The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 911 - ความกลัวอันไร้พิษภัย
DND
เมื่อสัมผัสพลังมหาศาลในดวงตาของอีกฝ่ายได้ซือหยูใช้พลังเวลาโดยไม่ลังเล นั่นทำให้เวลารอบข้างเร็วขึ้นหลายเท่า
ฟึ่บ!
ก่อนที่ลำแสงจากดวงตาจะมาถึงซือหยูหลบมันได้ทันเวลา พร้อมกันนั้นเขายังพลิกฝ่ามือและถือมุกบาดาลในมือซ้ายไว้แน่น มือขวานั้นถือใบไม้หนึ่งใบ ศัตรูคืออสูรเนรมิตร หากรีรอไม่ใช้พลังสุดยอดออกมาย่อมหมายถึงความตาย!
มันดูเหมือนกับว่าซือหยูจะถูกสังหารจากอสูรเนรมิตรก่อนที่จะได้ใช้สมบัตินั่นจึงเป็นเหตุที่ซือหยูต้องลงมือก่อน มุกบาดาลใช้เพื่อป้องกันตัว ส่วนใบไม้ใช้เพื่อสังหารองครักษ์แสงกระจ่างคนนั้น
องครักษ์แสงกระจ่างมองซือหยูจากระยะไกลขณะที่ยืนบนศิลาเขาไม่ได้โจมตี เขาดูสับสน
“เป็นเจ้าจริงๆหร..”
องครักษ์แสงกระจ่างพูดด้วยความสับสนจนแทบไม่ได้ยิน
ซือหยูเกิดความคิดและรีบใช้โอกาสนี้อัดพลังลงในใบไม้แต่เขาก็สงสัยเมื่อองครักษ์แสงกระจ่างไม่โจตีมา เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมสามลมหายใจแล้ว สุดท้ายเขาก็เปิดมิติและจากไป
ซือหยูตกใจเขาคิด…เกิดอะไรขึ้น? มันรู้ว่าใบไม้ของเทพไม้นี้อันตรายแล้วเลือกที่จะหนีหรือ?
หลังจากหยุดรอสักระยะและแน่ใจว่าองครักษ์แสงกระจ่างผู้นั้นจากไปแล้วซือหยูจึงเก็บสมบัติทั้งสองชิ้นไป ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาคิดว่าเขากำลังจะต้องสู้จนตัวตายแต่มันกลับจบลงอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าการต่อสู้กับองครักษ์แสงกระจ่างจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่น่าตกใจที่มันผ่านไปอย่างง่ายดาย
ซือหยูที่ยังคงสงสัยรีบกลับไปยังเขาอสูรเมื่อกลับเรือน เขาก็ครุ่นคิดอย่างหนัก แม้ว่าสิ่งที่ได้เจอจะเป็นความกลัวที่ไร้ภัย ซือหยูก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเลย
หากองครักษ์แสงกระจ่างรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในตำหนักโลหิตภัยคุกคามต่อซือหยูจะยิ่งมากขึ้น บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุที่เขาไม่สบายใจ
เอี๊ยด…
จื่อเสวียนผลักประตูเข้ามาด้านในนางพูดเมื่อได้เห็นซือหยู
“คนลึกลับคนนั้นมาหาเจ้าเจ้าเป็นอะไรไหม?”
ซือหยูตอบ
“อืมข้าไม่เป็นไ…”
หลังจากฉุกคิดได้ซือหยูก็เงยหน้าถาม
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเจอคนผู้นั้น?”
“ข้าอยู่ใกล้ๆตอนที่เจ้าสู้กับเล่าอ๋ายตอนที่ข้ากลับเรือน เจ้ายังไม่กลับมา ข้าเลยคิดว่าเจ้าจะต้องไปพบคนผู้นั้น…”
จื่อเสวียนกระพริบตาตอบ
อย่างนี้นี่เอง…ซือหยูคิด
เขาพูดต่อ
“ช่วงนี้ข้าตัดสินใจจะบ่มเพาะในห้องฝึกเงามายา เหตุผลแรกก็คือมีสิ่งที่ข้าต้องทำ อีกเหตุผลก็คือเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น”
หลังจากถูกองครักษ์แสงกระจ่างตามตัวเจอซือหยูคิดที่จะเรียนรู้วิชาลับห้าธาตุให้มากขึ้น เพราะยิ่งเขามีวิชาไว้ใช้งานมากเท่าใด เขาก็ยิ่งปกป้องตัวเองได้มากเท่านั้น และเขาจะได้เลี่ยงปัญหาที่ไม่รู้จบได้ เพราะผลกระทบจากการเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงยังคงอยู่
จื่อเสวียนพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“อืมข้าก็วางแผนจะค้นดูในตำหนักเพื่อหาข่าวเรื่องซือหยู ถ้าข้าไม่เจอสิ่งใด ข้าก็จะยอมแพ้แล้ว”
“ใช่เจ้าลืมมันไปเสียดีกว่า เจ้าเสียเวลากับเรื่องนี้มากพอแล้ว อย่าทำให้การบ่มเพาะของเจ้าช้าลงไปยิ่งกว่านี้เลย…”
ซือหยูพูดแนะแต่ก็น่าแปลกที่แม้ว่าเขาจะโล่งใจ มันก็รู้สึกผิดอย่างประหลาด
เขาสงสัยขึ้นมาทันที…ข้าโกหกต่อไปจะดีงั้นหรือ?จื่อเสวียนเป็นหญิงสาวไร้เดียงสาเช่นนี้
“ข้าได้ยินจากพี่ปิงว่าเจ้าจะเข้าร่วมแดนมณีมหัศจรรย์และกำลังเก็บคะแนนอยู่ใช่ไหม?”
