The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 884
DND.884 – ก้าวสู่ระดับสี่
ในเวลานี้ภัยจากคำสาปที่มีต่อซือหยูได้ลดน้อยถอยลงไปอย่างมาก ตราบเท่าที่เขาเพิ่มพลังของดวงวิญญาณได้ การที่คำสาปจะกลืนกินวิญญาณเขาไปก็เป็นไปไม่ได้อีก
ตอนนี้เขาคงปลอดภัยไปซักระยะเมื่อซือหยูกำลังจะยืนขึ้น วายุก็ได้ปรากฏเหนือศีรษะ พลังวิญญาณรอบๆได้ก่อตัวรวมกันจนเป็นวายุ
ข้ากำลังจะทะลวงพลังหรือ?ซือหยูคิด
เขาตกใจในทีแรกแต่ก็ดีใจตามหลังเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าวารีผงกลั่นดวงใจมิได้มีฤทธิ์แค่เพิ่มพลังให้ดวงวิญญาณ แต่มันยังเพิ่มฐานพลังของเขาได้ด้วย!
ซือหยูนั่งสมาธิอีกครั้งและเตรียมการรับพลังวิญญาณพลังวิญญาณจำนวนมากเข้าสู่ร่างและหลั่งไหลสู่จุดกำเนิดพลัง พลังในจุดกำเนิดพลังของเขาเทียบเท่าภูติระดับห้าอยู่แล้ว พลังที่ไหลเข้าไปเติมเต็มจุดกำเนิดพลังทั้งนอกในในไม่นาน
ปั้ง!
เมื่อพลังเหนือกว่าจุดที่จุดกำเนิดพลังรับไหวมันก็ระเบิดออกมา ปริมาณนั้นใหญ่กว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว
พลังจำนวนมหาศาลได้อัดแน่นเป็นวารีและกลายเป็นพลังชีวิตที่หลอมรวมกับธารพลังสองสายความเข้มข้นของพลังชีวิตซือหยูนั้นเทียบได้กับภูติระดับหก ขณะที่ร่างกายของเขาก็มีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากัน
ก่อนหน้าที่กำลังของเขาอยู่ที่หกแรงช้างครึ่ง แต่ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งแรงช้าง เท่ากับเจ็ดแรงช้าง และเมื่อเขาใช้พลังของกายามังกร มันก็จะเพิ่มไปถึงแปดแรงช้าง!
ซือหยูสามารถต่อสู้กับภูติระดับแปดได้โดยอาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียว!เขาเป็นภูติระดับสี่ แต่พลังชีวิตสำรองของเขามีเท่าภูติระดับหก และยังมมีร่างกายที่เทียบเท่าภูติระดับเจ็ด! มันค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว!
ซือหยูลืมตาขึ้นช้าๆความเจ็บปวดจากแรงระเบิดของจุดกำเนิดพลังยังคงอยู่ในท้อง แต่เขาก็ยิ้มจางๆ
นั่นก็เพราะถ้าเขาดื่มวารีผงกลั่นดวงใจต่อไปเขาก็มั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นภูติระดับห้าและมีดวงวิญญาณของภูติระดับหกก่อนจะออกจากเมืองเทียนหยา
ซือหยูยังคงปิดประตูฝึกตนต่อไปอีกหลายวันเขาต้องปรับฐานพลังของตัวเองที่เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมาให้คงที่ด้วย ขณะที่บ่มเพาะหลายๆวิชาไปพร้อมกัน
ซือหยูบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอสูรจนถึงระดับที่ีมังกรสองตัวเส้นขนอสูรยังเหลือพลังอสูรอีกสามส่วน เท่านี้ก็มากพอแล้วที่ซือหยูจะสร้างมังกรเพิ่มอีกตัว
ในห้าวันที่ผ่านมาได้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่กับโลกภายนอกการฟื้นคืนของวารีผงกลั่นดวงใจเป็นที่ยืนยันแล้ว และยอดฝีมือมากมายก็ตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามีโอสถจำนวนมากถูกขายออกมา หลายคนมาที่ร้านตงหลินทันทีที่ได้ข่าว พวกเขาเตรียมจะซื้อโอสถล้ำค่านี้เป็นจำนวนมาก!
เหล่าเจ้าของร้านโอสถในเมืองเทียนหยามิอาจใจเย็นอยู่ได้เมื่อได้ข่าวอันน่าตื่นตาโดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าร้านตงหลินทำกำไรหนึ่งแสนดวงในวันแรกที่ทำการขาย หลายคนอิจฉาซือหยูและร้านของเขา
เป็นที่รู้กันว่าแม้แต่ร้านระดับสูงก็มียอดขายต่อวันอยู่ที่ราวสามหมื่นดวงดังนั้น หากร้านตงหลินยังคงมีรายได้เช่นนี้ต่อไป มันก็อาจจะกลายเป็นร้านโอสถลำดับหนึ่งแห่งเมืองเทียนหยา!
