The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 886
DND.886 – พาภัยพิบัติสู่ตัวเอง
หลังผู้เฒ่าหวงพูดเขาก็เปิดใบสั่งซื้ออีกครั้ง คำว่า ‘วารีผงกลั่นดวงใจ’ ปรากฏอย่างชัดเจนคาตา
บุตรชายถามอีกครั้ง
“ท่านพ่อเจ้าของร้านซือหมายความว่าอย่างไรกัน? พวกเราจะไปเตรียมโอสถโบราณให้เขาได้ยังไง?”
ผู้เฒ่าหวงหรี่ตาเมื่อเขายกใบสั่งซื้อขึ้นมองอีกครั้งมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าเขา! แต่ก็มีเสี้ยวพลังชีวิตอัดอยู่ในเถ้าถ่าน มันกลายเป็นคลื่นเสียงแล่นออกมา…
“เจ้าตระกูลหวงโปรดคัดเลือกนักปรุงยาชั้นกลางจำนวนมาก ให้นักปรุงยาเหล่านั้นเตรียมผลิตวารีผงกลั่นดวงใจตั้งแต่วันพรุ่งนี้ จะมีผู้อาวุโสคนหนึ่งส่งวัตถุดิบสี่ร้อยห้าสิบชุดให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าเพียงแค่ต้องเตรียมการผลิตให้เรียบร้อยและส่งโอสถให้ร้านตงหลินเมื่อปรุงเสร็จ ข้าจะจ่ายในราคาหนึ่งพันสองร้อยต่อขวด พวกเจ้าต้องผลิตทั้งสี่ร้อยห้าสิบขวดให้ได้ในอีกสามวัน”
แม้ว่าเสียงจะหยุดดังไปแล้วเจ้าตระกูลหวงก็ไร้คำพูด เขาตกตะลึงกับเรื่องประหลาดที่กำลังพบเจอ
“เจ้าของร้านใหญ่ซือต้องการให้ตระกูลหวงผลิตวารีผงกลั่นดวงใจให้ร้านตงหลินขะ…ข้าฝันไปใช่ไหม?”
พ่อลูกตระกูลหวงไม่เคยคิดว่าจะได้มีส่วนร่วมในการผลิตโอสถในตำนานนี้เลยมันยิ่งกว่าความฝันเสียอีก!
เพราะรู้ว่าคนในเมืองบ้าคลั่งแค่ไหนเมื่อได้ยินชื่อโอสถนี้ไม่มีใครคิดจะแบ่งกำไรกับคนอื่นแน่ แต่ซือหยูกลับเสนอให้พวกเขา!
ผู้เฒ่าหวงตัวแข็งทื่อผ่านไปนานกว่ารอยยิ้มอันสงบใจจะเบ่งบานบนใบหน้า เขาหัวเราะเบาๆ
“ฮ่าๆๆ!ดีล่ะ…ตระกูลหวงของเราจะได้ตั้งมั่นอยู่ในเมืองเทียนหยาเสียที!”
ด้วยโอสถนี้พวกเขาจะได้รับความนับถือจากยอดฝีมือทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหวงของพวกเขาจะมีสิทธิ์เลือกนักปรุงยาของตัวเอง แม้แต่พันธมิตรปรุงยาก็มิอาจปฏิเสธพวกเขาได้!
ที่ดียิ่งกว่าพวกนักปรุงยาเลวทรายที่พยายามจะผลักไสตระกูลหวงในอดีตอาจจะต้องมาอ้อนวอนพวกเขาให้ได้สิทธิ์การปรุงยาครั้งนี้! ในอดีตนั้นตระกูลหวงเป็นฝ่ายที่ต้องหานักปรุงยาจากพันธมิตรเพื่อช่วยผลิต แต่ตอนนี้ นักปรุงยาเหล่านั้นจะถูกบังคับให้มาอ้อนวอนตระกูลหวงเอง!
“ชุนเอ๋อเจ้ารีบไปบอกนักปรุงยาของพันธมิตรที่ดีกับเรา บอกพวกเขาว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือ”
ผู้เฒ่าหวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี
เขาพูดต่อ
“แล้วก็เจ้าไปบอกเหล่าผู้เฒ่าของเราให้หยุดการฝึกตนเพื่อมาปกป้องตระกูลเรา นี่เป็นเรื่องสำคัญของอนาคตตระกูล เราต้องไปปลุกผู้เฒ่าขึ้นมา!”
