The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 908 - จ้าวผาบั่นภูต
DND.
ซือหยูก้มหน้ามองหยกสื่อสารเขาพบว่ามีข้อความปรากฏขึ้นมา
“มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเสนอราคาหนึ่งร้อยล้านท่านจะขายมันหรือไม่?”
ซือหยูย่อมอยากขายอยู่แล้ว!
จักรบินเป็นดั่งของร้อนยิ่งเขาเอาออกจากตัวได้เร็วเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ส่วนราคาหนึ่งร้อยล้านก็นับว่ายุติธรรมตามที่ซือหยูรู้เรื่องราคาตลาด
ร้อยล้านนั้นไม่ใช่จำนวนแก้วที่ใครๆก็มีได้ต่อให้เป็นรายได้ทั้งปีของเมืองเทียนหยาก็ไม่ถึงร้อยล้าน ผู้ที่ซื้อจักรบินนี้ได้ต้องเป็นผู้มีอำนาจมากอย่างแน่นอน
“มาตกลงกันที่ป่าปีศาจร้าง…”
ซือหยูตอบกลับไป
ที่นี่คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดต่อให้โรงประมูลเทียนหยาไม่ทำตามที่บอก เขาก็จะซ่อนตัวในพื้นที่ของเผ่าไม้ทองแดงได้ มีชาวเผ่าไม้ทองแดงมากกว่าหมื่นต้นที่นี่ เช่นเดียวกับหยินมู่ แม้แต่อสูรเนรมิตรก็ต้องตายหากจะตามล่าเขา
หลังจากรอครึ่งวันสามคนได้บินผ่านพายุทะเลทรายร่อนลงป่าปีศาจร้าง ทั้งสามคือแม่นางหลิง กงซุนหวูซื่อ และชายวัยกลางคนที่สวมชุดอันตระการตาและหน้ากากสีแดง
ชายผู้นี้คงจะทำให้ผู้คนสับสนเมื่อมองแม้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ แต่เขาก็ให้ความรู้สึกว่าเขายืนอยู่ในจุดจบของโลก มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างมาก!
“ทำไมมันบังเอิญเช่นนี้?ทำไมพวกเราต้องมาที่นี่อีกแล้ว?”
กงซุนหวูซื่อกอดอกนางยังคงโมโหจนกระทั่งตอนนี้
แม่นางหลิงสีหน้าประหลาด
“จ้าวผามีผนึกอยู่ในตัวคุณหนู เกิดจากเผ่าไม้หน้าสีเงินในป่า ได้โปรดช่วยบังคับให้มันเอาผนึกออกไปที”
ชายสวมหน้ากากแดงผู้นี้คือจ้าวผาบั่นภูติและเขาก็คือผู้เป็นบิดาของกงซุนหวูซื่อ
“ไม่ได้ผลหรอก!อย่างที่มันพูดนั่นแหละ ต่อให้เป็นเซียนก็กำจัดมันไม่ได้ ตามหามันไปก็ไร้ค่า ป่านี้ยังทำให้ข้าไม่สบายใจ ดีกว่าถ้าจะไม่เข้าไปลึก”
กงซุนหวูซื่อพูดด้วยความแค้น
“เราจะปล่อยให้ไอ้บ้ากามนั่นทำอะไรพวกเราก็ได้งั้นเรอะ?”
“บ้ากามหรือ?”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า
“ถ้าเขาเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าสองคนยังจะบริสุทธิ์กลับมาได้หรือ?”
“คนผู้นี้รอบคอบเขาไม่ส่งเมล็ดคืนให้เฉยๆก็เพราะว่าระแวงพวกเจ้า พอหวูซื่อกลับตำหนักไปแล้วเขาย่อมคืนเมล็ดให้ง่ายๆ”
ชายวัยกลางคนไม่ได้จริงจังนัก
“เซียนหลิงบอกให้คนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาได้หรือไม่?”
แม่นางหลิงพยักหน้าพร้อมกับหยิบหยกสื่อสารขึ้นมาขณะที่นางจะติดต่อซือหยู ชายวัยกลางคนก็กล่าวขึ้น
“ไม่ต้องแล้วเขามาถึงที่นี่แล้ว”
ชายหนุ่มผมสีเงินยาวประบ่าสวมหมวกไผ่เขาเดินช้าๆออกมาจากป่าลึก
แม่นางหลิงพบว่าเขาน่าสงสัยเล็กน้อยเพราะท่าเดินของเขานั้นค่อนข้างคุ้นตา
กงซุนหวูซื่อผงะหลังไปครู่หนึ่งก่อนจะดีใจมากมันบดบังใบหน้าโมโหของนางจนหมดสิ้น
“นั่นเขา!ท่านพ่อ ท่านป้า นั่นเขา!”
