The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 937 - คำสั่งจากโอรสศักดิ์สิทธ
DND.
เมิ่งเถียนระแวงเขาเริ่มใช้พลังชีวิตและพบว่าจุดกำเนิดพลังของเขาไหลเวียนได้ดี มันไม่มีความขมขื่นและอาการติดขัดเหลืออยู่แล้ว
เขาต้องมองซือหยูไม่วางตา
“เจ้าทำได้ยังไง?ฐานพลังของกระดูกโลหิตไปถึงอสูรเนรมิตรขั้นแรกแล้ว!”
ซือหยูเพียงแค่ชายตามอง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เจ้ารู้อย่างเดียวก็พอว่านับจากนี้เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้า!”
เมิ่งเถียนใจเย็นลงเขาดูราวกับคนที่ถูกน้ำเย็นราด แต่หลังจากครุ่นคิดให้ดี เขารู้สึกโล่งใจและดีใจมากกว่า
เพราะเทียบกับผู้ที่มีอารมณ์รุนแรงอย่างโลหิตกระดูกคนอย่างซือหยูที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกันย่อมมีจิตสำนึกและความใจดีอยู่ภายใน ดูจากสิ่งที่แสดง ซือหยูให้ความช่วยเหลือต่อเขา อย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่น่าจะสังหารเขาตามใจอยาก!
จิตใจของเขาแจ่มใสขึ้นมากในที่สุดเขาก็สงบใจได้
“เจ้าพักไปก่อน…”
ซือหยูบอกและเริ่มฟื้นฟูพลังของตัวเองเช่นกัน
ครึ่งชั่วยามต่อมาซือหยูกลับมามีพลังตามเดิมแล้ว เขาเรียกแหวนมิติของเจ้าตระกูลเฉาออกมาดู ด้านในมีแก้วสิบล้านดวง ตำราวิชาระดับวิญญาณหลายร้อยเล่ม และโอสถนับไม่ถ้วนในหลากหลายระดับ
ยังมีวัตถุดิบอีกเป็นจำนวนมากแหวนนี้มีมูลค่าอย่างน้อยหกสิบล้าน!
“หรือว่าเจ้าตระกูลเฉาจะนำสมบัติจากทั้งตระกูลติดตัวเอาไว้?”
ซือหยูตาเป็นประกาย
เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยคนจากเฉินหลงได้มากเพียงใดและจู่ๆในตอนนั้นเอง ซือหยูได้พบวิชาหนึ่ง มันเขียนด้วยกระดูกดำ…
“วิชาปรับกระดูกอสูร”
นี่คือวิชาระดับตำนานชั้นยอดมันใช้ปรับร่างกายขึ้นใหม่ ซือหยูมีความทรงจำเกี่ยวกับตำรานี้อยู่บ้าง เพราะลูกชายเจ้าตระกูลเฉาเคยใช้วิชานี้มาก่อน มันมีผลดีมากกับร่างกาย
บุตรชายเจ้าตระกูลเฉามีพื้นฐานบางอย่างกับวิชานี้เท่านั้นแต่ก็เปลี่ยนแปลงร่างกายได้มากดังนั้น…ถ้าหากฝึกวิชานี้ให้ลึกล้ำขึ้นไป ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด!
แต่ซือหยูนั้นมีกายามังกรเทพปีศาจอยู่แล้ววิชานี้ไม่จำเป็นต่อเขา ถึงกระนั้นมันก็มีค่า คงจะดีหากนำมันไปขายในโรงประมูลหรือแลกกับวิชาระดับตำนานชั้นยอดแบบอื่นที่ต้องการ
“เมิ่งเถียนเจ้าต้องรู้ในด้านใดถึงใช้วิชาควบคุมสัตว์อสูรได้?”
ซือหยูถาม
เมิ่งเถียนยอมรับชะตาตัวเองแล้วจิตใจนั้นปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เขารีบตอบ
“วิชาฝึกสัตว์ต้องมีความรู้ในสองด้านอย่างแรกคือการสื่อสาร สัตว์อสูรต้องชุบเลี้ยงจากวัยเด็กเพื่อสร้างพันธะอันแน่นแฟ้น จากนั้นจะใช้ควบคุมได้ นับเป็นหนึ่งด้าน!”