เจ้าตระกูลหวงเข้าใจทุกอย่างที่พ่อบอกพวกเขาต้องเลือกนักปรุงยาที่สมบูรณ์แบบในการปรุงยา และพวกเขายังมีโอกาสได้เลือกในจำนวนมากอีกด้วย!
พวกเขาเพียงแค่ต้องรอให้ซือหยูส่งวัตถุดิบมาจากนั้นตระกูลหวงจะได้เริ่มผลิตวารีผงกลั่นดวงใจ!
ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะทำต่อไปหากซือหยูไม่ส่งวัตถุดิบนั้นได้มีการเตรียมการไว้แล้วพวกเขาจะหาทางนำวัตถุดิบมาด้วยตัวเองและจ้างนักปรุงยาชั้นกลางแค่ไม่กี่คน นั่นจะทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างงามโดยไม่ต้องเสียแก้วในกระเป๋า!
หากทำได้พวกเขาจะมีรายได้อย่างน้อยหนึ่งพันต่อขวด พวกเขาจะได้แก้วสี่ถึงห้าแสนดวงจากโอสถทั้งหมดนี้! นี่คือรายได้ตามปกติของตระกูลหวงหลายปีรวมกัน!
ดังนั้นจึงไม่เกินเลยที่จะพูดว่านี่คือการทำข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตระกูลหวง!
เรื่องนี้สำคัญจนพวกเขาตัดสินใจที่จะเรียกเหล่าผู้เฒ่าที่ปิดประตูฝึกตนออกมาปกป้องตระกูลเหล่าผู้เฒ่านั้นมีจ้าวเทวะระดับสี่ และมีสหายจ้าวเทวะชั้นกลางมากมายในเมือง พวกเขามั่นใจว่าจะไม่มีใครทำอะไรตระกูลตัวเองได้ในระหว่างเวลานี้
ทั้งตระกูลหวงเริ่มลงมือพวกเขาตั้งมั่นกับความสำเร็จในเวลานี้!
ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนั้นได้ปิดประตูฝึกตนอีกครั้งซือหยูมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มาที่เมืองเทียนหยาเพื่อผลิตโอสถ แต่มันคือการทำคะแนน
ตราบเท่าที่รายได้ของร้านตงหลินเพิ่มขึ้นต่อไปเขาจะได้คะแนนมากขึ้น ดังนั้น ถ้าหากทุกอย่างดำเนินต่อไปโดยไม่มีอะไรขวาง เขาก็ไม่ต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
เขาจึงไม่ติดใจที่จะให้ตระกูลหวงดำเนินการในการผลิตโอสถที่ไม่จำเป็นต้องทำเองนั่นทำให้เขามีเวลาบ่มเพาะพลัง ส่วนเรื่องที่วารีผงกลั่นดวงใจจะไปอยู่ในมือคนอื่นก็ไม่ต้องกลัว เพราะเขาคือคนเดียวที่มีวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือหญ้าใจสลาย
ตราบเท่าที่เขาเก็บเมล็ดของแต่ละต้นเอาไว้มันก็ไม่สำคัญหากใครจะได้หญ้าใจสลายไป เพราะพวกเขามิอาจเอาไปปลูกหรือเพาะเลี้ยงต่อได้ พยายามไปก็รังแต่จะเสียเวลา!
นี่เป็นเหตุให้ซือหยูมอบหมายเรื่องการผลิตวารีผงกลั่นดวงใจกับคนอื่นเพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนควบคุมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวารีผงกลั่นดวงใจกี่ขวด ตอนนี้เขาก็บันดาลได้ทั้งนั้น
ทุกสิ่งอยู่ในกำมือของซือหยู!
แต่ไม่ง่ายที่ซือหยูจะบ่มเพาะได้อย่างสงบสุขอย่างที่ต้องการเพราะเวลานี้…ขณะนี้ มีชายลึกลับได้ปรากฏตัวในร้านของซือหยูอย่างเงียบๆ!
