The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 877 - เหนือกาลเวลา
DND.
แม้จะมีข้อกังขาหูหวังกุยก็ไม่เก็บมาคิดมาก เพราะทุกอย่างมันจบลงแล้ว นี่เป็นเวลาที่เขาจะหาข้ออ้างออกจากโรงประมูล
สาวใช้มือเล็กคนหนึ่งถือเภตราหยกเดินขึ้นสู่เวทีประมูลอย่างสง่างามนางยิ้มอย่างน่ามอง ความงดงามของนางนั้นเหนือกว่าสาวใช้ก่อนหน้าทั้งหมด
ทุกคนที่เคยมางานประมูลมาก่อนจะรู้ว่างานจะยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆจนมาถึงการประมูลชิ้นสุดท้าย เหล่าสาวใช้ก็เช่นกัน
“เช่นนั้น…นี่ก็เป็นชิ้นสุดท้ายแล้วสินะ?”
มีคนกล่าวขึ้นมาขณะที่หลายๆคนลังเลก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
อาจารย์เกายิ้มแย้มแจ่มใสเขาไม่รีบร้อนที่จะแนะนำของชิ้นนี้ เขาพูดพร้อมกับหัวเราะ
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านข้าว่าทุกท่านควรจะรู้แล้วว่าของประมูลตั้งแต่ยุคโบราณปรากฏหลายครั้งในงานนี้…”
หูหวังกุยกับอีกสองคนได้แสดงสุราโบราณและโอสถวิหคเพลิงมังกรจากยุคโบราณอย่างต่อเนื่องมันนคคือการชุบชีวิตยุคโบราณให้กลับมาในงานประมูล! นั่นทำให้ผู้คนคิดว่าหูหวังกุยกับคนของเขาต้องพยายามเท่าใดถึงจะทำได้ขนาดนี้!
ผู้คนที่ได้ยินน้ำเสียงของอาจารย์เกาตกใจหลายคนคิด…หรือว่าของชิ้นสุดท้ายจะเป็นของจากยุคโบราณด้วยเหมือนกัน?
แท้จริงแล้วของจากยุคโบราณนับว่าเป็นของที่อ่อนแอต่อยอดฝีมือสมัยนี้ แต่ด้วยความล่อตาล่อใจจากอารยธรรมที่สูญหายนั้นเองที่ทำให้ทุกคนสนใจมัน
หลังจากได้รับความสนใจจากทุกคนอีกครั้งอาจารย์เกากล่าว
“ชิ้นต่อไปเป็นของจากยุคโบราณเช่นกันมันคือโอสถที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่มันได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง! มูลค่าของมันสูงกว่าของที่ประมูลก่อนหน้าไปมากโข ข้าสาบานด้วยชีวิตว่าไม่เคยประมูลโอสถนี้มาก่อน! ทุกท่านโปรดจงอย่างพลาดโอกาสครั้งสำคัญวันนี้!”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนใคร่รู้อาจารย์เกามักจะไม่ประเมินของประมูลจนเกินงาม การใช้คำว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อน’ ทำให้ทุกคนสนใจ ทุกคนมองเภตราหยกไม่วางตา
อาจารย์เการับเภตราหยกมาด้วยรอยยิ้มและพูดด้วยเสียงอันชัดเจน
“ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะเป็นสักขีพยานในการปรากฏตัวของโอสถพร้อมกับทุกท่านมันคือโอสถที่สูญหายไปหลายร้อยปีแล้ว!”
แต่หูหวังกุยก็มิได้ประทับใจนัก
“จะมีอะไรน่าสนใจนอกจากของจากเผ่าอื่นเล่า?”
หลังจากฟื้นคืนโอสถวิหคเพลิงมังกรสู่ยุคปัจจุบันหูหวังกุยรู้แล้วว่าของจากยุคโบราณส่วนมากไม่มีสิ่งใดพิเศษ อีกทั้งส่วนมากยังไม่ได้คุณภาพดีเท่ายุคปัจจุบัน!
เพราะเมื่อเวลายิ่งผ่านพ้นไปหลายคนได้ดื่มด่ำกับความรุ่งเรืองในอดีตมาเกินพอแล้ว ความเชื่อที่ว่าของจากยุคโบราณนั้นประเมินค่าไม่ได้นั้นไม่มีอยู่แล้วหากนำของโบราณนั้นมาประเมินให้ละเอียด
หูหวังกุยคิดว่าไม่น่าจะมีของจากยุคโบราณที่ดีเหลืออยู่อีกแล้ว…
“โอสถนี้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยุคโบราณยากที่จะได้มาต่อให้มีแก้วมากพอ!”
