The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 936 - เหลือเพียงเถ้าถ่าน
DND.
เมื่อเป็นจ้าวเทวะระดับหกเจ้าตระกูลเฉาย่อมแข็งแกร่งและรับมือได้ อสูรจันทร์ม่วงจึงต้องหนีทันที!
“กว่าเจ้าจะหนีก็สายไปแล้ว!”
ซือหยูถอนหายใจแรงเขารุดหน้าเข้าไป ปีกเพลิงโบกสะบัด เขาเริ่มเป็นฝ่ายไล่ล่าแล้ว!
อสูรจันทร์ม่วงยิ้มเยาะ
“สังหารเจ้าเป็นเรื่องยากแต่การหนีน่ะง่ายดายนัก!”
ฟึ่บ!
เขาพลิกฝ่ามือเรียกเครื่องรางสีดินขึ้นมาขว้างใส่ซือหยูมันระเบิดเสียงดัง เสียงกระจ่างกระจายปะทุออกมา พลังมหาศาลยังพุ่งออกไปในทุกทิศทาง
แรงระเบิดนี้เท่ากับพลังเต็มที่ของจ้าวเทวะระดับหกซือหยูหลบได้แต่ก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง พลังชีวิตที่ปกปิดใบหน้าของเขาสลายไปเผยให้เห็นใบหน้าจริง
อสูรจันทร์ม่วงหนีไปทันทีแต่ก่อนหนี เขาเหลือบไปเห็นใบหน้าซือหยูพอดิบพอดี
สิ่งที่เห็นทำให้เขาหยุดนิ่งในทันทีเขารู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่ ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากสับสนเป็นตกใจ ตามด้วยความยินดี
เขาอุทาน
“นั่นเจ้า!เจ้าคือ…”
เพียงได้ฟังซือหยูก็รู้สึกถึงลางที่ตัวตนจะถูกเปิดเผย! ซือหยูกัดฟัน มังกรม่วงแหวกว่ายออกจากตาซ้ายของซือหยูบินออกไปรัดอสูรจันทร์ม่วงเอาไว้
คำว่า“ซือหยู” ที่ติดอยู่ปลายลิ้นของอสูรจันทร์ม่วงหยุดลง เขาขยับตัวไม่ได้อีกต่อไป!
ซือหยูรีบพุ่งไปข้างหน้าและขยับนิ้วชี้ที่มีเส้นไหมเขาใช้เส้นไหมรัดคออสูรจันทร์ม่วงเอาไว้
จากนั้นจึงออกแรงที่ปลายดัชนีเพื่อบั่นคออสูรจันทร์ม่วงราวกับหั่นเต้าหู้!เมื่อถึงตอนนี้พลังหยุดเวลาได้จบลงพอดี
หมอกเลือดกระเซ็นจากหออสูรจันทร์ม่วงที่กระเด็นลอยขึ้นฟ้าราวกับน้ำพุร่างโปร่งใสไร้ลักษณ์เองก็บินหนีออกมาจากกายเนื้อด้วยความหวาดกลัว
ขณะที่บินหนีมันกรีดร้องด้วยความตกตะลึงและสะพรึงกลัว
“อ๊ากก!ท่านผู้อาวุโส ให้อภัยข้าด้วย! โปรดเมตตาข้าด้วย!”
น้ำเสียงของเขาแสดงความสะพรึงกลัวอันไร้จุดจบราวกับว่าได้เจอกับอสูรเนรมิตร!
ซือหยูใบหน้าเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิมเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากร่าง มังกรอสูรสี่ตัวทะยานออกมาร้องโหยหวนและเข้าไปจับดวงวิญญาณอสูรจันทร์ม่วงเอาไว้
อสูรจันทร์ม่วงมีฐานพลังสูงแต่มีดวงวิญญาณที่อ่อนแอเพียงมังกรอสูรกระโจนเข้าใส่ก็ขาดสะบั้น
อสูรจันทร์ม่วงกรีดร้อง
“เจ้าตระกูลเฉาช่วยข้าด้วย! เขาคือ…เขาคือ…”
คำพูดสุดท้ายจมหายไปพร้อมกับเสียงร้องของมังกรนอกจากซือหยูที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ไม่มีใครได้ยินว่าเขาพูดอะไร อสูรจันทร์ม่วงผู้เป็นผู้เฒ่าลำดับสามแห่งตำหนักชิงวิญญาณแตกดับไปเช่นนี้!
