The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 866 - ตำราสีทอง
DND.866 – ตำราสีทอง
ซือหยูสังเกตดูอสูรน้อยเงียบๆนางกำลังเปิดตำราเก่าพร้อมขมวดคิ้ว นางเกาหัวแกรกๆอยู่เป็นพักๆ ไม่นานรอยยิ้มก็เบ่งบานบนใบหน้า
ขณะนี้นางกำลังถือตำราโบราณที่มีปกสีทอง สีหน้าของนางเหมือนกับคนที่เพิ่งพบอะไรบางอย่างที่ล้ำค่าในตำรา นางเสียเวลาพลิกตำราไปมาอยู่นานจนสุดท้ายก็ยิ้มอย่างพอใจ
นางเงยหน้าขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงซือหยูนางตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเขา
“โอ้พี่หยูเซี่ยน”
อสูรน้อยวิ่งมาหาเขาและอุทานด้วยความดีใจนางวางท่าเป็นมิตร
“พี่อยู่เมืองเทียนหยานี่เอง!ไม่แปลกเลยที่ข้าจะไม่เห็นพี่ในตำหนัก!”
ซือหยูยิ้มตอบ
“ข้าก็ไม่คิดว่าหวูซื่อจะมาที่เมืองเทียนหยาเหมือนกันนี่คงเป็นโชคชะตา!”
“ฮ่าๆๆถูกแล้ว! มันคือโชคชะตา! ข้าสงสัยว่าพี่หยูเซี่ยนใช้สิทธิ์มัจฉาข้ามประตูมังกรมาแทนร้านไหน…”
กงซุนหวูซื่อพูดเสียงดังนางกึ่งยิ้ม
“ดูเหมือนจะได้แทนแค่ร้านที่เป็นร้านระดับต่ำสินะ…”
สิทธิ์นี้เคยเป็นของกงซุนหวูซื่อนางคิดจะใช้สิทธิ์นี้ในการเก็บคะแนนจำนวนมากเพื่อให้มีคะแนนมากพอเข้าสู่แดนมณีมหัศจรรย์
นางชิงชังที่ซือหยูชิงสิทธิ์ไปจากนางจนนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำภารกิจที่อันตรายสุดท้าย นางเกือบตายจากอรหันต์ผีแต่เคราะห์ดีที่มียอดฝีมือหนุ่มลึกลับมาช่วย
“ถูกของเจ้ามันเป็นร้านเล็กๆที่มีหนี้เยอะทีเดียว…”
ซือหยูพูดโดยไม่ปิดบัง
“หวูซื่อเจ้าอยากได้คะแนนไม่ใช่รึ? เจ้ามาทำภารกิจที่เมืองนี้ใช่ไหม?”
กงซุนหวูซื่อพยักหน้า
“มีภารกิจใหม่ทันทีที่พี่ออกจากตำหนักมีศิษย์พี่ที่รับภารกิจแต่ไม่คืบหน้ามาสามปี เขายอมแพ้ ภารกิจนี้มีค่าสามแสนคะแนน”
นางกำลังบอกว่าถึงซือหยูแย่งสิทธิ์ไปจากนางเขาก็ได้พลาดโอกาสทำภารกิจที่ได้คะแนนมหาศาลไป
ซือหยูหัวเราะในใจ…เจ้าเกือบตายเพราะอรหันต์ผี!กล้าพูดเรื่องนี้ออกมาได้ยังไง?
“จริงหรือ?เจ้าทำภารกิจเสร็จหรือยังล่ะ?”
เขาถามและแสร้งทำเป็นแปลกใจ
เขาทำตาละห้อยซึ่งเป็นสีหน้าที่นางกำลังมองหานั่นทำให้นางพอใจอย่างมิอาจอธิบาย
จากนั้นนางก็สะบัดเปียไปที่ด้านหลังและระเบิดเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆๆไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร? ข้าจบชีวิตอรหันต์ผีเพียงดีดนิ้วครั้งเดียว! พี่หยูเซี่ยนไม่ได้ยินข่าวเรื่องความตายของหัวหน้ากลุ่มสามสังหารรึ?”
ซือหยูทำสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติเขาตอบด้วยความตกตะลึง
“ใช่ข้าได้ยิน แต่หัวหน้าสามสังหารเกี่ยวข้องกับอรหันต์ผียังไงล่ะ? เจ้าไม่ได้ฆ่าผิดคนหรอกรึ?”
คำตอบของเขาคือสีหน้าหยามเหยียดจากอสูรน้อยจากนั้นนางก็รู้สึกดีใจอยู่ข้างใน นางหัวเราะเสียงดัง
“โง่เง่า!เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? กลุ่มสามสังหารก็คืออรหันต์ผีนั่นแหละ!”
“อะไรนะ?เจ้าฆ่าอรหันต์ผีไปแล้วรึ?”
ซือหยูตัวแข็งทื่ออสูรน้อยยืนมือไพล่หลังอย่างลำพองใจ
“ฮ่าๆๆๆยอมรับข้ารึยังล่ะ?”
“เจ้าคงจะได้สามแสนคะแนนมาแล้วสินะ?”
ซือหยูถามเขาทำหน้าราวกับอิจฉา
ยิ่งซือหยูทำท่าทางเช่นนี้เท่าใดอสูรน้อยก็ยิ่งดีใจขึ้นเท่านั้น นางคิด…ตอนนี้เจ้าอิจฉาข้าแล้ว เจ้าคงจะรู้ตัวแล้วว่าไม่ควรจะมาชิงสิทธิ์ของข้าตั้งแต่แรก!
“ไม่ต้องพูดแล้วข้าได้ทั้งสามแสนคะแนนมาเรียบร้อย…”
อสูรน้อยยืดอกแบนราบขณะที่พูด
“คิดว่ายังไงล่ะ?”
ซือหยูสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนจะถอนหายใจเขาดูไม่พอใจและถาม
“เจ้าเอาชนะและสังหารอรหันต์ผีได้ยังไง?”
อสูรน้อยหัวเราะและพูดโอ้อวด
“หา!คิดว่าข้าไม่มีพลังงั้นหรือ? ไม่รู้รึว่าพออรหันต์ผีได้ยินชื่อกงซุนหวูซื่อแล้วก็ตกใจกลัวจนตายน่ะ?”
นางพูดต่อ
“ทีแรกมีศิษย์โง่ๆที่คิดหาทางตามรอยอรหันต์ผี แต่ก็พ่ายแพ้ราบคาบ!”
อสูรน้อยอธิบายเรื่องศิษย์ที่รับภารกิจคนก่อนหน้าด้วยสีหน้าต่างๆ
“ข้าเป็นคนที่มาจัดการทุกอย่างข้ากำจัดอรหันต์ผีจนไม่มีสิ่งใดเหลือ!”
นางตบอกด้วยความภูมิใจ
“ศิษย์คนนั้นรู้สึกขอบคุณข้ามากจนให้ของล้ำค่ามาเป็นของขวัญ”
ซือหยูหมดคำพูดเขาคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นน่าขัน เขาฟังอสูรน้อยบิดเบือนความจริงอย่างไร้ยางอาย
“โอ้อย่างนั้นสินะ เจ้าเก่งจริงๆ”
ซือหยูแสร้งทำเป็นประทับใจ
กงซุนหวูซื่อกอดอกนางรู้สึกภาคภูมิใจถึงขีดสุด
“แน่ล่ะข้ามีพลังจนเจ้าคิดไม่ถึง!”
อารมณ์นางดีขึ้นหลังจากได้คุยโม้นางไม่ติดใจเรื่องที่ซือหยูชิงสิทธิ์ของนางไปอีกแล้ว
ซือหยูทำได้แค่หัวเราะเมื่อมองกงซุนหวูซื่อเดินจากไปเขาคิด…นางจะคิดยังไงนะถ้านางรู้ว่านางกำลังคุยโม้อยู่กับชายลึกลับที่ช่วยนางไว้?
ซือหยูก้าวเข้าไปในร้านตำราขณะที่ส่ายหัวขณะนี้ค่อนข้างโล่ง มีคนเพียงหยิบมือเดียวกำลังค้นหาตำราเก่า
“ท่านกำลังหาตำราแบบใดอยู่รึ?”
