The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 954 - ผู้ว่างเปล่า
DND
“หนึ่งส่วนของจักรวาลมีได้เพียงกฎสวรรค์เดียว หากเขามีตัวตนอยู่แล้วก็จะไม่มีกฎสวรรค์ที่สอง…”
หยุนย่าสีกล่าว
ซือหยูจ้อง‘ตำราสวรรค์แรก’ ในมือและถาม
“ท่านอาจารย์ท่านอาจารย์เข้าใจสิ่งใดหรือ ใช่วิญญาณหรือไม่?”
โอรสสวรรค์จ้องนภาเป็นของขวัญจากหยุนย่าสีมันคือตำราเกี่ยวกับวิญญาณ บางทีหยุนย่าสีอาจจะเข้าใจความหมายอันลึกล้ำของวิญญาณดีก็ได้
หยุนย่าสีส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าพบตำรานั่นในภายหลังต่อให้ข้าอยากจะศึกษาให้ลึกล้ำลงไป ข้าก็ไม่มีความสามารถ”
ซือหยูสงสัยยิ่งกวส่าเดิมแล้วหยุนย่าสีเลือกศึกษาวิถีใดกัน? ทำไมเขาถึงไม่เคยใช้ให้เห็นมาก่อน?
“ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์เข้าใจกี่คำจากตำราสวรรค์แรกล่ะ?”
ซือหยูถาม
หยุนย่าสีหน้านิ่งราวน้ำแข็ง
“ไม่มากนัก”
“ที่‘ไม่มาก’ น่ะ เท่าใดหรือ?”
ซือหยูกดดันต่อไป
หยุนย่าสียกหนึ่งดัชนี
ซือหยูตาลุกวาว
“ท่านอาจารย์รู้ถึงพันคำเท่ากับหนึ่งในสิบของตำราเลยหรือ?”
หยุนย่าสีส่ายหน้าอย่างผิดธรรมชาติ
“ร้อยตัวรึ?”
ซือหยูงุนยงงหยุนย่าสีหน้าถอดสี
“สิบหรือ?”
ซือหยูตัวแข็งทื่อ
“เจ้าจะถามไปทำไมกัน?ทำไมเจ้าไม่อ่านเองเล่า?”
หยุนย่าสีอับอายและบอกให้ซือหยูเลิกถาม
ซือหยูหายใจเข้าเต็มปาดดูเหมือนว่าหยุนย่าสีจะรู้แค่คำเดียว!!
“ทำไมเจ้าตกใจนัก?ตำราสวรรค์แรกอยู่มาเป็นพันล้านอายุคน คนที่เข้าใจมันได้หายากนัก ต้องมีเทพเจ้าสักเต็มมือถึงจะเข้าใจมันได้”
หยุนย่าสีหงุดหงิดใบหน้าแก่เฒ่าแดงระเรื่อ นี่คือครั้งแรกที่เขาขายหน้าต่อหน้าศิษย์
เทพเจ้ารึ?ซือหยูแอบตกใจ…เขากำลังพูดถึงเทพเจ้าอย่างเทพไม้หรือ? ระหว่างสวรรค์กับพื้นดิน ยังมีเทพเจ้าอื่นนอกจากเทพไม้อีกหรือ? หยุนย่าสีเองก็เป็นเทพเจ้าก่อนตายไม่ใช่รึ?
พอดีกับที่ซือหยูจะถามต่อหยุนย่าสีพูดออกมา
“มีผู้หญิงสองคนมาหาเจ้าข้าจะชี้แนะการฝึกฝนในคราวหน้า”
หยุนย่าสีกลับไปในกล่องหยกทันทีที่พูดจบเร็วกว่าที่เคยกลับกล่องหยกก่อนหน้านี้
ซือหยูพูดไม่อกดูเหมือนว่าเขาจะแตะต้องจุดอ่อนไหวที่หยุนย่าสีเศร้าเข้าให้แล้ว เขายิ่งสนใจตำราสวรรค์แรกมากกว่าเดิม มันกล่าวถึงกฎแห่งจักรวาล มันยิ่งใหญ่อย่างที่เขาไม่รับรู้มาก่อน
“พี่หยูเซี่ยนข้าได้ยินว่าพี่ต้องแข่งกับพวกมีดสวรรค์ พวกข้าจะพาไปส่ง”
กงซุนหวูซื่อหัวเราะอย่างร่าเริงเมื่อวิ่งมาในสวน
ซือหยูเก็บตำราสวรรค์แรกเมื่อได้เห็นในตำรา หลายคำในสมองได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นภาษาไม้ที่เขาเชี่ยวชาญสูงสุดนั้นเหมือนกับได้หลอมรวมเป็นคำเดียว มีหลายล้านคำแต่ก็ดูเหมือนกำลังจะรวมตัวกัน คำอื่น ๆ ก็กำลังจะหลอมรวมกันเช่นกัน ซือหยูตกใจ…เกิดอะไรขึ้น? มันคือผลของการอ่านตำราสวรรค์แรก!