อาจารย์เกามิอาจปิดบังความตื่นเต้น
เขาพูดต่อ
“ข้าประเมินสมบัติมาตลอดชีวิตสิ่งมีค่าอันใดล้วนไร้ความหมายต่อสิ่งเหนือกาลเวลาชิ้นนี้ หากโอสถที่ถูกฟื้นคืนนี้ได้ผลิตในปริมาณมาก มันจะกลายเป็นแรงปะทะเหนือกาลเวลาต่อเมืองเทียนหยา ต่อดินแดนพรสวรรค์ ต่อจิวโจว แม้กระทั่งทั้งเผ่ามนุษย์! มันคือหนึ่งในห้าลำดับแรกจากสินค้าในประวัติศาสตร์พวกเรา!”
การผลิตได้จำนวนมากนั้นเป็นเรื่องสำคัญเพราะถ้าหากมีน้อยชิ้น มันจะกลายเป็นเพียงคลื่นระลอกเล็กในมหาสมุทรคลื่นมนุษย์ มันมิอาจสร้างแรงกระทบของจริงได้
แต่อาจารย์เกาพูดว่ามันอาจจะทำให้เกิดแรงกระทบที่เหนือกาลเวลา!แค่ได้ฟังทุกคนก็ตัวสั่น แม้แต่หูหวังกุยที่มองดูงานประมูลอย่างหยามเหยียดก็เริ่มสงสัยในสิ่งที่อาจารย์เกากล่าวอ้าง..novel-lucky
เขาคิด…ถ้าแม้แต่อาจารย์เกายังบอกว่ามันคือสมบัติที่อยู่เหนือกาลเวลามันก็ต้องเป็นของที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่!
ความดีอกดีใจของทุกคนพุ่งถึงจุดสุดยอดพวกเขาตั้งตารอที่จะได้เห็นรูปลักษณ์ของมัน ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าอาจารย์เกาประสบความสำเร็จในการชักจูงพวกเขา
อาจารย์เกาหัวเราะร่าและสุดท้ายก็ประกาศ
“สิ่งนี้คือโอสถที่คุ้นเคยแก่ผู้คนร่ำเรียนวิชาปรุงยามันคือวารีผงกลั่นดวงใจ!”
จากนั้นอาจารย์เกาก็ใช้พลังชีวิตก่อเป็นคำพูดคลื่นเสียงว่า‘วารีผงกลั่นดวงใจ’ ทำให้มันสะท้อนไปทั่วสารทิศ มันสะท้อนสู่แก้วหูของทุกคนในโรงประมูล หลายคนไม่รู้จักมัน แต่บางคนที่รู้จักมันนั้นตัวแข็งทื่อราวกับโดนสายฟ้าฟาด!
หูหวังกุยผู้ที่มีสีหน้าใจเย็นกลับกลายเป็นตกตะลึงเขาตกใจจนใบหน้าบิดเบี้ยว
เขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นกระหน่ำเขาคร่ำหวอดกับการค้าโอสถมานานและรู้จักเรื่องของวารีผงกลั่นดวงใจที่ดังกว้างขวางในยุคโบราณอยู่แล้ว มันคือความโศกเศร้าของยุคสมัยเมื่อมันหายไป!
นั่นก็เพราะมันคือโอสถชนิดเดียวที่สามารถทำให้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้นได้!ผู้ที่มีดวงวิญญาณแข็งแกร่งเท่านั้นที่นับว่าเป็นผู้มีพรสวรค์
บางคนที่มีดวงวิญญาณแข็งแกร่งจะสามารถบ่มเพาะตำราลับที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและกลายเป็นนักปรุงยาได้บางคนก็ฝึกฝนจนถึงขั้นที่มีวิญญาณแข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวเทวะ และเมื่อวิญญาณแข็งแกร่งแล้ว การเป็นจ้าวเทวะของพวกเขาก็ย่อมเร็วกว่าคนธรรมดาไปมาก…ทั้งหมดก็เพราะดวงวิญญาณที่ทรงพลัง
ดังนั้นพลังชีวิตจึงหาใช่ปัจจัยตัดสินว่าจะเป็นจ้าวเทวะหรือไม่…แต่มันคือความแข็งแกร่งของวิญญาณ!