คนรับใช้หนุ่มเมื่อเห็นซือหยูเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ซือหยูมองรอบๆและถามข้อมูล
“ค่ายืมตำราต่อครึ่งชั่วยามมันเท่าใดรึ?”
คนรับใช้หนุ่มยิ้มตอบ
“แก้วหมื่นดวงต่อครึ่งชั่วยาม”
ซือหยูตกใจกับราคานี้มิใช่ว่าเขาไม่มีจ่าย แต่ราคามันสูงเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก!
ในตอนนั้นซือหยูเห็นลูกค้าคนหนึ่งกำลังจ่ายน ซือหยูเห็นอย่างชัดเจนว่าลูกค้าคนนั้นจ่ายแก้วเพียงสิบดวง
ซือหยูคิดในใจอย่างรวดเร็วดูจากราคาที่เขาเพิ่งจะได้ยิน นั่นหมายความว่าหนึ่งนาทีก็มีค่าหนึ่งร้อยห้าสิบแล้ว แต่ลูกค้าคนนั้นมาที่นี่ก่อนซือหยูจะมาถึง เขาควรจะใช้เวลาอย่างน้อยหลายนาทีกับตำราไปแล้ว
ซือหยูคิด…เป็นไปได้รึที่เขาจะจ่ายแก้วแค่สิบดวง?
ซือหยูจ้องมองคนรับใช้หนุ่มเขาเห็นสายตายั่วยุในแววตาของอีกฝ่าย ซือหยูยังเห็นอีกว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังเหลือบมองสัญลักษณ์ตำหนักโลหิตที่อกซือหยู
“เจ้าตั้งใจทำให้ข้าลำบากเพราะตัวตนของข้างั้นหรือ?”
ซือหยูถาม
เขานึกถึงเรื่องที่เมืองเทียนหยาตั้งอยู่ในชายแดนระหว่างตำหนักโลหิตกับเขตกลางนั่นหมายความว่ามีคนที่มีอำนาจมากมายเก็บความแค้นกับดินแดนพรสวรรค์เอาไว้
เช่นยอดฝีมือจากเขตกลางจะสามารถซื้อโอสถหายากได้ด้วยแก้วเพียงสิบดวง แต่โอสถเดียวกันจะขายให้ศิษย์ดินแดนพรสวรรค์ในราคาแก้วยี่สิบดวง สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตำหนักโลหิตและตำหนักเมฆาม่วง
ซือหยูสังเกตเห็นเรื่องคล้ายๆกันในบันทึกบัญชีตอนที่เขาถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าของร้านตงหลินเขาน่าจะคิดถูก ร้านตำรานี้ตั้งขึ้นโดยคนที่มีอำนาจในเขตกลาง
กงซุนหวูซื่อนั้นแต่งกายตามปกติของนางคนรับใช้จึงไม่ทันรู้ว่านางคือศิษย์ตำหนักโลหิตและไม่สนใจนาง แต่ซือหยูนั้นมีปัญหาเพราะสวมชุดของตำหนักโลหิต
มาถึงขั้นนี้ศิษย์ตำหนักโลหิตธรรมดาๆคงไม่เหลือแม้แต่เกียรติยศ แต่ไม่ใช่สำหรับซือหยู
ความเยือกเย็นปรากฏในดวงตาซือหยูพยักหน้าเล็กน้อย
“ดี…หมื่นดวงต่อครึ่งชั่วยามข้าไม่ได้หวงเงินทองหรอก”
รอยยิ้มของคนรับใช้แข็งทื่อเมื่อได้ยินว่าซือหยูยอมรับราคาแทนที่จะออกไปด้วยความโมโหเขาคิด…ชายคนนี้โง่งั้นเรอะ? เขาจะจ่ายราคามากขนาดนี้ได้ยังไง?
“เป็นอะไรของเจ้า?เจ้าจะไม่ให้ข้ายืมอ่านรึ?”