แม่นางหลิงมองใบหน้าดีใจของกงซุนหวูซื่อด้วยความแปลกใจเพราะเท่าที่นางจำได้ หลานของนางมักจะไม่ลืมตัวเช่นนี้
ชายวัยกลางคนมองนาง
“หืม?เขาเป็นใครรึ?”
“เขาคือคนที่ช่วยข้าจากฐานกลุ่มสามสังหาร”
กงซุนหวูซื่อดีใจมากนางมองซือหยูอย่างลึกซึ้งราวกับมองสหายที่ไม่ได้พบมานาน
กงซุนหวูซื่อคิดถึงเขาทุกวันในเดือนที่ผ่านมานางได้แต่เดาว่าเขาเป็นใคร ตอนที่นางตกอยู่ในอันตราย เขาได้เข้ามารับคำสาปเพื่อนาง นั่นทำให้นางประทับใจอย่างมาก
ชายวัยกลางคนชักสีหน้าเขาสีหน้าหม่นหมองไปชั่วครู่
“นั่นมัน!”
“ท่านพ่อข้าจะไปคุยกับเขา…”
กงซุนหวูซื่อกล่าว
“อย่าไปที่นั่น!ข้าจัดการเอง”
“ข้านำแก้วมาแล้วไหนสมบัติภูติของท่านล่ะ?”
ชายวัยกลางคนโยนแหวนมิติออกไปที่ระหว่างตัวเขากับซือหยู
แม่นางหลิงตากระตุก
ซือหยูหยิบแหวนมิติของตัวเองออกมาและโยนออกไปเช่นกันชายวัยกลางคนยกมือเรียกแหวนมิติ แสงสีดำแล่นผ่านตาขวาของซือหยู แหวนอีกวงเข้ามาที่มือของเขาในพริบตา
ซือหยูมองดูแก้วภายในแหวน
“จำนวนไม่มีปัญหา…”
เขาพูดอย่างใจเย็น
ชายวัยกลางคนก็ดูภายในแหวนเช่นกันเขาพบจักรบินและพยักหน้าช้าๆ
“มันคือสมบัติภูติวิถีอสูรของจริงไม่ใช่ของปลอม”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว”
ซือหยูหันหลังก้าวกลับไปในส่วนลึกของป่า
กงซุนหวูซื่ออยากจะตามเขาไปแต่ก็ถูกพ่อหยุดเอาไว้
“ลาก่อน!”
ชายวัยกลางคนมองตามซือหยูที่เดินเข้าป่าและพาตรีทั้งสองออกมายังทะเลทรายรกร้าง
แม่นางหลิงขมวดคิ้ว
“จ้าวผาทำไมถึงปล่อยเขาไปเล่า? ถ้ามันกล้าขโมยสมบัติภูติของม่อเทียนฉวน เราก็ควรจับตัวเขาส่งให้นาง ทำไมถึงเปลี่ยนใจเช่นนั้น?”
ชายวัยกลางคนถือแหวนมิติด้วยรอยยิ้ม
“นั่นก็เพราะเขาคือคนที่ช่วยหวูซื่อ”
“แค่นั้นน่ะรึ?”
แม่นางหลิงเข้าใจแล้ว
“ไม่เป็นเพราะเขาต่างหาก…”
ชายวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้ม
“น่าสนใจนักไม่คิดเลยว่าข้าจะได้เจอเขาตัวเป็นๆ”
กงซุนหวูซื่อตาลุกวาวนางยิ่งสงสัยในตัวเขามากขึ้นไปอีก นางดูราวกับทารกน้อย นางดึงชายเสื้อของพ่อ
“เขาเป็นใครกัน?ท่านพ่อ เขาเป็นใคร?”
ชายวัยกลางคนตอบ
“เจ้ายังจำข่าวการตายของจักรพรรดิโลหิตในปีที่แล้วได้หรือไม่?”
