้าและรีบนั่งลงพวกเขาไม่กล้าจะโต้แย้ง
เจ้าของร้านเฟยยิ้มมุมปาก
“ทุกท่านเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของโอสถ พวกเจ้าต้องซื้อโอสถทั้งสามจากร้านกลิ่นสวรรค์ และวถ้าพวกเจ้ากล้าซื้อจากร้านอื่นก็อย่าโทษว่าข้าต่อต้านเจ้าถ้าข้ารู้!”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องการให้เจ้าของร้านทุกคนซื้อโอสถจากร้านของเขาในราคาสูงร้านกลิ่นสวรรค์เพียงแค่ใช้แผนนี้ในการเพิ่มยอดขายของร้านตัวเอง ส่วนร้านอื่นๆย่อมกำไรลดเป็นหลังเท้า
เจ้าของร้านเฟยคิดจะใช้แผนนี้ก้าวข้ามผ่านวิกฤติของตัวเองขณะที่ร้านอื่นจะตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเจ้าของร้านระดับต่ำและระดับกลางทุกคนได้แต่เลือกยอมจำนนก็เพราะพวกเขากลัวว่าเจ้าของร้านเฟยจะใช้เครือข่ายของตนสร้างปัญหาให้พวกเขา
ก่อนที่เจ้าของร้านเฟยจะมาพวกเขาทุกคนพูดอย่างไม่อายและประกาศว่าถ้าเจ้าของร้านเฟยทำเกินไป พวกเขาจะไม่ยอมจำนนและเลิกประนีประนอม แต่ท้ายสุด แม้ว่าเจ้าของร้านเฟยจะทำราวกับพวกเขาเป็นเดรัจฉาน ก็ไม่มีใครเลยที่กล้าต่อต้าน
ซือหยูได้แต่ส่ายหน้าเขายืนขึ้นถาม
“เจ้าของร้านเฟยมีเรื่องอื่นจะพูดอีกหรือไม่?ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ข้าจะกลับแล้ว”
ในเวลานี้เมื่อห้องชุมนุมเงียบกริบ ซือหยูกลับตัดสินใจจะเดินออกไป! ทุกคนตกตะลึงและหันไปมองเจ้าของร้านที่ไม่รู้จักเกรงกลัวผู้นี้
เมื่อได้เห็นหลายคนก็ตกใจ เพราะเขาคือคนที่อยู่ในห้องรองผู้จัดการใหญ่เป็นระยะเวลานานในวันนั้น เขาทำให้หลายคนทำได้
แต่ถึงอย่างไรหลายคนก็สับสนเพราะไม่เคยเห็นซือหยูมาก่อนจนถึงตอนนี้ พวกเขาเดาะลิ้นเสียงดังเพราะความกล้าของเขา
การออกไปก่อนที่จะคุยกันจบนั้นไม่ต่างจากการตบหน้าเจ้าของร้านเฟย!ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าของร้านเฟยเพิ่งจะพูดให้เจ้าของร้านทุกคนยอมจำนน แต่ซือหยูกลับจะลุกออกจากห้อง นี่ไม่ต่างกับการท้าทายอำนาจของเจ้าของร้านเฟย!
เจ้าของร้านเฟยยิ้มมุมปากอย่างเคยแต่ทุกคนเห็นความน่าขนลุกบนใบหน้าของเขา
“ข้าขอถามว่าเจ้าเป็นใคร?”
ซือหยูเหลือบมองและตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ข้าเป็นเจ้าของร้านคนใหม่ของร้านตงหลินข้าจะไม่ทำตามแผนเจ้า แล้วข้าก็กำลังยุ่ง ประชุมต่อไปโดยไม่ต้องมีข้าก็แล้วกัน”
เจ้าของร้านทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ฟัง!พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนกล้าโต้เถียงกับเจ้าของร้านเฟย!
“เจ้าหนูนั่นจบแล้วร้านตงหลินก็ด้วย!”
เจ้าของร้านเฟยหน้านิ่งเขาลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าโต้เถียงกับเขานั้นเป็นเมื่อใด เพราะมันนานมากแล้ว!
“เจ้าเป็นเจ้าของร้านตงหลินงั้นรึ?แผนที่เกี่ยวข้องกับชะตาในการค้าโอสถของตำหนักโลหิตที่เมืองเทียนหยา ถ้าเจ้าไม่เข้าร่วมแผนการจนแผนล้มเหลว ใครกันจะรับผิดชอบ?”
ซือหยูตอบด้วยสีหน้าประหลาด
“ข้าก็แค่ดูแลร้านเล็กๆที่มีหนี้เต็มไปหมด ต่อให้ข้าไม่ทำตามแผนเจ้า มันก็ไม่เปลี่ยนอะไรอยู่ดี แต่ถ้าแผนเจ้าล้มเหลว เจ้าก็ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เจ้ายังมีทางโทษเจ้าของร้านอื่นกับเรื่องแบบนี้ได้อีกรึ?”
ซือหยูพูดต่อ
“แผนนี้คิดโดยเจ้าเจ้าควรจะเป็นคนที่รับผิดชอบ ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆ”
ซือหยูส่ายหน้าซือหยูกำลังต่อว่าถึงความโง่เขลาของเจ้าของร้านเฟยอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนกลั้นหายใจ…เจ้าเด็กนี่บ้าไปแล้วเรอะ? หรือว่า…เขาไม่อยากจะอยู่ที่เมืองเทียนหยาแล้ว?
เจ้าของร้านเฟยสีหน้าดำมืดเขาตบโต๊ะเสียงดังและยืนขึ้นจ้องมองซือหยูด้วยความแค้น
“โอหัง!ข้าคิดถึงการค้าของตำหนักโลหิตอย่างจริงใจ แต่เจ้ากลับพยายามสร้างความแตกแยกของพวกเรา! นี่มันหมายความว่ายังไง? เจ้าคือสายลับที่เขตกลางส่งมา!”
ซือหยูยักไหล่
“จะเชื่อเช่นใดก็แล้วแต่เจ้าเจ้าจะไปรายงานรองผู้จัดการใหญ่ก็ได้! ถ้าอยากก็ไปบอกว่าข้าเป็นสายลับ! ถ้ารองผู้จัดการจะลงโทษ ข้าก็ยอม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะไม่ปล่อยให้ร้านกลิ่นสวรรค์ของเจ้ามาปล้นร้านตงหลินของข้า!”
สุดท้ายซือหยูก็ยังยืนกราน เจ้าของร้านเฟยโกรธจนหน้าแดงและสั่นไปทั้งตัว เขาชี้หน้าซือหยูและพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้ากล้าดียังไง!”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“ข้ากล้า…แล้วเจ้าจะทำไม?เจ้าของร้านเฟย เจ้าคิดจะทำอะไรรึ? เจ้ามันก็แค่เจ้าของร้านกระจอก! พวกเราควรจะมีค่าเท่ากันในเมืองนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาตัดสินข้า!”