ซือหยูถามขณะเหลือบมองอีกฝ่ายจากด้านข้าง
คนรับใช้ไม่เข้าใจว่าทำไมซือหยูถึงได้โง่เขลาจนยอมรับราคาขนาดนี้!แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คงจะอภัยให้ไม่ได้ถ้าเขาปล่อยแกะน้อยที่อยากจะถูกเชือดให้หนีไป!
“ฮ่าๆๆโปรดเข้ามา ผู้เฒ่า พวกเราจะเริ่มคิดเงินทันทีที่เจ้าเริ่มพลิกหน้าตำรา จะอ่านตำราใดก่อนรึ?”
คนรับใช้แอบสบประมาทซือหยูแต่ก็ยิ้มสดใสในเบื้องหน้า
ซือหยูเหลือบมองรอบร้านและพูดอย่างเย็นชา
“เอาตำราทั้งหมดที่เกี่ยวกับคำสาปศิลาวิญญาณ และหยกมาให้ข้า”
คนรับใช้ยิ่งดูถูกเขายิ่งกว่าเดิม…เจ้านี่มันปัญญาอ่อนหรืออย่างไร?มันจะอ่านตำราทั้งสามประเภทจนจบในเวลาอันสั้นได้หรือ? และนี่ยังเป็นร้านตำราใหญ่ ตำราทั้งหมดมีถึงหลายร้อยเล่ม!
“เจ้าแน่ใจนะผู้เฒ่า?”
คนรับใช้ถามและแสร้งยิ้ม
ซือหยูเหลือบมองจากด้านข้าง
“ข้าพูดไม่ชัดหรือเจ้าหูหนวกล่ะ?เอาตำราสามประเภทนั้นทั้งหมดมาให้ข้า! แล้วก็…เอาตำราเล่มสีทองนั่นมาให้ข้าด้วย!”
เมื่อซือหยูพูดเขาชี้ไปที่ตำราปกสีทองที่กงซุนหวูซื่ออ่านเมื่อครู่ คนรับใช้โกรธเล็กน้อยแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์ไว้และฝืนยิ้มตอบ
“เอาล่ะอยากได้แบบพิมพ์ด้วยหินหรือแบบเขียนด้วยมือ?”
“เอามาให้หมด!”
ซือหยูตอบกลับทันควัน
คนรับใช้มองเขาด้วยความเหยียดหยามและเตือนซือหยู
“ผู้เฒ่าข้าขอบอกไว้ก่อน เรามีกฎว่าตำราทั้งหมดจะต้องอ่านในร้าน ห้ามเอาออกไปข้างนอก! ต้องอ่านให้จบทั้งหมดก่อนจะออกไปด้วย!”
คนรับใช้รู้ว่าจะต้องไปหยิบตำรามากมายเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่อ่านมันได้โดยไม่ต้องใช้เวลาหลายวันหลายคืน และด้วยราคาแก้วหมื่นดวงต่อครึ่งชั่วยาม แม้แต่จ้าวเทวะก็ต้องอ่านนานกว่าหนึ่งวัน
เพียงแค่คิดก็ทำให้คนรับใช้สงสัยว่ายอดฝีมือจากตำหนักโลหิตจะอ่านนานเท่าใดก่อนจะยอมแพ้เมื่อเห็นสีหน้าคนรับใช้ ซือหยูเริ่มโกรธ
“อะไรของเจ้า?ไปเอาตำราที่ข้าบอกมาได้แล้ว!”