ขณะนั้นฉิงหลิวก็ได้ทำตามที่ซือหยูบอกและเข้าร่วมงานชุมนุมร้านโอสถแทนซือหยู…
ทั้งห้องประชุมมีแค่เจ้าของร้านยกเว้นที่นั่งของร้านตงหลินที่มีเพียงลูกจ้างนั่งอยู่ความแตกต่างนี้ช่างลักลั่น
เฟยฮั่งนั่งด้านหน้าบอกได้เลยว่าสีหน้าของเขาดำมืดแค่ไหนเมื่อจ้องมองลูกจ้างของร้านตงหลิน เฟยฮั่งพูดอย่างเยือกเย็น
“ทุกท่านร้านโอสถของเขตกลางกำลังก้าวไปข้างหน้า สถานการณ์ของพวกเราไม่ได้ดีนัก โอสถวิหคเพลิงมังกรทำให้การค้าโอสถสามัญทั้งสามของพวกเราเสียหาย นี่คือเหตุผลที่พวกเราต้องร่วมมือกันต่อต้านศัตรู”
เขาพูดต่อ
“ข้ากำลังจะบอกว่าพวกเราต้องพยายามเพิ่มยอดขายให้ได้มากที่สุดจากโอสถที่เรามีเช่นวารีผงกลั่นดวงใจที่ร้านตงหลินผลิต มันดูดีสำหรับข้า แต่ยอดขายของมันก็มีจำกัดเพราะความเล็กของร้านตงหลิน ข้าเลยอยากจะให้นำมันมาขายที่ร้านกลิ่นสวรรค์ของข้า ผลที่ได้คงจะดีกว่ามาก…”
เมื่อได้ฟังเจ้าของร้านทุกคนทำได้แค่สาปแช่งเขาในใจ พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงความหน้าด้านของเฟยฮั่ง…
“หึวารีผงกลั่นดวงใจของร้านตงหลินยังผลิตมาขายไม่ทันเลย หลายคนอยากจะได้แต่ก็ไม่มีโอกาส! เขาพูดได้ยังไงว่ายอดขายจำกัดเพราะร้านเล็ก?”
“เฟยฮั่งมันกระวนกระวายจนตัดสินใจเช่นนี้ถ้าหากสถานการณ์ไม่เปลี่ยน เจ้าของร้านใหญ่ของพวกเราจะถูกแทนที่หลังจากเดือนนี้เป็นแน่!”
“หึหึเฟยฮั่งดีแต่ใช้อำนาจ ตอนนี้ก็เหมือนกำหมัดชกกำแพง! ดูเอาเถอะว่าจะไปได้สักกี่น้ำ!”
ขณะที่เจ้าของร้านหลายคนกระซิบกันเจ้าของร้านบางคนก็มองฉิงหลิวพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ทุกท่านคิดอ่านอย่างไรหรือ?”
เฟยฮั่งยิ้มถาม…novel-lucky
เหล่าเจ้าของร้านใบหน้าไร้อารมณ์มีคนพูด
“พวกเรามิได้มีข้อโต้แย้งแต่ท่านต้องถามคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก่อน…ตัวแทนจากร้านตงหลินน่ะ”
เฟยฮั่งยังคงยิ้มจางๆเขาทำเป็นไม่สนใจว่าฉิงหลิวนั่งอยู่บนเก้าอี้
“เจ้าคิดอย่างไรรึ?”
ในหลายวันที่ผ่านมาฉิงหลิวคุ้นเคยกับการเจอคนมีอำนาจแล้ว เขาไม่สนใจคนที่มีตำแหน่งแค่เจ้าของร้านใหญ่ เขาพูดอย่างใจเย็น
“ข้ามาที่นี่เพื่อรับฟังและประชุมแทนเจ้าของร้านของข้าเท่านั้นส่วนเรื่องการตัดสินใจ ข้าต้องให้เจ้าของร้านตริตรองหลังจากข้ากลับ เจ้าของร้านเฟยว่าต่อเถอะ…”
เมื่อฉิงหลิวพูดกลับอย่างหยาบคายเช่นนี้เฟยฮั่งก็ไม่ทนอีกต่อไป
“ทำไมเจ้าของร้านของเจ้าถึงไม่มางานชุมนุมร้านโอสถที่สำคัญเช่นนี้?มีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่านี้อีกเรอะ?”
ฉิงหลิวยักไหล่
“ที่เจ้าของร้านข้าทำล้วนเป็นเรื่องสำคัญและเขาก็กำลังพบแขกสำคัญขณะที่เรากำลังประชุมกันอยู่ตอนนี้! เรื่องเล็กน้อยอย่างงานประชุมน่ะให้ลูกจ้างมาแทนก็พอแล้ว เจ้าของร้านเฟย โปรดอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเปล่าๆเลย”
“โอหัง!”