จื่อเสวียนถาม
ซือหยูพยักหน้า
เขาได้สองแสนคะแนนมาจากภารกิจเจ้าของร้านตงหลินและได้หนึ่งแสนคะแนนจากการร่วมงานเซ่นป่าปีศาจร้างนั่นหมายความว่าเขามีสามแสนคะแนนอยู่ในมือ ซึ่งยังห่างไกลกว่าที่เขาจะได้บรรลุเป้าหมายสี่ล้านคะแนน
“ยังไม่พออีกหรือ?หลังเจ้าไปบ่มเพาะพลัง ข้าจะช่วยเจ้าบันทึกภารกิจคะแนนสูงที่หอภารกิจ หวังว่าจะช่วยเจ้าได้”
จื่อเสวียนกล่าว
“เพราะอย่างไรข้าก็อยู่ตัวคนเดียวที่นี่เจ้าเป็นคนเดียวที่ช่วยข้า”
“นังเด็กโง่เจ้าพูดอะไรออกมากัน?”
ซือหยูลูบหัวนาง
“ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้นะ! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข้าจะดูแลเจ้าไม่ใช่หรือ?”
จื่อเสวียนไม่โต้แย้งไม่นานจากนั้นซือหยูก็ไปยังห้องฝึกเงามายา เขาตรงไปยังห้องลับและบ่มเพาะเงียบๆ
หลังจากปิดประตูฝึกตนแม้แต่จ้าวหอเพลิงคลั่งเสวี่ยฉีก็มาตามหาซือหยูแต่ก็กลับไปโดยไม่ได้พบกับเขาหลังจากรู้ว่าเขาบ่มเพาะพลังอยู่ ทุกๆวันจะมีศิษย์จากตำหนักในมาด้วยความหวังที่จะได้พบเขา ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหลายคนที่อยากจะประลองด้วย
ณตำหนักใน
เจ้าสำนักซ้ายอยู่ในห้องตำราชายวัยกลางคนสวมชุดสะอาดสะอ้านถือคัมภีร์ม้วนหนาและอ่านอยู่เงียบๆ
“เจ้าสำนักซ้ายเว่ยเจิงกลับมาแล้ว”
ข้ารับใช้เข้ามารายงาน
ชายวัยกลางคนวางม้วนคัมภีร์ลงและกล่าว
“บอกให้เขามาพบข้า”
ไม่นานเว่ยเจิงกับปี่เสวี่ยหลิงก็ได้เข้ามาที่ห้องตำราด้วยกัน ใบหน้าเว่ยเจิงมีแต่ความกังวลใจ เขาโค้งคำนับ
“ท่านเจ้าสำนัก”
ปี่เสวี่ยหลิงหัวเราะเบาๆและเข้าไปนวดไหล่ชายวัยกลางคนชายวัยกลางคนมองทั้งสองและถาม
“เว่ยเจิงซือหยูเซี่ยนคงไม่ยอมรับข้อเสนอสินะ?”
เขาช่างสังเกตและสีหน้าของเว่ยเจิงก็ให้คำตอบกับเขาไปแล้ว เว่ยเจิงใบหน้าขมขื่น เขาแอบมองปี่เสวี่ยหลิงด้วยความเศร้า
“เพราะข้ามันใช้ไม่ได้ข้าหว่านล้อมซือหยูเซี่ยนพลาด”
เขาตกเป็นแพะรับบาปของปี่เสวี่ยหลิง!เจ้าสำนักซ้ายหันไปหาปี่เสวี่ยหลิง เขาเดาได้แล้วว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขามั่นใจว่าลูกสาวของเขาที่ตามไปด้วยจะต้องเป็นคนทำให้เรื่องทั้งหมดพังพินาศ
“ท่านพ่อซือหยูเซี่ยนนั่นรับไม่ได้หรอก! เขาเป็นแค่ภูติระดับห้าแต่ก็อวดดีซ้ำยังกะโหลกหนา! เขาจะไปได้ไกลสักแค่ไหน?”.novel-lucky.