แม่นางหลิงตอบ
“ข้าย่อมจำได้อยู่แล้วอสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของราชาเขตกลางถูกตามล่าตลอดสามวันสามคืนโดยยอดฝีมือวิถีอสูร สุดท้ายจักรพรรดิโลหิตก็ถูกเขาลบหายไปจากโลก”
“ตามข่าวเขาคือยอดฝีมือวิถีอสูรที่มีสีผมและดวงตาสีเลือด มีทะเลโลหิตตามเขาตลอดทาง เขาปล่อยพลังปีศาจที่น่ากลัวออกมาด้วย”
กงซุนหวูซื่อได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน
“จักรพรรดิโลหิตเป็นอสูรเนรมิตรที่กำลังจะเป็นเซียนไม่มีใครในเขตกลางต่อสู้กับเขาได้นอกจากราชาเก้าเขตหรือท่านพ่อจะลงมือ”
“เขาเป็นผู้ไร้เทียมทานที่กำลังจะเป็นเซียนเขาน่าจะเป็นเซียนคนใหม่ของจิวโจวในอีกไม่นาน”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ
“ใช่แล้วชายผู้นี้แหละ คนที่ทั้งจิวโจวสืบหาเบาะแสต้นตอ แต่ก็ไม่มีใครสืบเจอเลย”
กงซุนหวูซื่อแววตาโหยหา.novel-lucky.
“เขาเป็นคนที่สุดยอดจริงๆแต่เขาเกี่ยวข้องยังไงกับคนที่ช่วยชีวิตข้าล่ะ?”
“ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างไรหรอกนั่นก็เพราะว่าเขาคือคนเดียวกัน…”
ชายวัยกลางคนกล่าว
เมื่อได้ฟังแม่นางหลิงกับกงซุนหวูซื่อรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่ ทั้งคู่ตัวแข็งทื่อ
กงซุนหวูซื่ออ้าปากกว้างค้างจนยัดไข่ไก่เข้าไปได้
“จะบอกว่าคนที่ช่วยข้าคือยอดฝีมือวิถีอสูรที่มีเส้นผมกับดวงตาสีเลือด ที่มีทะเลโลหิตตามหลังรึ…”
แม่นางหลิงตกใจ
“จ้าวผานั่นมันเป็นไปไม่ได้! ถึงข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเขา สีผมเขาก็น่าจะเป็นสีเงิน พลังเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนั้น เขาจะเป็นคนเดียวกันได้ยังไง?”
“เจ้าไม่ต้องสงสัยเลยมุกสีครามอำพันในมือเขานั่นคือข้อพิสูจน์ มันคือหนึ่งในเก้ามุกบาดาลของจักรพรรดิภูติผี มีหนึ่งเม็ดถูกเฉินอี้เจิงซัดใส่จิวโจวและหายไป ที่นี่จึงมีมุกบาดาลแค่เม็ดเดียว ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกหรือฐานพลังจะเปลี่ยนไปเช่นใด การมีมุกเม็ดนั้นย่อมสื่อถึงคนเดียวกัน”
“คนที่ช่วยเจ้าใช้มุกสีครามอำพันและถ้าเจ้าอธิบายอย่างถูกต้อง มันก็คือมุกบาดาล”
แม่นางหลิงกับกงซุนหวูซื่อตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
สุดท้ายเขาจึงบอกเหตุผล
“นี่เป็นเหตุที่ข้าไม่พยายามจับตัวเขาด้วยพลังของภาพฉายข้าในตอนนี้ เขาจะทำลายมันได้ และพวกเจ้าจะถูกเขาทำร้าย”
แม่นางหลิงกล่าว
“ไม่แปลกเลยที่สมบัติภูติของม่อเทียนฉวนตกไปอยู่กับเขาเขาคือคนเดียวที่สามารถเอาชนะนางได้”
ม่อเทียนฉวนคือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจิวโจวเช่นกันและนางเป็นรองแค่เซียน ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะอ่อนแอกว่าผู้ที่สังหารจักรพรรดิโลหิตเสียแล้ว
“ข้าจะต้องถามม่อเทียนฉวนถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะคืนสมบัติภูติให้นาง…”
ชายวัยกลางคนกล่าวดูเหมือนว่าเขาจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับม่อเทียนฉวน
กงซุนหวูซื่อก้มหน้าดวงตานางกระจ่างใสราวกับดวงตา นางพูดเบาๆ
“เป็นเขาสินะที่ช่วยชีวิตข้า”
สตรีทุกคนย่อมศรัทธาในผู้ที่มีพลังไร้เทียมทานโดยเฉพาะคนที่ได้พบเจอกันด้วย
เมื่อผ่านไปครึ่งวันหลังจากที่พวกเขาออกไปดวงตะวันสีทองห้าดวงได้แล่นข้ามนภาเปล่งประกายในป่าปีศาจร้าง คนทั้งห้าที่เปล่งแสงสีทองลอยอยู่บนฟ้า มีมงกุฎสุริยันจันทราสวมอยู่เหนือศีรษะพวกเขา
พวกเขาคือองครักษ์แสงกระจ่างอสูรเนรมิตรสุดยอดทั้งห้าที่ตามล่าซือหยูมากว่าครึ่งปี แม้แต่ม่อเทียนฉวนก็เกือบตายด้วยฝีมือของห้าคนนี้
ทั้งห้าบินรอบระยะของแท่นบูชาคนที่หนุ่มที่สุดพูด
“หัวหน้าเราเจอร่องรอยของพลังเวลา”
ฟึ่บ!