เขาพูดต่อ
“ด้านที่สองคือการทำให้เชื่องสัตว์อสูรจะเติบโตขึ้นหลังจากถูกฝึก ถ้าหากผู้ฝึกแข็งแกร่ง สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าก็จะติดตามเขา”
โดยมากผู้ฝึกสัตว์อสูรมักจะเลี้ยงสัตว์อสูรตั้งแต่ยังเป็นทารก ด้วยความใกล้ชิดที่อยู่ร่วมกันมักจะทำให้พวกมันไม่จู่โจมเจ้าของ
มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ผู้ฝึกสัตว์อสูรสามารถควบคุมสัตว์อสูรที่ดุร้ายได้ชั่วคราวอย่างเช่นครั้งสุดท้ายที่เมิ่งเถียนควบคุมสัตว์อสูรจากสถานีของตระกูลชางก่วน เขาบังคับให้พวกมันจู่โจมซือหยูกับชางก่วนหยุนซื่อได้ชั่วขณะหนึ่ง
“ข้าเรียนรู้โดยการอยู่ร่วมกับสัตว์อสูรหาวิธีในการสื่อสารกับมันผ่านคู่มือที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งทิ้งไว้ให้ข้าตอนที่ยังเล็ก ข้าถึงควบคุมสัตว์อสูรได้อย่างช้าๆและเติบโตกับพวกมันมาจนถึงวันนี้…”
เมิ่งเถียนอธิบาย
ซือหยูพยักหน้า
“อืมมม…เจ้าสื่อสารกับพวกมันด้วยวิธีใดเล่า?”
เมิ่งเถียนตอบ
“ตามบันทึกในคู่มือคนเขียนบันทึกใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ภาษาอสูร แต่เขาก็รู้แค่ร้อยคำทั่วไป ยังมีสัญญาณมือที่ใช้สื่อสารตามปกติกับพวกสัตว์อสูรด้วย”
อย่างนั้นเองหรือ?ซือหยูตาเป็นประกาย
“อืม…สื่อสารแบบไหนง่ายกว่ากันล่ะ?”
คำถามของเขาทำให้เมิ่งเถียนรำคาญใจแต่เขาก็ทำเป็นใจเย็น เขาอธิบายอย่างอดทน
“แน่นอนว่าต้องเป็นภาษาสัญญาณมือไม่ได้ทำให้พวกมันเข้าใจชัดเจน ภาษาเรียบง่ายตรงไปตรงมากว่ามาก”
เขาพูดต่อ
“พูดกับพวกมันด้วยภาษาอสูรจะสื่อสารกับมันได้ดีกว่าใช้สัญญาณมือเป็นสิบเท่าแต่น่าเสียดายที่ไม่มีภาษาอสูรให้เรียนรู้เหลืออยู่ในจิวโจวแล้ว มีผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่กี่คนที่อยากจะแบ่งปันเรื่องภาษาอสูรที่ตัวเองรู้”
เขาส่ายหน้า
“วิถีของการฝึกสัตว์อสูรจึงเชื่องช้าและติดขัดมากกว่าวิถีการปรุงยาการตีอุปกรณ์ หรือสายอื่นๆ”
ซือหยูคิดและหยิบเอาสร้อยหยกออกมาเขาค้นดูความทรงจำเรื่องภาษาอสูร มันคือภาษาอสูรหนึ่งในสิบที่ซือหยูเข้าใจ มันน่าจะเป็นประโยชน์กับเมิ่งเถียนไปตลอดชีวิต
“นี่คือภาษาอสูรรับไปศึกษาซะ”.ไอลีนโนเวล.
ซือหยูกล่าว
เมิ่งเถียนดูตกใจและหลังจากรับสร้อยหยกไปด้วยความระแวง เขาประทับมันที่หน้าผาก จากนั้นความทรงจำมากมายได้หลั่งไหลสู่จิตใจ
ในทีแรกเขาสับสนอย่างมากเพราะเขาไม่รู้จักแม้สักคำเดียว แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็แสดงความตกตะลึงผ่านสีหน้า
นั่นก็เพราะมีคำภาษาอสูรถึงสองร้อยคำอยู่ในความทรงจำนี้!และพวกมันยังถูกแปลเป็นภาษามนุษย์ไว้อย่างยอดเยี่ยม! หรือก็คือ สิ่งที่ซือหยูให้เขาทั้งหมดล้วนเป็นภาษาอสูร!
เมื่อได้สติเมิ่งเถียนสั่นไปทั้งร่าง ไม่มีสิ่งใดที่จะมีความหมายต่อผู้ฝึกสัตว์อสูรเท่ากับสิ่งนี้อีกแล้ว!
เขาเคยเป็นศิษย์ของผู้ฝึกสัตว์อสูรอาวุโสมากมายเขาได้เข้าร่วมการรวมตัวของผู้ฝึกสัตว์อสูรหลายครั้ง แต่ก็มักจะไม่มีใครบอกเรื่องภาษาอสูรที่ตัวเองรู้
พวกเขาเก็บความรู้ไว้กับตัวเองเพราะยิ่งผู้ฝึกสัตว์อสูรเก่งขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีภาษาอสูรเป็นสิ่งสืบทอดมากเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่แบ่งปันความรู้กับใครง่ายๆ
แต่ภาษาอสูรที่ซือหยูมอบให้เขามิใช่แค่มีจำนวนมากแต่มันคือบ้านที่เต็มไปด้วยสมบัติภาษาอสูร! ซึ่งความจริงแล้ว ต่อให้รวบรวมผู้ฝึกสัตว์อสูรจากทั้งจิวโจวมา พวกเขาเหล่านั้นก็มิอาจมีความรู้เท่าหนึ่งในร้อยส่วนของความรู้นี้!