เจ้าตระกูลเฉาเบิกตากว้างเมิ่งเถียนเองก็ตกใจ
ในจังหวะสุดท้ายอสูรจันทร์ม่วงลอยนิ่งอยู่ที่เดิมและขยับตัวไม่ได้ ทุกคนได้แต่คิด…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? แล้วท่าทางก่อนตายอีก นั่นมันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเขาถึงเรียกซือหยูเซี่ยนว่าผู้อาวุโส? เขาเป็นใครกันแน่?
คำถามมากมายอยู่ในหัวของทั้งสองซือหยูหน้าหมองลงเล็กน้อย ก่อนที่อสูรจันทร์ม่วงจะตายนั้นยืนยันได้ว่าเขารู้จักตัวตนของซือหยู และผู้เฒ่าคนอื่นในตำหนักชิงวิญญาณก็น่าจะรู้เหมือนกัน
ไม่นานหลังจากนั้นซือหยูหันไปมองเจ้าตระกูลเฉาที่กำลังรับมือกับฝูงวิหค
ซือหยูสะบัดเสื้อมุกบาดาลลอยออกมาอีกครั้งและเข้าบดขยี้อีกฝ่ายด้วยพลังที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่ง ซือหยูทะยานไปทางเจ้าตระกูลเฉา นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือรัดเกี่ยวเส้นไหมไว้แน่น เขาเตรียมที่จะบั่นคอเจ้าตระกูลเฉา
ทันทีที่เจ้าตระกูลเฉาเห็นว่าภัยมาเขาเรียกพลังชีวิตออกมาเป็นสายลมรุนแรงพัดเหล่าฝูงวิหคให้ออกจากตัว
เขารีบหนีจากมุกบาดาลพร้อมกับจ้องมองซือหยูอย่างเคียดแค้นมาโดยตลอดเขาตั้งใจละตามล่าสังหารซือหยูให้ได้
แต่เขากลับได้เจอฝูงวิหคที่มากกว่าเดิม!เขากรีดร้องอย่างหงุดหงิด
“ไอ้บัดซบถ้าข้าไม่ฆ่าเจ้าวันนี้ ข้าสาบานว่าจะไม่เป็นมนุษย์อีกแล้ว!”
ความชิงชังเติมเต็มหัวใจเจ้าตระกูลเฉามิอาจเก็บความแค้นได้อีกต่อไปแล้ว เขาขยับทั้งสองมื อตราหยกค่อยๆก่อขึ้นเหนือศีรษะ ตรานี้มีวิหคอสูรสลักอยู่ด้วย
“เทาเทีย!”
เมิ่งเถียนพูดเสียงแข็งออกมาทันทีที่ได้เห็นเสียงของเขามีทั้งความริษยาและความกลัว
ซือหยูขมวดคิ้วในตอนนั้นเอง บริเวณหน้าผากของเขารู้สึกร้อนผ่าว มันทำให้เขาเจ็บแปลบ ราวกับว่าเนตรอสูรที่มีกำลังจะถูกบังคับให้เบิกออกมา
ในตอนที่เขาถูกร่างเงาของกู้ไทซูกำจัดพลังในตอนนั้นเขามิอาจใช้ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ได้ และเพื่อที่จะกำจัดพลังนั้น เขาจึงต้องใช้เนตรอสูรกลืนสวรรค์โดยการใช้เนตรเทาเทียและโอสถ
เนตรนี้อย่างน้อยมีพลังที่สามารถปกคลุมพลังวิญญาณจากทั้งฟ้าดินได้และยังมีพลังสูงสุดที่กลืนกินดวงอาทิตย์และจันทรารวมถึงดวงดาวได้ด้วย! ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเนตรที่เหมาะกับอสูรเท่านั้น ซือหยูจึงไม่เคยใช้มันนอกจากจำเป็นจริง ๆ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง
เขาอยู่ในจิวโจวมาเกินปีแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เนตรอสูรกลืนสวรรค์แสดงปฏิกิริยาแปลกๆ
ผนึกเทพของเจ้าตระกูลเฉาคือเทาเทีย!ผนึกเทพนี้ทำให้เหล่าฝูงวิหคกรีดร้องหนีไปด้วยความกลัวราวกับเจอบางสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
วิหคหลายตัวเป็นอิสระจากการควบคุมของเมิ่งเถียนและหนีไปอย่างบ้าคลั่งพริบตาเดียวฝูงวิหคหนาตาก็หายไปหมดไม่เหลือแม้สักตัว!
“ฮื่ม!ไอ้สัตว์เดรัจฉาน! ใครจะมาช่วยเจ้าได้อีก!”