เฟยฮั่งโกรธจัดเมื่อลูกจ้างร้านเล็กๆกล้าพูดกับเขาแบบนี้
แต่ฉิงหลิวก็ไร้ซึ่งความกลัว
“เจ้าของร้านเฟยถ้าจะประชุมกันแค่นี้ ข้าก็คิดว่าข้าฟังมามากพอแล้ว ข้าจะกลับร้าน โปรดทนรอว่าเจ้าของร้านข้าจะตัดสินใจอย่างไร”
หลังพูดจบเขาก็ไม่สนใจอีกเลยว่างานชุมนุมร้านโอสถยังไม่จบ เขาลุกออกจากเก้าอี้และเดินออกไปเฉยๆ! เหล่าคนคุ้มกันที่เป็นภูติตามฉิงหลิวไปติดๆ
ด้วยท่าทางและกลุ่มคนคุ้มกันมากมายคอยตามติดระดับนี้หากไม่รู้จักก็อาจจะคิดได้ว่าฉิงหลิวนั้นเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่สักตระกูล
เฟยฮั่งโกรธจนสั่นไปทั้งตัวครึ่งเดือนก่อน ซือหยูก็ได้เดินออกจากงานชุมนุมไปเฉยๆ และหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งเดือน ลูกจ้างของซือหยูก็ทำแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน!
ปั้ง!
เฟยฮั่งทุบโต๊ะยืนขึ้นเขาโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ได้!ข้าอยากจะรู้นักว่าซือหยูเซี่ยนกำลังเจอใครอยู่ ข้าอยากจะรู้ว่าอะไรมันสำคัญกว่างานชุมนุมร้านโอสถของข้า! พวกเจ้าทุกคนตามข้ามา!”
เหล่าเจ้าของร้านได้แต่ดีใจกับโชคร้ายที่เฟยฮั่งต้องเจอเฟยฮั่งหมดความอดทนจนพร้อมจะสู้กับซือหยูเซี่ยนแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้สมการแสดงดีๆ!
ขณะนั้นที่ร้านตงหลิน ชายแก่ร่างอ้วนกำลังนั่งตรงข้ามซือหยู
“หึหึตำหนักนอกของพวกเรามีคนมากพรสวรรค์มากนัก เจ้ามิได้มีพรสวรรค์ในภาษาไม้อย่างเดียว เจ้ายังมีโอสถโบราณอยู่อีก! เจ้าช่วยแก้วิกฤติร้านตงหลินและวิกฤติร้านโอสถของตำหนักโลหิต! โชคชะตาเจ้าดียิ่งนัก!”
รองผู้จัดการใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มขณะที่มองซือหยูอย่างยอมรับ
ซือหยูคิดไว้แล้วว่ารองผู้จัดการใหญ่จะมาเขาตอบอย่างสุภาพ
“รองผู้จัดการใหญ่ชมข้าเกินไปแล้วข้าก็แค่โชคดีที่ได้เจอนักปรุงยาผู้นั้น”
รองผู้ชัดการใหญ่ส่ายหน้า
“โชคมันก็แค่สิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่พวกเราแน่ใจได้ว่าคนที่มีโชคดีมักจะมีสิ่งดีตามติดตัว ยิ่งอยู่ใกล้คนเช่นนี้มากเท่าใดก็ย่อมเป็นผลดีด้วยเหมือนกัน!”
ซือหยูไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเขาจึงรีบพูดเข้าเรื่อง
“รองผู้จัดการใหญ่ท่านไม่คิดมาวันนี้เพียงเพื่อพูดเรื่องโชคชะตาใช่หรือไม่?”
“หึหึ!นั่นก็ใช่…มาเข้าเรื่องกันเลย! …ครึ่งเดือนผ่านไปแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บตัวในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ เพื่อไม่ให้มีเหตุอันใดเกิดขึ้นกับเจ้า…”
รองผู้จัดการใหญ่หัวเราะเบาๆตอบ
“ข้าไม่อยากจะเห็นศิษย์นอกที่เชี่ยวชาญภาษาไม้จมอยู่กับความขัดแย้งโดยเฉพาะที่อันตรายต่อชีวิต!”