ปี่เสวี่ยหลิงมองเว่ยเจิงขณะที่พูด
นางพูดต่อ
“ถ้าเขาเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงตอนมีพลังเท่าจ้าวเทวะความอวดดีนั่นก็รับได้ แต่เขาเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงที่มีพลังแค่ภูติระดับสาม มันมีอะไรให้น่าภูมิใจนัก? ยังไม่แน่ใจเลยว่าชีวิตนี้เขาจะเป็นจ้าวเทวะได้ไหม! พวกเราก็ไม่ได้ขาดคนกระจอกๆแบบนั้นด้วย”
ใบหน้าเจ้าสำนักซ้ายหม่นหมอง
“อย่าโง่ไปเลย!”
เสียงตะโกนเบาๆของเขาทำให้เว่นเจิงกลั้นหายใจและปี่เสวี่ยหลิงก็ตกใจจนตัวสั่นเช่นกัน
จากนั้นเขาจึงพูด
“ไม่ว่าเขาจะด้อยพรสวรรค์แค่ไหนสิ่งที่เขาทำในเมืองเทียนหยาก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับข้า!”
เจ้าสำนักซ้ายหันไปจ้องปี่เสวี่ยหลิง
“เอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงที่พลังภูติระดับสามไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ความเชี่ยวชาญภาษาไม้ระดับปรมาจารย์แห่งยุคระดับนั้น เจ้าจะหาคนแบบนี้มาจากที่ไหน?”
เขาพักและพูดเสริม
“ผู้จัดการใหญ่แห่งเมืองเทียนหยาที่ปิดประตูฝึกตนยังยอมรับซือหยูเซี่ยนและตั้งใจจะแนะนำเขาให้เป็นศิษย์จ้าวหอนภาซือหยูเซี่ยนจะได้รับการคุ้มครองและเป็นคนสำคัญ!”
เขาหายใจเข้าลึก
“จากนั้นอนาคตต่อไป หลังจากรองผู้จัดการใหญ่วางมือ ซือหยูเซี่ยนจะได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการใหญ่! ข้าไม่ต้องอธิบายว่ารองผู้จัดการใหญ่แห่งเมืองเทียนหยาจะช่วยให้ฝ่ายเราได้อะไรบ้างใช่ไหม?”
นี่เป็นความลับที่คนนอกไม่ล่วงรู้เหงื่อเย็นเยือกผุดบนหน้าผากเว่ยเจิงเมื่อได้รู้ความลับ ปี่เสวี่ยหลิงก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้…เจ้านั่นสำคัญขนาดนี้เชียวรึ!
“หลิงเอ๋อเป็นเพราะเจ้าที่อวดดีจนเขาไม่พอใจไม่ใช่หรือ?”
เจ้าสำนักซ้ายตำหนินางเขารู้จักนิสัยของลูกสาวตัวเองดี
ปี่เสวี่ยหลิงหน้าเศร้านางพูดเบาๆ
“ข้าไม่รู้ซักหน่อย!แล้วใครบอกให้เขาอวดดีอย่างนั้นก่อนเล่า? ตัวเขาเพียงธรรมดาสามัญ แต่กลับคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่!”
“ก็เขายิ่งใหญ่น่ะสิ!อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าพวกเจ้า…”
เจ้าสำนักซ้ายพูดด้วยความโกรธเขาไม่พอใจกับความไร้ประโยชน์และการโต้เถียงของนาง
ปี่เสวี่ยหลิงรู้สึกแย่กว่าเดิมพ่อนางมักจะรักและห่วงใยนางอยู่เสมอ แต่วันนี้เขาตำหนินางหลายครั้งเพราะคนนอก
“แค่รู้ภาษาไม้มันไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก!จะอย่างไรเขาก็ต้องการการปกป้องจากสำนัก! ถ้าหากอันตรายมาถึง เขาก็ต้องให้พวกเราช่วย!”
“หาเจ้าแน่ใจเรอะ? เขาต้องการการปกป้องจากสำนักจริงอยู่ แต่ไม่ใช่จากพวกเจ้า! ถ้าอันตรายมาถึงจริง เขานั่นแหละที่จะปกป้องเจ้า ไม่ใช่เป็นตัวถ่วงอย่างพวกเจ้า!”