ซือหยูตำหนิคนรับใช้ด้วยใบหน้านิ่ง
แม้คนรับใช้จะไม่พอใจเขาก็ต้องเก็บความโกรธเอาไว้ เพราะสถานะต่ำต้อยของเขามิอาจทำให้เขามีสิทธิ์โต้เถียงกับลูกค้าอย่างเปิดเผย เขาเดินอย่างงุ่มง่ามในร้านเพื่อหาตำราทั้งสามประเภทและตำราปกสีทองพร้อมกับความช่วยเหลือของคนอีกหลายคน
“ผู้เฒ่าตำราทั้งหมดอยู่นี่แล้ว ที่เหลือก็ช่วยตัวเจ้าเอง…”
คนรับใช้พูดเมื่อวางตำราและถอยกลับไปพร้อมกับคนอื่นๆขณะที่จ้องมองซือหยูด้วยสายตาเย็นชา
คนรับใช้ต่างแอบพูดคุยกันโดยใช้พลัง
“เจ่าฉวนเจ้าไม่ทำเกินไปรึ? หมื่นดวงต่อครึ่งชั่วยามมันเยอะมากนะ! ข้าว่าเขาก็แค่มาหาเรื่องเท่านั้นแหละ”
หนึ่งในคนรับใช้กังวลกับสถานการณ์….novel-lucky
เจ่าฉวนที่เป็นคนรับใช้ที่มาช่วยเหลือซือหยูยิ้มเขาตอบ
“เขามาหาเรื่องแล้วจะทำไม?ทำไมสวนตำราจี่เฉินต้องกลัวด้วย? พวกเราไม่กลัวมันหรอก!”
เมื่อได้ฟังเหล่าคนรับใช้พยักหน้ายอมรับเงียบๆ ที่นี่มีจ้าวเทวะระดับห้าดูแลอยู่ เป็นเรื่องแปลกที่จะมีคนเข้ามาหาเรื่องที่นี่ ลูกจ้างที่นี่เองก็ไม่กลัวอะไรนัก
คนรับใช้อีกคนลังเลก่อนจะถาม
“แล้วถ้าเขาอ่านตำราพวกนั้นจนจบได้จริงๆล่ะ?”
เจ่าฉวนถอนหายใจแรง
“นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่จะอ่านจนหมดนั่นก็ต้องใช้เวลาหลายวันหลายคืน ยังมีความยากด้านภาษาที่แตกต่าง กว่ามันจะอ่านจบก็เลยสิบวันแล้ว หึ…พวกเราก็แค่รอให้มันจ่ายเท่านั้น! ฮ่าๆๆๆๆ”
…
ซือหยูมีความมั่นใจอยู่เต็มอกเมื่อถามหาตำรามากมายเช่นนี้หลังจากหายใจเบาๆ ซือหยูแอบใช้พลังเร่งเวลาทำให้ตนเองอยู่ในสถานะที่รวดเร็วกว่าเดิมสี่ร้อยเท่า
ดังงนั้นพริบตาเดียว ซือหยูก็อ่านตำราจบไปหลายเล่ม ความเชี่ยวชาญในหลากหลายภาษายังช่วยให้เขาอ่านได้รวดเร็วด้วย
ดังนั้นภาษาแปลกๆในตำราโบราณที่ยากสำหรับคนส่วนใหญ่จึงเป็นภาษาที่เหมือนกับภาษามนุษย์ธรรมดาต่อซือหยู ซือหยูจึงสามารถพลิกตำราได้รวดเร็วมาก เมื่อถึงเวลาที่พูดได้ว่าอ่านจบทั้งหมด เขาก็ใช้เวลาไปแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ในสายตาของเหล่าคนรับใช้ซือหยูดูเหมือนกับเงาลวงตาที่สามารถอ่านตำราหนึ่งเล่มจบในเวลาสิบลมหายใจ! พวกเขายังได้เห็นการเปิดตำราที่รวดเร็วจนเกิดสะเก็ดไฟของซือหยู
ทุกคนอ้าปากค้างแม้แต่เจ่าฉวนดูงุนงงและมิอาจเชื่อสายตา
ทั้งหมดทั้งมวลซือหยูใช้เวลาไปทั้งหมดสามร้อยชั่วโมงหรือสิบสามวันในการอ่านตำราทั้งสามร้อยเล่ม แต่ในความจริงมันก็คือเวลาราวครึ่งชั่วโมงในโลกภายนอก
เมื่อ่านจบดวงตาซือหยูแดงก่ำ เขาดูเหน็ดเหนื่อย แต่ผลที่ได้กลับมานั้นหอมหวาน ซือหยูพบคำตอบที่เขาปรารถนาจากตำราโบราณล้ำค่าเหล่านี้
“หยกแก่นเพลิงชำระเป็นเพลิงภายในได้ด้วย!”