องครักษ์แสงกระจ่างสี่คนที่เหลือพุ่งไปล้อมสถานที่เอาไว้มันคือตำแหน่งที่ซือหยูใช้พลังเวลาเพื่อกักขังหูหวังกุยสามวินาที พวกเขาเดินทางมาไกลจนพบที่นี่
“พวกเราไม่พลาดไอ้คนชั่วนั้นเคยอยู่ที่นี่…”
หัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างพูดอย่างเยือกเย็น
องครักษ์ที่หนุ่มที่สุดกล่าว
“หัวหน้าตำแหน่งของมันเปลี่ยนไปเรื่อยมา ไม่มีรูปแบบในการหลบหนี มันทิ้งร่องรอยในเขาวิญญาณจรัส และตอนนี้ก็มาทิ้งร่องรอยที่นี่ เราหาตำแหน่งปัจจุบันของมันไม่ได้ ยากที่จะจับมันด้วยร่องรอยของพลังอย่างเดียว”
วิชาสัมผัสพลังเวลาของพวกเขานั้นด้อยประสิทธิภาพต้องใช้เวลานานกว่าจะค้นพบได้ นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาช้าอยู่เสมอ
“เจ้าไม่ต้องห่วงในอีกครึ่งเดือน ข้าจะใช้วิชาหัวใจวิบัติอัคคีได้แล้ว ข้าจะสัมผัสวิบัติอัคคีในร่างกายมันได้ ไม่ว่ามันจะหนีไปไกลแค่ไหน มันก็หนีจากสัมผัสของข้าไม่ได้!”
องครักษ์แสงกระจ่างที่เหลือดีใจ
“โอ้!หัวหน้าพวกเราจะใช้วิชานั่นได้แล้ว ต่อให้มันมีปีก มันก็จะหนีจากเราไม่ได้อีก”
ตอนที่ซือหยูกำลังจะทะลวงพลังเขาได้เรียกวิบัติอัคคีออกมา ซึ่งมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออสูรเนรมิตรทะลวงพลังเท่านั้น และซือหยูเกือบตายเพราะมัน แต่จื่อเสวียนก็มาช่วยเขากำจัดพลังส่วนมากไป แต่ยังมีพลังส่วนหนึ่งเหลืออยู่ในร่างกายของเขา
ถ้าหากหัวหน้าองครักษ์แสงกระจ่างสัมผัสวิบัติอัคคีในร่างกายซือหยูได้มันก็จะยากมากที่ซือหยูจะรอดพ้ยภัยไปได้
“เราจะได้เจอมันในหนึ่งเดือนมันหนีไปไกลแล้ว…”
…
หลังจากผ่านไปสิบวันซือหยูกลับมาถึงตำหนัก
ทุกอย่างที่ซือหยูทำในเมืองเทียนหยาได้ถูกส่งข่าวกลับมายังตำหนักตั้งแต่ก่อนที่เขากลับมาถึงในอดีต คนตำหนักนอกรู้แค่ว่าซือหยูคืออสูรเรือนกลาง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างทึ่งและฉงนกับชื่อเสียงของเขาในเมืองเทียนหยา สุดท้ายทุกคนจึงสนใจเขาเมื่อเขากลับมา
ซือหยูกลับเขาอสูรและพบสถานที่อันคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอมานานซือหยูงุนงงกับตัวเอง เพราะเขาได้คิดว่ามันคือบ้านโดยที่เขาไม่รู้ตัว แต่เขาอสูรขณะนี้ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากปิงหวูชิงที่บ่มเพาะพลังอยู่ ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยานั้นออกไปทำภารกิจที่นอกตำหนัก
ซือหยูเบื่อเขาผลักประตูเรือนและกลับห้อง
“เจ้ากลับมาแล้ว”
เสียงคุ้นหูดังเข้ามา
ซือหยูเงยหน้าและเห็นหญิงสาวงดงามสวมชุดสีม่วงนางยืนอย่างสง่างามในห้องและยิ้มหวานให้เขา
“จื่อเสวี่ยน!”
ซือหยูดีใจ
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”