เจ้าตระกูลเฉาหัวเราะอย่างน่ากลัว
เขาพุ่งทะยานเข้าหาซือหยูอย่างรวดเร็วจนมิอาจป้องกันได้
เมื่อห่างกันพันศอกริมฝีปากซือหยูขยับ แสงสีเขียวปรากฏพร้อมกล่องยาว
ด้านในกล่องมีกรงเล็บภูติผีที่มีสีดำสนิทดั่งน้ำหมึกมันเปล่งพลังอันชั่วร้ายออกมา
ซือหยูเปิดกล่องถือกรงเล็บภูติผีซัดใส่เจ้าตระกูลเฉาพลังวิญญาณจากระยะหมื่นลี้เดือดพล่านในพริบตา มันรวมตัวกันกลายเป็นกรงเล็บเหนือศีรษะของทั้งคู่
พลังภูติผีหนาแน่นวนเป็นวายุปกปิดนภาและแสงตะวันนภาที่ยังกระจ่างใสเมื่อครู่ก่อนกลับกลายดำทมิฬ สายลมและเมฆาเปลี่ยนไป.novel-lucky.
เจ้าตระกูลเฉารู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวและจ้องมองกรงเล็บภูติผีในมือซือหยูเขาตะโกนด้วยความหวาดกลัว
“มือของท่านกระดูกโลหิต!เจ้ามีมันได้ยังไง?”
ซือหยูตาเป็นประกายพลางคิด…ท่านกระดูกโลหิตรึ?อสูรจันทร์ม่วงเคยพูดถึงกระดูกโลหิตมาก่อน…ถ้าเช่นนั้น สองคนนี้ก็เป็นคนของกระดูกโลหิตนั่นสินะ?
ซือหยูนึกถึงตอนที่อสูรจันทร์ม่วงพยายามล่าเขาซือหยูเดาว่าเขาจะต้องรับคำสั่งจากกระดูกโลหิตมา
“ฮื่ม!ตายด้วยมือของนายเจ้าก็สมควรแล้ว!”
ซือหยูซัดกรงเล็บขนาดยักษ์ลงมาเจ้าตระกูลเฉาทั้งตกใจและโกรธแค้น
เขาใช้ผนึกเทพเหนือศีรษะพร้อมพุ่งมาข้างหน้า
เปรี๊ยะ!
ตามปกติผนึกเทพของจ้าวเทวะระดับหกจะแข็งแกร่ง แต่มันแตกสลายไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวของกรงเล็บนี้
เจ้าตระกูลเฉากระอักเลือดออกมาขนานใหญ่เขากระเด็นไปข้างหลัง กรงเล็บยังคงพุ่งเข้าใส่ เขากำลังจะแหลกเป็นชิ้นๆ!
“อ๊ากก!ไอ้บัดซบ เจ้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน!”
ก่อนตายเจ้าตระกูลเฉามองซือหยูด้วยสายตาดุดันและโศกเศร้า เขาตะโกน
“วันหนึ่งจะถึงเวลาของเจ้า!หากนายท่านเกิดขึ้นเมื่อไหร่ พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”
คำสาปแช่งนี้คงทำให้ทุกคนที่ได้ยินใจสั่นซือหยูตอบกลับอย่างใจเย็น
“อย่างมากข้าก็แค่ส่งนายเจ้าลงนรกตามไป”
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวกรงเล็บประทับลงบนพื้นทิ้งรอยกว้างไกลเกินหมื่นลี้ พื้นที่ในระยะแสนลี้โดยรอบยังสั่นสะเทือนรุนแรง
เจ้าตระกูลเฉาแตกดับไปด้วยแรงกระแทกของกรงเล็บแต่ในลมหายใจสุดท้าย ซือหยูใช้พลังมิติเคลื่อนย้ายแหวนมิติของเขามาได้ทันก่อนที่จะถูกทำลาย
สุดท้ายการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็ได้จบลงซือหยูถอนหายใจยาวและหันไปมองเมิ่งเถียน
เมิ่งเถียนถามทันที
“เจ้าตัดสินใจหรือยังว่าจะสังหารข้าหรือไม่?พวกเราเป็นศัตรูกันมาก่อน…”
ซือหยูมองดูอีกฝ่าย
“เราเป็นศัตรูกันมาก่อนแต่เจ้าพยายามฆ่าข้ามากกว่าหนึ่งครั้งใช่หรือไม่? เรียกวิหคมามากเช่นนั้น เจ้าต้องการทำลายข้าไปพร้อมกับเจ้าตระกูลเฉาแล้วเอาหัวข้าไปรายงานสิ่งที่ทำ! ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ในการต่อสู้ซือหยูสัมผัสจิตสังหารจากเมิ่งเถียนได้หลบายครั้ง เมิ่งเถียนก้าวถอยหลังพลางกลืนน้ำลาย เขาไม่โต้แย้งอะไรในเรื่องนี้
เพราะเขามีพลังเพียงแค่จ้าวเทวะระดับสามดูจากพลังที่ซือหยูใช้ได้เมื่อครู่ ซือหยูสามารถสังหารเขาได้ดั่งเชือดสุนัข!
“เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรกับเจ้า?”
ซือหยูหรี่ตาถามเมิ่งเถียน
เมิ่งเถียนกังวลใจอย่างมากเขารีบตอบ
“เก็บข้าไว้ใช้ข้ายังมีประโยชน์กับเจ้า…”
เขารู้สึกโล่งใจที่ถูกถามเช่นนี้เพราะถ้าหากซือหยูคิดสังหาร เขาคงจะตายไปแล้ว
ซือหยูยิ้ม
“เจ้าเข้าใจก็ดีพลังอำนาจของข้ายังอ่อนแอ ข้าต้องการกำลังเสริม เจ้าควบคุมวิหคได้มาก มีประโยชน์ต่อข้าทีเดียว”
ซือหยูพูดต่อ
“หากจากนี้ไปเจ้าติดตามข้าเจ้าจะได้รับผลประโยชน์อย่างมิอาจจินตนาการได้”
ทั้งสองมิได้มีเรื่องบาดหมางแท้จริงต่อกันซือหยูย่อมอยากได้ผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
“หากเป็นได้ข้าอยากจะตอบรับข้อเสนอนี้ แต่…”
เมิ่งเถียนชี้จุดกำเนิดพลังของตัวเองที่ท้องมันมีควันดำสนิทให้เห็นอยู่บ้าง
ซือหยูเห็นว่าในควันนั้นมีเครื่องรางที่ฝังลึกอยู่ในจุดนั้น
“กระดูกโลหิตวางผนึกในจุดกำเนิดพลังข้าพลังของมันกำจัดได้จากภูติผีเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะนำออก ถ้าหากมันรู้ว่าข้าทรยศ เพียงแค่คิดชีวิตข้าก็จบสิ้นไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเท่าใด”
เมิ่งเถียนยิ้มอย่างขมขื่น
ซือหยูตอบอย่างไม่แยแส
“มันก็แค่ผนึกมันเป็นเรื่องยากอะไรกัน? ปล่อยวิญญาณเจ้าออกมา หากอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ข้าจะคลายผนึกให้เจ้าทันที”
เมิ่งเถียนครุ่นคิดเขาต้องยอมรับว่าชีวิตมิได้อยู่ในมือตัวเองอีกแล้ว เขาไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะถูกควบคุมโดยกระดูกโลหิตหรือซือหยูก็ไม่แตกต่าง อย่างไรเขาก็ต้องตายอยู่ดี
“โอรสสวรรค์คุมวิญญาณ…”
ลำแสงโปร่งใสเปล่งออกจากดวงตา
ลำแสงหายเข้าไปในระหว่างคิ้วของเมิ่งเถียนเมิ่งเถียนรู้สึกเจ็บปวดทันที แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมา เขารู้สึกได้ว่าลึกในดวงวิญญาณมีพลังดวงวิญญาณอันน่าอัศจรรย์แฝงอยู่ มันยากที่เขาจะเข้าใจได้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังนี้สามารถระเบิดร่างวิญญาณเขาได้ทุกเมื่อ
“วิญญาณเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ!”
เมิ่งเถียนตกตะลึงจากที่เขามอง วิญญาณของซือหยูไม่น่าจะอ่อนแอกว่าภูติระดับเจ็ด ด้วยฐานพลังระดับหก เขามีวิญญาณระดับเจ็ดไปแล้ว มันพิสูจน์ได้อย่างดีว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านวิญญาณ!
ซือหยูไม่ตอบมือขวาของเขากดหน้าท้องเมิ่งเถียนเอาไว้ เขาใช้ทรายดาราทางช้างเผือก ไม่นานควันดำก็ถูกลบล้างจางหายไป
เครื่องรางนี้ใช้พลังภูติผีในการใช้งานเพียงอย่างเดียวดังนั้นมันจึงเป็นภัยต่อเมิ่งเถียน ดังนั้นถ้าแค่ดูดซับพลังภูติผีออกมา เครื่องรางจะแตกสลายไปเองในท้ายสุด
ครึ่งชั่วยามต่อมาซือหยูดึงมือกลับ
“เจ้าลองดูยังเหลือร่องรอยของผนึกอยู่หรือไม่?”