ซือหยูอุทานด้วยความแปลกใจ
เพราะหยกแก่นเพลิงคือแก่นหยกที่เกิดจากเพลิงที่ร้อนสูงหลายร้อยปีทุกหยดของมันมีค่านับล้าน
มันมีวิธีใช้หลายรูปแบบมันมักจะใช้ในการสร้างสมบัติวิญญาณชั้นสูง สมบัติวิญญาณชั้นสูงธาตุไฟสามารถเพิ่มระดับได้เพราะมัน และพลังที่เพิ่มขึ้นไปก็จะเกือบเทียบเท่าสมบัติภูติ
ในยุคโบราณมันคือสมบัติอันประเมินค่าไม่ได้ที่หลายคนใฝ่หาเพราะมันเกิดจากสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย มันทั้งเกิดและหาได้ยาก เมื่อรับรู้เรื่องนี้ก็ทำให้ซือหยูเข้าใจความล้ำค่าของมัน
แต่ซือหยูก็พบวิธีใช้งานอีกแบบของมันในตำราโบราณมันสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วย
ถ้าหากมีคนที่สามารถทนรับความร้อนทำลายล้างจากแก่นเพลิงได้คนผู้นั้นจะหลอมรวมแก่นเพลิงเข้ากับร่างกายจนทำให้ร่างกายมีคุณสมบัติของแก่นเพลิง
แก่นเพลิงที่ต่างกันก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปบางแก่นเพลิงนั้นดูดซับเพลิงพิษมาร้อยปี นั่นหมายความว่ามันจะมีพิษร้ายแรง ส่วนแก่นเพลิงอื่นที่บ่มเพาะมาเป็นหลายพันปี มันจะกลายเป็นเพลิงที่ไม่มีวันดับและลุกไหม้ไปตลอดกาลเมื่อจุดติด
ซือหยูยังไม่รู้คุณสมบัติในแก่นเพลิงของอสูรน้อยถ้าหากซือหยูหลอมมันเข้ากับร่างกายได้ เขาก็จะมีคุณสมบัติตามแก่นเพลิงนี้
สิ่งที่ทำให้เขาคิดหนักก็คือความอันตรายของแก่นเพลิงที่แม้แต่อสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่งก็ไม่กล้าแตะต้องมันดังนั้น การหลอมมันเข้ากับร่างกายถือว่าเสี่ยงมาก
แต่โชคดีที่มนุษย์จ้าวเทวะในยุคโบราณพบวิธีปรับพลังของมันนั่นคือการใช้วัตถุดิบที่มีธาตุวารีปรับพลังทำลายล้างของแก่นเพลิง นั่นจะทำให้แก่นเพลิงเข้าสู่ร่างกายอย่างปลอดภัย
เมื่ออ่านจนถึงวิธีนี้ซือหยูก็เริ่มสนใจตอนนี้เขามีความคิดที่จะหาวัตถุดิบธาตุวารีในทันที
บันทึกเขียนว่าจ้าวเทวะระดับสามจากยุคโบราณใช้แก่นเพลิงหลายหยดเข้ากับหยดวัตถุดิบธาตุน้ำหลายหยดจากนั้น…เขาก็ได้คุณสมบัติหายากของแก่นเพลิง นั่นคือเพลิงแห่งดวงใจ! ไม่ว่าเมื่อใดที่เขาพบศัตรู เพลิงแห่งดวงใจจะทำงานถ้าหากมีคนจู่โจมในระยะสิบศอก
เพลิงจะรบกวนหัวใจและโลหิตของผู้จู่โจมทำให้การจู่โจมผิดพลาด เพลิงที่โหดร้ายยังทำให้ศัตรูอยู่ในสภาพบ้าคลั่งและถึงตาย
เพียงแค่คิดก็ทำให้ซือหยูขนลุกแล้วบันทึกเขียนว่าแม้แต่จ้าวเทวะระดับหกก็ไม่กล้ายุ่งกับเขาที่เป็นแค่ระดับสาม ถ้าซือหยูได้พลังนั้นมาครอง เขาจะเพิ่มพลังของตัวเองได้อีกมาก!