หากวิญญาณไม่แข็งแกร่งพอที่จะเป็นจ้าวเทวะคนผู้นั้นก็จะติดอยู่กับการเป็นภูติ มียอดฝีมือนับไม่ถ้วนติดอยู่ในขั้นภูติระดับเก้าขณะที่พยายามปรับดวงวิญญาณตัวเองให้แข็งแกร่ง
ภูติระดับเก้าเหล่านั้นต้องทนทุกข์ทรมานในเพลิงร้อนทำให้ดวงวิญญาณเจ็บปวดโดยการตัดขาดจากความสัมผัส ต้องประสบพบเจอกับความเจ็บปวดทุกรูปแบบเพียงเพื่อให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น ผู้ที่มีคนสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจจะได้สมบัติชั้นยอดอย่างต้นหอมอำพันสามรากมาและเลื่อนระดับพลังอย่างง่ายดาย แต่ส่วนมากต้องพบเจอกับความทุกข์ยาก พวกเขาต้องผ่านความเจ็บปวดมาหลายขนานเท่านั้นเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมา
อาจกล่าวได้เลยว่าการไม่มีอยู่ต่อของวารีผงกลั่นดวงใจทำให้ความก้าวหน้าของมนุษย์ในยุคสมัยนี้ช้าลงยอดฝีมือในยุคโบราณนั้นสามารถฝึกฝนจนเป็นภูติระดับเก้าและขึ้นเป็นจ้าวเทวะได้ไปตามปกติ
แต่ยุคปัจจุบันจำต้องนำตัวไปสู่ความเจ็บปวดอันมิอาจทานทนเพื่อเป็นจ้าวเทวะถ้าหากโอสถนี้กลับมาผลิตใหม่ได้อย่างที่อาจารย์เกาบอก มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับมวลมนุษย์! และส่วนที่ดีที่สุดก็คือ…ทุกคนที่นี่กำลังจะได้เห็นปาฎิหาริย์!
“อะไรนะ?”
สตรีผู้สง่างามลึกลับจากตำหนักเมฆาม่วงยืนขึ้นและพูดด้วยความตกใจ
แม่นางหลิงตาลุกวาวนางมองไปยังส่วนของที่นั่งแขกสำคัญ
หลินหมิงอวี่หลิงหลง เฟยฮั่ง และหูหวังกุยได้นำโอสถของตนอออกมาแล้ว นั่นหมายความว่าทั้งสี่ไม่ใช่เจ้าของวารีผงกลั่นดวงใจ
ยังเหลือห้องพิเศษอีกสองห้องหนึ่งในนั้นก็คือห้องลำดับแรกที่มีรองผู้จัดการใหญ่และเสี่ยวเหยา ส่วนห้องสุดท้ายนั้นเงียบมาโดยตลอด คนที่อยู่ภายในก็หาได้ปรากฏออกมาสักครั้ง ตลอดการประมูล แม่นางหลิงยังจับจ้องไปยังห้องนั้นอยู่เนืองๆ
จากนั้นคนส่วนน้อยก็รู้สึกตกตะลึงขณะที่คนส่วนมากยังคงสับสน อาจารย์เกาพยายามจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ขณะที่หัวเราะ
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านข้าอยากจะขอเชิญแม่นางหลิงให้มาแนะนำความยอดเยี่ยมของวารีผงกลั่นดวงใจ”
แม่นางหลิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีท่าทีแปลกๆของนางทำให้ฝ่ายโรงประมูลตำหนักโลหิตระวังตัวขึ้นมาอยู่แล้ว พวกเขาไม่อยากจะให้นางรู้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของวารีผงกลั่นดวงใจคือใคร แต่ถึงอย่างนั้น หากเป็นนาง ไม่ช้าก็เร็วก็จะรู้ได้ในที่สุด พวกเขาทำได้แค่รั้งนางไว้ให้นานเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
ทุกคนมองไปยังสตรีวัยกลางคนผู้งดงามแม้นางจะไม่เต็มใจ แม่นางหลิงก็ทำได้แค่แนะนำมันกับผู้คน
“มันออกฤทธิ์สองแบบอย่างแรกคือการเพิ่มฐานพลัง และอย่างที่สองคือการเพิ่มความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณกับยอดฝีมือขอบเขตภูติ!”
นางพูดชัดถ้อยชัดคำ
นางเป็นจ้าวเทวะระดับห้าแล้ววารีผงกลั่นดวงใจไม่จำเป็นต่อนาง ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าภูติมากมายที่นี่ก็ให้ความสนใจกับมันอย่างมาก!