หลังจากเรียนรู้ทุกคำในนี้แล้วเขาจะเข้าใจภาษาอสูรได้อย่างถ่องแท้ เขาจะสื่อสารกับเผ่าอสูรและถึงกับฝึกสัตว์อสูรที่ทรงปัญญาให้มารับใช้เขาได้!
เมิ่งเถียนตื่นเต้นมากเขารู้สึกราวกับอยู่ในฝัน! ด้วยภาษาอสูรเหล่านี้ วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรชั้นยอด!
เมิ่งเถียนรู้สึกกระวนกระวายเขาถือสร้อยหยกในมือและคุกเข่าต่อหน้าซือหยู เขาโค้งด้วยความเลื่อมใส
“ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณที่ติดค้างท่านเลยนายท่าน!”
เมิ่งเถียนพูดอย่างหนักแน่น
ในที่สุดเขาก็เชื่อที่ซือหยูพูดแล้วว่าเขาจะได้ผลประโยชน์อย่างจินตนาการมิได้ถ้ารับใช้ซือหยูนี่มันเกินกว่าที่เขาจะปรารถนาเสียอีก มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันเลย! หากได้รางวัลเช่นนี้ เขาเชื่อเหลือเกินกว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรทุกคนในทวีปจะรีบต่อสู้แย่งชิงการได้เป็นข้ารับใช้ของซือหยู
“เรื่องนี้ขอให้เก็บเป็นความลับระหว่างฟ้าดินและเจ้ากับข้าเท่านั้นหากแพร่งพรายออกไป ทั้งเจ้ากับข้าก็จะไม่ได้อะไร ตกลงหรือไม่?”
ซือหยูเตือน
เมิ่งเถียนตอบอย่างเคร่งขรึม
“นายท่านโปรดวางใจหากนายท่านไม่อนุญาต ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้แม้สักคำเดียว”
ถ้าหากเรื่องนี้เผยออกไปเมิ่งเถียนจะเป็นคนแรกที่ถูกผู้ฝึกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าแค้นเอาภาษาอสูรไป จากนั้นซือหยูจะตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน
“ดีเจ้าเอาสิบล้านจากตระกูลเฉาไปด้วยก็แล้วกัน ใช้มันซื้อทรัพยากรชุบเลี้ยงสัตว์อสูร”
ซือหยูยื่นแก้วสิบล้านดวงให้เขาไปอีก
เขารู้ว่าเมิ่งเถียนคือตัวช่วยที่คุ้มค่าแก่การลงทุนแม้สัตว์อสูรที่เขาควบคุมได้ในตอนนี้จะไม่นับว่าแข็งแกร่ง มันก็มีนิสัยตามธรรมชาติที่ดุร้ายและเป็นผู้ล่า หากเพาะเลี้ยงต่อไป วันที่ฝูงวิหคน่ากลัวถือกำเนิดขึ้นจะมาถึง
“สะ…สิบล้าน….”
เมิ่งเถียนมือสั่นเขาโค้งคำนับให้ซือหยูอย่างสง่างามอีกครั้ง เขาไม่มีความโศกเศร้าที่ต้องรับใช้ซือหยูอีกต่อไป มีเพียงแค่ความรู้สึกขอบคุณกับเคราะห์ดีที่ได้รับเท่านั้น
“นายท่านข้าสาบานว่าจะติดตามท่านไปตลอดชีวิต!”
เมิ่งเถียนให้สัญญากับซือหยูจากก้นบึ้งของหัวใจ
ซือหยูพยักหน้าจากนั้นจึงถาม
“ทำไมพวกเจ้าถึงต้องโจมตีตระกูลซือถูเล่า?”
“พวกเราได้รับคำสั่งจากโอรสศักดิ์สิทธิ์..”
เมิ่งเถียนตอบเสียงเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อพูดว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์”
ซือหยูขมวดคิ้ว
“โอรสศักดิ์สิทธิ์หรือ?ใครกัน?”
“ข้าไม่รู้ข้ารู้แค่ว่าเขาคือหัวหน้าชั้นสูงของสมาคมพวกเรา ข้าไม่เคยเจอตัวเป็นๆ”
เมิ่งเถียนตอบ
มีสมาคมลับอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ด้วยหรือ?ข้าไม่เคยรู้เลย! ซือหยูตกใจเมื่อได้ข้อมูล
“สมาคมเจ้าใหญ่แค่ไหน?กระดูกโลหิตอยู่ในสมาคมนี้ด้วยหรือ?”