ปี่เสวี่ยหลิงเถียงกลับอย่างโกรธแค้น
“ข้าเป็นจ้าวเทวะระดับหนึ่งข้าไม่ต้องการปกป้องจากภูติระดับห้า! ท่านพ่อ ไม่เป็นไรถ้าท่านพ่อชอบผลประโยชน์ที่จะได้ แต่ทำไมต้องดูหมิ่นข้าที่เป็นลูกสาวในเรื่องพลังด้วย?”
ความโกรธของนางพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนที่เจ้าเดินทางกลับมาคนจากตำหนักนอกส่งข่าวมาว่าเล่าอ๋ายใช้สิทธิ์มัจฉามังกรประลองกับซือหยูเซี่ยน เจ้าคิดว่าผลที่ได้เป็นยังไง?”
เจ้าสำนักซ้ายถามอย่างเยือกเย็น
เว่ยเจิงตัวสั่นหากเจ้าสำนักซ้ายพูดถึง ผลลัพธ์ของการประลองก็คงไม่ธรรมดา
“เขารับได้กี่กระบวนท่ารึ?”
เว่ยเจิงพยายามเดาเขางุนงง…เขาต้านได้นานเท่าใดกัน? ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะสู้กับจ้าวเทวะได้ด้วย!
ปี่เสวี่ยหลิงไม่สนใจ
“หึคนยิ่งใหญ่แบบนั้นคงประลองได้นานล่ะสิ! ถ้าเป็นข้า ฮื่ม! แค่กระบวนท่าเดียวมันก็ลงไปกองกับพื้นควานหาฟันที่ร่วงออกไปแล้ว!”
“ใช่แพ้ชนะตัดสินในกระบวนท่าเดียวจริง แต่เขาคือคนที่ทำลายฐานพลังของเล่าอ๋ายไป! หลิงเอ๋อ เจ้ามีพลังมากกว่าเล่าอ๋ายเท่าไหร่?”
เจ้าสำนักซ้ายถาม
“อะไรนะ?เล่าอ๋ายพิการในกระบวนท่าเดียวรึ? เป็นไปได้ยังไง? เล่าอ๋ายถูกจำกัดพลังไว้หรือ?”
เว่ยเจิงสูดอากาศเย็นเข้าปอดเขาตกใจ
เจ้าสำนักซ้ายตอบ
“เล่าอ๋ายอยากจะทำลายฐานพลังของเขาแต่ล้มเหลวเขาจึงพิการในกระบวนท่าเดียวแทน ไม่ได้มีการจำกัดพลังใด มันคือการประลองแบบเปิด”
ปี่เสวี่ยหลิงงุนงง
“เป็นไปไม่ได้!ภูติระดับห้า ทำลายพลังของจ้าวเทวะระดับหนึ่งในกระบวนท่าเดียว…มันจะเป็นไปได้…”
“ข้าถึงพูดว่าเจ้าทำเสียเรื่องใหญ่ยังไงเล่า!ไม่ว่าจะคุณสมบัติหรือวิถีแห่งพลัง เขาคือยอดอัจฉริยะหายาก!”
เว่ยเจิงครุ่นคิดและพูด
“ข้าจะไปตำหนักนอกอีกครั้งข้าจะแก้ไขเรื่องราวขึ้นมาใหม่ ข้าสัญญาว่าจะทำให้ซือหยูเซี่ยนมาอยู่ฝ่ายเรา”
เจ้าสำนักซ้ายถอนหายใจ
“สายไปแล้ว!ก่อนที่เอาจะเอาชนะเล่าอ๋าย พวกเรายังมีโอกาส แต่ตอนนี้ ผู้เฒ่าทุกคนในตำหนักในได้ยินเรื่องนี้แล้ว มีคนอยากรับซือหยูเซี่ยนเป็นศิษย์มากนัก”
หลังจากได้ยินเรื่องราวปี่เสวี่ยหลิงถึงกับพูดไม่ออก
ณที่แห่งหนึ่งในตำหนักใน ฝั่งของสำนักขวา ชายกลางคนร่างกำยำผิวดำเป็นเงา พูดขึ้น
“ซือหยูเซี่ยนผู้นี้ไม่ได้เกรงใจข้าเลยไม่ใช่รึ?”
ชายผิวดำเงาผู้นี้คือเจ้าสำนักขวาเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาบอกให้เล่าอ๋ายเชิญซือหยูด้วยตัวเอง และเขายังเนรเทศเล่าอ๋ายไปที่ชายแดนตำหนักแล้ว นั่นแสดงว่าเขาให้เกียรติซือหยูอย่างมาก แต่สุดท้าย ไม่เพียงแต่ซือหยูจะไม่ยอมรับความหวังดีของเขา เขายังทำเล่าอ๋ายให้พิการจนเขาต้องขายหน้าด้วย!