น่าเสียดายที่ร้านโอสถอื่นได้แค่สิ้นหวังและทำอะไรไม่ได้เลยเพราะพวกเขาไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันดีต่อร้านตงหลิน พวกเขาไม่มีหวังจะได้มีส่วนร่วมในการค้าโอสถกับซือหยู
แต่ก็ยังมีหนึ่งคนที่ร้อนรนเขาคิดจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ที่ร้านกลิ่นสวรรค์ เฟยฮั่งเดินมือไพล่หลังไปทั่วร้าน
สีหน้าของเขาหม่นหมองเพราะว่าเขากำลังอยู่ในวิกฤติร้ายแรง!
เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกถึงมาก่อนการค้าโอสถของร้านเขากำลังดิ่งลงเหว ยากที่เขาจะรักษายอดขายเอาไว้ได้ และร้านตงหลินก็ปรากฏตัวออกมาพอดิบพอดี ดูเหมือนว่าร้านตงหลินมีโอกาสอย่างมากที่จะมาแทนที่ร้านของเขา!
นั่นจึงเป็นธรรมดาที่เฟยฮั่งจะนิ่งเฉยไม่ได้เขาหันไปหาคนของเขา
“นอกทุกร้านโอสถว่าข้าจะจัดประชุมร้านโอสถในอีกห้าวันเจ้าต้องบอกให้ครบทุกร้าน!”
คนของเขาทำตามคำสั่งเขาคือเด็กคนเดียวกับคราวที่แล้ว เขาเข้าใจดีว่าจะต้องไปเชิญร้านตงหลินด้วย!
ครั้งที่แล้วที่เขาไปบอกเรื่องชุมนุมร้านโอสถเขาไม่คิดจะเข้าประตูร้านตงหลินด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ เขาพบว่าเขามิอาจเข้าไปในร้านได้แม้จะอยาก เพราะที่ร้านมียอดฝีมือจากตำหนักโลหิตคุ้มกันอยู่เต็มไปหมด! ไม่มีใครเข้าไปได้หากซือหยูไม่อนุญาต
เขามองคลื่นผู้คนที่หน้าทางเข้าร้านเด็กชายได้แค่เดาะลิ้น เขาเค้นกายอย่างยากลำบากไปถึงหน้าร้าน และเมื่อเขาจะได้พูดคำเชิญ เขาก็ถูกคนข้างๆหลักออกไป!
เขาพยายามจะกลับไปหน้าร้านตงหลินสามสี่ครั้งก่อนที่สุดท้ายจะมีโอกาสได้พูดเขาหงุดหงิดอย่างมาก
“บอกให้เจ้าของร้านออกมา!ข้าเป็นคนของเจ้าของร้านใหญ่ ข้าจะบอกเรื่องสำคัญกับเขา”
หยิงหลวนกับฉิงหลิวมองเด็กชายเขายังคงเป็นเด็กเย่อหยิ่งจากร้านกลิ่นสวรรค์คนเดิม
แต่ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ฉิงหลิวกับหยิงหลวนต้องหวาดกลัวเด็กชายคนนี้หยิงหลวนกับฉิงหลิวเริ่มคุ้นเคยกับการถูกรายล้อมไปด้วยภูติและจ้าวเทวะแล้ว ทั้งสองเริ่มคิดว่าร้านกลิ่นสวรรค์ก็ไม่มีอะไรมาก!
ฉิงหลิวแสร้งยิ้มและชี้ไปที่คลื่นมนุษย์..novel-lucky
“ถ้าเจ้าอยากจะพบเจ้าของร้านเจ้าก็ไปต่อแถวรอซะ”
เด็กชายไม่พอใจ!มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันนับจากครั้งสุดท้าย แต่คนงานร้านโอสถเล็กๆสองคนนี้กลับกล้าขู่เขาอย่างหยาบคาย! ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะสั่งสอนพวกนี้ไปแล้ว!
แต่เขาได้แค่กลืนความโกรธกลับไป
“ข้าต้องแจ้งเรื่องสำคัญกับเจ้าของร้านเจ้าเจ้าของร้านเจ้าจะต้องไม่รีรอในเรื่องสำคัญ!”