เมิ่งเถียนส่ายหน้า
“ไม่มีใครรู้ว่ามันใหญ่เพียงใดพวกเรารู้แค่ว่ามันมีส่วนหนึ่งอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ ในอดีตสมาคมจัดการดูแลโดยอสูรเนรมิตรนาม ‘อสูรเฒ่าเฉียนชาน’ เราเรียกพวกเขาว่าเจ้าหอเฉียนชาน”
“ต่อมาก็เป็นโลหิตกระดูกที่มาสังหารเจ้าหอเฉียนชานไปแล้วกลืนกินเขาทั้งเป็นสุดท้าย โอรสศักดิ์สิทธิ์มิได้ถูกลงโทษ เขาได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหอคนใหม่!”
เขาส่ายหน้าและพูดต่อ
“พวกเราทุกคนเคยทำงานให้เจ้าหอเฉียนฉานตอนี้พวกเรากลับต้องรับใช้โลหิตกระดูก ข้าเองก็ด้วย หลายคนมีผนึกที่คล้ายข้าอยู่ด้วย”
ซือหยูคิดเมื่อได้ยินว่ามีอสูรเนรมิตรคนเดียวที่จัดการดูแลดินแดนพรสวรรค์!จิวโจวมีดินแดนราวห้าสิบแห่ง นั่นแสดงว่าสมาคมนี้ควรจะมีอสูรเนรมิตรถึงห้าสิบคน! ไม่มีเขตใดที่เทียบกับกำลังปริมาณนี้ได้!
ซือหยูได้แต่สงสัย…เหตุใดถึงมีสมาคมลับใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ในจิวโจวได้?
“แล้วโอรสศักดิ์สิทธิ์สั่งเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกัน?”
ซือหยูถามต่อ
เมิ่งเถียนหัวเราะอย่างขมขื่น
“ข้าเป็นแค่คนตัวเล็กจ้อยข้าจะรู้ความตั้งใจของโอรสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าตระกูลเฉาพูดว่าดินแดนพรสวรรค์นั้นเป็นเขตที่ขาดแคลนทรัพยากรมากที่สุดในจิวโจว แต่มันก็ยังมีความลับซ่อนอยู่”
เขาหยุดพักและสรุป
“ดังนั้น…โอรสศักดิ์สิทธิ์น่าจะกำลังวางแผนการใหญ่เขาอยากจะล้างบางดินแดนนี้ก่อน”
ซือหยูลูบคาง…หืมม…ความัลบหรือ?หรือว่าเป็นเพราะเทพไม้กำลังหลับใหลอยู่ที่นี่?
ซือหยูยังรู้ไม่มากจึงไม่ถามอะไรต่อในเรื่องนี้
“แล้วนอกจากเจ้าเจ้าตระกูลเฉา กับอสูรจันทร์ม่วง มีใครอื่นในสมาคมอีกหรือไม่?”
เมิ่งเถียนส่ายหน้า
“ภารกิจของพวกข้าในครั้งนี้คือการกำจัดตระกูลซือถูก่อน”
ซือหยูถาม
“ทำไมไม่ชางก่วนล่ะ?ด้วยกำลังของเจ้า เจ้าควรจะทำลายตระกูลชางก่วนได้ง่ายๆ”
เมิ่งเถียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“มันเป็นความคิดของเจ้าตระกูลเฉาเขาอยากจะได้นายหญิงซือถูมานาน คำสั่งเบื้องบนเพียงแค่ต้องการให้พวกข้าจัดการตระกูลน้อยใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น”
เขาพูดต่อ
“เจ้าตระกูลเฉาต้องการทำตามปรารถนาเมื่อมีโอกาสจึงเลือกตระกูลซือถูเป็นตระกูลแรก เขาเป็นคนบอกให้เปลี่ยนแผน”
ซือหยูโล่งใจเมื่อได้ยินว่าตระกูลชางก่วนยังปลอดภัยดีเมิ่งเถียนหันไปมองช้าๆราวกับอ่านใจซือหยูได้
เขาถาม
“นายท่านใยเราไม่ใช้โอกาสนี้ปกป้องตระกูลซือถูที่กำลังแตกสลายเล่า? หลังการต่อสู้นี้ ตระกูลซือถูย่อมต้องการยอดฝีมืออย่างท่านมาช่วย”
เขาพูดต่อ
“ถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่านายหญิงซือถูคงจะไม่ปฏิเสธคำขอของท่าน ตระกูลซือถูอยู่ในปลายเล็บท่านแล้ว!”