ซือหยูเริ่มระแวงเมื่อได้ฟังคำสุดท้ายเขารู้ว่ารองผู้จัดการใหญ่พูดถึงสิ่งใด ซือหยูกำลังทำให้ตัวเองเด่น และก็มียอดฝีมือมากมายก็กำลังคิดร้ายต่อเขาอยู่เต็มไปหมด และถ้าหากเขาเจอเรื่องไม่คาดคิด มันอาจจะส่งผลกระทบต่อเรื่องใหญ่ของเมืองเทียนหยาที่จะเกิดขึ้นในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า
“รองผู้จัดการใหญ่ท่านมิต้องกังวล ผู้อาวุโสท่านนั้นบอกให้ข้ามอบหมายตระกูลหวงให้ผลิตโอสถแล้ว แต่โอสถจะยังขายในร้านข้าอยู่ นั่นหมายความว่าข้าว่างแล้ว ข้ามั่นใจว่าข้าจะปิดประตูฝึกตนได้ในครึ่งเดือนนี้…”
ซือหยูบอกเขา
รองผู้จัดการใหญ่ตกใจเขาคิด…ตระกูลหวงรึ? ตระกูลหวงไหนล่ะ?
แม้ว่าจะสงสัยเขาก็ไม่เก็บเอาไปใส่ใจมากนักมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้วถ้าเทียบกับเรื่องในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า ถ้าหากทำสำเร็จ มันอาจจะยิ่งส่งผลกระทบมากกว่าวารีผงกลั่นดวงใจ
ซือหยูเลิกคิ้วถาม
“มันคือเรื่องอะไรหรือท่าน?”
“อีกครึ่งเดือนเจ้าจะรู้ทั้งหมดเอง”
รองผู้จัดการใหญ่บอกและยิ้มอย่างลึกลับ
เขาลุกขึ้นยืน
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรอีกในครึ่งเดือนนี้นอกจากศึกษาภาษาไม้ข้าจะรอเจ้า”
ซือหยูพยักหน้า
“เข้าใจแล้วข้าจะตั้งใจศึกษาภาษาไม้อย่างดี”
เขาคิดไว้แล้วว่าจะต้องทำนี่มิใช่เพราะเขาต้องเตรียมเรื่องในอีกครึ่งเดือนหน้า แต่มันคือเรื่องถ้อยคำในกองทรายสีทองที่เขายังไม่เข้าใจ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
รองผู้จัดการใหญ่ยิ้ม
“ซือหยูเซี่ยนข้ามาถึงที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าเห็นเล่าว่ามีสิ่งใดที่สำคัญกว่างานชุมนุมร้านโอสถของข้า?”
เฟยฮั่งถามขณะที่นำเหล่าเจ้าของร้านมาเขามาด้วยคนจำนวนมาก แม้แต่คนคุ้มกันจ้าวเทวะก็ขวางไม่ได้
รองผู้จัดการใหญ่หรี่ตาและหันมามองซือหยูกลับ
“เจ้ามีเรื่องอันใดกับเขารึ?
ซือหยูผายมืออย่างช่วยไม่ได้
“ข้าน่ะไม่มีหรอก”
รองผู้จัดการใหญ่กลอกตาและเข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังในทันทีซือหยูนั้นพุ่งทะยานขึ้นมาเร็วเกินไปจนเฟยฮั่งที่มีใจคับแคบทนไม่ได้ กิจการโอสถมิอาจมีเสือสองตัว!
“เจ้าจัดการเขาได้ไหมล่ะ?”
รองผู้จัดการใหญ่ถาม
ซือหยูสีหน้าสุขสบายเขาตอบ
“เขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้มันทำขายหน้าตามใจอยากเถอะ!”
ซือหยูไม่ได้เห็นเฟยฮั่งในสายตาเลยดังนั้นคำพูดของเฟยฮั่งก็แค่ทำให้เขารำคาญเท่านั้น
รองผู้จัดการใหญ่จึงกล่าว
“ถึงอย่างนั้น…สุดท้ายมันก็เป็นปัญหาอยู่ดีเจ้าควรต้องศึกษาภาษาไม้ต่อไป จะมีคนรบกวนไม่ได้ เจ้าปิดประตูฝึกตนไปเสีย ข้าจะไปตัดการพวกตัวปัญหานั่นเอง!”
เมื่อพูดจบรองผู้จัดการใหญ่เดินออกจากห้องไปด้วยมือไพล่หลัง แววตาของเขาคมกริบราวกับใบมีด