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องสำคัญคืออะไรเล่า? คงเป็นงานชุมนุมร้านโอสถที่เจ้าของร้านเจ้าจัดสินะ เจ้ารอไปก่อน เจ้าของร้านข้ากำลังปิดประตูฝึกตน เจ้ารอจนเขาว่างก็แล้วกัน”
ฉิงหลิวโบกมือปฏิเสธอย่างไม่ใส่ใจเขาปฏิเสธคำขอของเด็กชายอย่างหยาบกระด้าง
เด็กชายรู้สึกอัปยศแต่เขาก็บุกเข้าไปไม่ได้ เขาได้แต่รอด้านนอกอย่างอดทน
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องรอถึงสามวันเต็ม!หลังจากผ่านไปสามวัน ผู้มีอำนาจจากโรงประมูลเทียนหยาก็มาถึง แม้แต่เหล่าจ้าวเทวะจากตำหนักโลหิตก็หยุดนางไม่ได้
นั่นก็เพราะนางคือแม่นางหลิง!นางยังคงเยือกเย็นเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว สีหน้าของนางเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งเมื่อเข้าไปในห้องของซือหยู
นางกล่าว
“ข้ามาทำตามสัญญาแล้ว!”
ซือหยูที่บ่มเพาะพลังอยู่ตื่นด้วยเสียงเรียกของนางเขามิอาจหยุดการบ่มเพาะได้ทันเวลา เสียงคำรามของมังกรสามตัวได้สะท้อนออกมาจากอก เสียงของพวกมันดังลั่น เสี้ยวพลังอสูรเล็ดลอดออกจากห้องไป
แม่นางหลิงระคายใจแต่นางก็เลิกคิ้ว
“พลังอสูรบริสุทธิ์นัก!มันไม่เหมือนพลังอสูรจากมนุษย์เลย”
ผ่านไปครู่สั้นๆซือหยูเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ข้าก็สงสัยว่าใครแม่นางหลิงเองสินะ เจ้าใจร้อนทีเดียว!”
ซือหยูไม่พอใจที่นางมารบกวนการบ่มเพาะของเขาเมื่อเขาเปิดประตู แม่นางหลิงมองเขาด้วยความตกใจ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสับสน นางสับสนกับพลังอสูรแปลกๆ!
“ข้ายังต้องสุภาพกับเจ้าอีกเรอะ?”
แม่นางหลิงถามอย่างดูถูกนางมองซือหยูอย่างเยือกยเ็น
นางโยนกิ่งไม้สีน้ำเงินให้เขากิ่งไม้นี้มีสีน้ำเงินทั้งกิ่ง มันเปล่งแสงประกายวาววับ
“ผ่านไปสามวันแล้วนี่คือสิ่งที่ข้าสัญญากับเจ้าไว้ มันคือสมบัติวิถีวารีสูงสุด!”
นางกล่าว
ซือหยูตาลุกวาวเขาไม่คิดว่าจะได้มันมารวดเร็วเช่นนี้ เขาคิดอยากที่จะได้มันมานานแล้ว!
หลังจากที่แม่นางหลิงโยนกิ่งไม้ให้ซือหยูนางก็บินออกไปขณะพูดอย่างเยือกเย็น
“อีกครึ่งปีข้าจะหาพลังชีวิตของจ้าวเทวะระดับห้าหนึ่งร้อยคนมาให้เจ้าพอถึงตอนนั้น อย่าได้คิดเล่นตุกติก! ไม่อย่างนั้นก็อย่าพูดว่าข้าป่าเถื่อน!”
ซือหยูสับสนกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของแม่นางหลิงเขาคิด…ข้าทำให้นางไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แต่เมื่อทั้งสองไม่ได้พบกันมาหลายวันซือหยูก็ไม่รู้ว่าเขาไปทำให้นางไม่พอใจตอนไหน! แต่ซือหยูที่สับสนก็เพียงกลับไปบ่มเพาะพลังต่อ
ตอนนั้นเองเขาได้ยินเสียงเล็กๆ…
“เจ้าของร้านซือข้าเป็นเด็กที่ทำงานให้เจ้าของร้านเฟยแห่งร้านกลิ่นสวรรค์! ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าจะต้องเข้างานชุมนุมร้านโอสถในอีกสองวัน!”
เด็กชายยืนหน้าประตูศิลาและเห็นซือหยูผ่านร่องประตูเขาจึงใช้โอกาสนี้ตะโกนสุดเสียง
งานชุมนุมร้านโอสถหรือ?ซือหยูมองเด็กชายก่อนจะมองฉิงหลิว
“อืม…ข้าไม่มีเวลาไปฉิงหลิว เจ้าไปแทนข้าก็แล้วกัน”
คนที่ได้ยินคำพูดของซือหยูส่งเสียงดังถึงพวกเขาจะไม่ใช่จากร้านโอสถ พวกเขาก็รู้ว่าเจ้าของร้านใหญ่ของตำหนักโลหิตนั้นมีอำนาจมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขาดการชุมนุมที่เจ้าของร้านใหญ่จัด!
แต่ซือหยูกลับส่งลูกจ้างไปแทนเขา!ทุกคนได้แต่ส่ายหน้า…คนเราจะโดนดูถูกได้มากแค่ไหนกัน?
แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนพวกเขาก็ตระหนักว่าซือหยูตอนนี้มีอำนาจสูงสุดแล้ว ต่อให้เขาไม่เข้าชุมนุม เจ้าของร้านใหญ่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี! เฟยฮั่งเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ การเรียกตัวซือหยูในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการทำให้ตัวเองขายหน้า!
เด็กชายโมโหกับคำตอบของซือหยูเขาหน้าซีดในทันที เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะมาเจอซือหยูและรอมาหลายวัน จนสุดท้ายซือหยูก็ปรากฏตัวให้เห็น แต่เขากลับได้คำตอบที่ไม่น่าพอใจ!
หลังซือหยูพูดจบเขากลับเข้าไปในห้องและบ่มเพาะพลังต่อไป ในระหว่างวันที่เขาบ่มเพาะพลังอย่างอดทน เขาสามารถเปลี่ยนพลังอสูรในขนอสูรและสร้างมังกรอสูรตัวที่สามได้สำเร็จ มังกรทั้งสามมีพลังมากพอที่จ้าวเทวะระดับสองจะไม่มีทางรอดไปได้
ข้าจะต้องหาของที่มีพลังอสูรเพิ่มขึ้นและบ่มเพาะวิชาอสูรนี่ต่อ…ซือหยูคิด
ซือหยูเรียกหยกแก่นเพลิงกับสมบัติวิถีวารีออกมากิ่งไม้สีมรกตอมน้ำเงินนั้นดูเหมือนแก้วหยก แต่ถ้าหากมองให้ดีก็จะพบว่ามันคือกิ่งไม้จริงๆ
แต่ด้านในกิ่งไม้นั้นเต็มไปด้วยพลังธาตุน้ำที่หนาแน่นซือหยูสามารถสัมผัสมันได้ทันทีที่แตะด้วยมือ มันมีพลังมหาศาลที่ซือหยูไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อได้สัมผัสซือหยูรู้สึกถึงน้ำในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันที เขาราวกับจะถูกสิ่งนี้ดูดกลืนไปในไม่นาน เขาจึงรีบปล่อยมัน มันมีพลังธาตุน้ำที่รุนแรงเกินไป
ในตอนนั้นมือซ้ายของเขาถือหยกแก่นเพลิงขึ้น มือขวาถือกิ่งไม้เอาไว้ เขามองมันด้วยความคาดหวัง…หยกแก่นเพลิงจะเปลี่ยนแปลงร่างกายข้าให้เป็นอย่างไรกัน?
ซือหยูเริ่มใช้สมบัติทั้งสองตามวิธีที่ได้อ่านจากตำราโบราณเขารู้ว่าจะต้องหลอมรวมทั้งสองสิ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกัน
มิเช่นนั้นเพลิงอันน่ากลัวจากหยกแก่นเพลิงจะทำให้เขามอดไหม้ไปทั้งดวงวิญญาณ!นี่จึงเป็นเหตุให้เขาต้องใช้สมบัติธาตุน้ำมาปรับสมดุลพลัง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามแก่นเพลิงกับวารีก็ได้อยู่ในมือซือหยู จากนั้นมันก็หลอมรวมไปที่มือของซือหยู
เขาระมัดระวังอย่างมากในขั้นตอนนี้เพราะแค่ความผิดพลาดเดียวก็จะทำให้ทั้งสองสิ่งระเบิด ถ้ามันระเบิดออกมา แม้แต่ซากศพของซือหยูก็จะไม่เหลือให้เห็น!
เคราะห์ดีที่ซือหยูคุ้นเคยกับการหลอมรวมต้นกำเนิดนั่นเป็นเหตุให้เขาควบคุมพลังทั้งสองได้อย่างชำนาญ และก็ต้องขอบคุณที่ขั้นตอนนี้ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องใช้เวลาทั้งวันในขั้นตอน
หน้าผากของซือหยูเต็มไปด้วยเหงื่อเขาหน้าตาซีดเซียว การหลอมรวมน้ำและไฟเข้าด้วยกันกินแรงเขาไปมาก
หลอมรวมแก่นหยกเพลิงกับสมบัติวิธีวารียากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เขาหลบการปะทะกันของพลังทั้งสองหวุดหวิดไปหลายครั้ง มันพร้อมจะระเบิดทุกเมื่อหากปะทะกัน!
เขาหวาดกลัวและเคร่งเครียดมาตลอดวันแต่สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ
ตอนนี้จี้สีมรกตอมคราวที่มีรูปหัวใจขนาดเท่าน้ำตาได้ปรากฏในมือของซือหยู มีเพลิงเล็กๆลุกโชนอยู่ด้านในจี้