“ท่านเจ้าสำนักให้ข้าไปหาเจ้าคนอวดดีนี่เถอะ มันสร้างปัญหาให้ตระกูลเฉาข้ามามากพอแล้ว!”
ชายหนุ่มผมขาวพูดตัวตนของเขาให้บรรยากาศความดุร้าย
เขาคือศิษย์มากพรสวรรค์ที่ตระกูลเฉาภูมิใจสูงสุดเขามีชื่อเสียงและได้เข้ามายังตำหนักในหลายปีแล้ว ในตำหนักใน เขาคือยอดฝีมือที่ดีที่สุดสิบลำดับแรก ฐานพลังของเขาก็ไปถึงจ้าวเทวะระดับแปดแล้ว!
“ชุนกวงเจ้าเตรียมตัวเพื่อแดนมณีมหัศจรรย์ในอีกห้าเดือนข้างหน้าก็พอ เจ้าไม่ต้องจัดการกับซือหยูเซี่ยนด้วยตัวเอง…”
เขาพูดต่อ
“และภาระที่ซือหยูเซี่ยนแบกอยู่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วเขาคือตัวชี้ชะตาของดินแดนพรสวรรค์กับดินแดนมีดสวรรค์ จะแตะต้องเขาไม่ได้”
“ขอรับ!”
เฉาชุนกวงกล่าวแต่จิตสังหารในแววตายังคงอยู่
ที่เมืองเทียนหยา
ในวันนั้นพันธมิตรปรุงยาได้ประดับประดาด้วยเครื่องตกแต่งหลากสีสัน นั่นก็เพราะว่าเจ้าพันธมิตรโจว หนึ่งในสองเจ้าพันธมิตรที่ปิดประตูฝึกตนมานานได้ออกมา
เขาจัดงงานประชุมใหญ่และเพิ่งจะมาถึงที่ตั้งของฐานตำหนักโลหิตเพื่อมาพบกับรองผู้จัดการใหญ่
“โอ้?เจ้าพันธมิตรโจวให้เกียรติมาเยี่ยมพวกเรา เป็นเกียรติยิ่งนัก”
รองผู้จัดการใหญ่ต้อนรับด้วยรอยยิ้มเขาพูดอย่างสุภาพที่สุด
เขาไม่กล้าจะเลินเล่อต่อพันธมิตรปรุงยาเพราะด้วยนักปรุงยาจำนวนมหาศาลที่มีเป็นจำนวนที่เขามิอาจต่อต้านได้
หลังจากพูดคุยอย่างเป็นมิตรเจ้าพันธมิตรโจวก็บอกเป้าหมายในการมา
“มีเจ้าของร้านนามซือหยูเซี่ยนที่เจ้าดูแลอยู่ข้าไม่แนาใจว่าเขาทำงานที่ร้านโอสถใด แต่เมื่อเดือนก่อน เขาได้ช่วยหลานสาวตัวซนของข้า ข้ายังมิได้กล่าวขอบคุณเลย วันนี้ข้าอยากจะได้พูดขอบคุณกับเขาด้วยตัวเอง”
รองผู้จัดการใหญ่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้วและเขาคิดว่าซือหยูเซี่ยนนั้นยอดเยี่ยมมากที่ได้สานสัมพันธ์กับคนอย่างเจ้าพันธมิตรโจว
“เจ้าพันธมิตรโจวมาผิดเวลาแล้วซือหยูเซี่ยนเสร็จภารกิจเป็นเจ้าของร้านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน เขากลับตำหนักไปแล้ว…”
รองผู้จัดการใหญ่กล่าว
เจ้าพันธมิตรโจวลูบเครา
“ไม่เป็นไรข้าจะเดินทางไปตำหนักโลหิตเอง ข้าติดหนี้บุญคุณของเขา จนกว่าจะได้ชดใช้ ข้าย่อมมิอาจตั้งใจปรุงยาได้ แล้วข้าก็มีสหายในตำหนักเจ้าที่ไม่ได้เจอมาหลายปี ข้าจะไปหารือเรื่องการปรุงยาสักหน่อย แล้วก็จะบอกข่าวเรื่องคนทรยศด้วย!”
…
ณตำหนักโลหิต
ม่อเทียนฉวนออกจากการบ่มเพาะพลังอย่างน่าตกใจเพื่อมาพบกับแขกอันทรงคุณค่า…