ภาษาไม้หลายล้านคำได้ถูกแกะออกเหลือเพียงคำเดียวทำไมภาษาไม้ที่เขารู้ถึงรวมตัวกันเป็นคำนี้ล่ะ? เมื่อมันรวมตัวเสร็จ มันก็ชัดเจนว่าซือหยูเข้าใจหนึ่งคำจากตำราสวรรค์แรก หยุนย่าสีใช้เวลาตลอดชีวิตเรียนรู้คำเดียว แต่ซือหยูกลับทำได้ในพริบตา ทั้งหมดเป็นเพราะหม้อเก้ามังกรที่ช่วยเร่งเวลาให้กับเขา
ในบรรดาความหมายลึกล้ำของแปดกฎสวรรค์มีเรื่องของมิติอยู่ด้วยของเหลวสีแดงในหม้อเก้ามังกรทำให้ซือหยูบรรลุถึงกฎทั้งสอง มันมิได้ซับซ้อนแต่ก็ไม่มีใครอื่นที่ครอบครองพลังของมัน นั่นทำให้ซือหยูใจเต้นแรง ถ้าเขาบอกหยุนย่าสี หยุนย่าสีจะต้องอ้าปากค้างแน่ เขาจะละอายใจเมื่อมองศิษย์ตัวเองอีกครั้ง
หลังจากปรับอารมณ์ซือหยูมองหญิงสาวทั้งสอง
“เจ้าสองคนจะตามข้ามาทำไม?มันก็แค่การแข่งธรรมดา ๆ”
ปิงหวูชิงกระชับกระบี่และพูดอย่างเย็นชา
“ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้าเหตุผลนี้ยังไม่พออีกหรือ?”
ซือหยูปวดหัวแต่กงซุนหวูซื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย คงไม่เหมาะที่เขาจะพูดความจริงอย่างเปิดเผย เขาต้องหาเวลาที่เหมาะสมในการคุยกับปิงหวูชิงตามลำพังให้เร็วที่สุด
“แล้วเจ้าล่ะ?”
ซือหยูมองกงซุนหวูซื่อ
กงซุนหวูซื่อยืดอก
“พวกเราคือห้าอสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันแน่นอนว่าข้าต้องไปให้กำลังใจ”
“เอาเถอะ”
ซือหยูหมดหวังเขาก้าวผ่านสวนนำทั้งสองไป
“เอ๋?วิญญาณเจ้ากลายเป็นเจ้าเทวะระดับสามได้ยังไง?”
เมื่อซือหยูเดินเข้าใกล้ปิงหวูชิงก็ตาลุกวาวและจ้องมองเขาด้วยความงุนงง
จะต้องเป็นหยุนย่าสีที่ทำให้ซือหยูมีดวงวิญญาณระดับนี้ในตอนที่ซือหยูหลับ พลังอันอบอุ่นได้เข้ามาลบล้างความเจ็บปวด ซึ่งนั่นจะต้องเป็นพลังของหยุนย่าสี แต่หยุนย่าสีก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้สักคำเดียว
กงซุนหวูซื่อเดินมือไพล่หลังรอบตัวซือหยูนางเพ่งมองเขาและเริ่มขุ่นเคืองใจ
“เช่นนั้นพี่หยูเซี่ยนก็เป็นอสูรที่เก่งที่สุดไม่นานยังเป็นภูติระดับหก แต่ไม่กี่วันต่อมาเป็นภูติระดับเก้า แล้วตอนนี้ยังมีวิญญาณจ้าวเทวะระดับสามอีก พระเจ้า! ข้าจะทุบทุกคนที่เรียกข้าว่าอสูรให้ตายเลย…”
กงซุนหวูซื่อกล่าว
ซือหยูมองปิงหวูชิงมีเพียงอสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะมองผ่านดวงวิญญาณจ้าวเทวะได้ในการมองครั้งเดียว แต่ปิงหวูชิงกลับทำได้ ซือหยูยิ่งสงสัยในตัวนางเมื่อคิดถึงพลังจ้าวเทวะระดับเก้าที่นางปล่อยออกมา
“มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะ”
ซือหยูพูดตัดบท
ปิงหวูชิงจ้องซือหยู
“เจ้าแปลกประหลาดหัวจรดเท้าข้าไม่เคยเห็นใครที่พัฒนาวิญญาณได้รวดเร็วและแข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน”
ในภาวะปกติพลังดวงวิญญาณนั้นเป็นของที่ยากจะพัฒนา แม้แต่จ้าวเทวะที่ฝึกฝนเฉพาะดวงวิญญาณก็มีดวงวิญญาณแข็งแกร่งกว่าคนอื่นได้เพียงเล็กน้อย การเพิ่มพลังมาทั้งระดับก็นับว่าพิสดารแล้ว ซือหยูที่เพิ่มพลังจากภูติระดับเก้ามาเป็นจ้าวเทวะระดับสามมิอาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลทั่วไป
“จะใครก็มีความลับทั้งนั้น…”
ซือหยูตอบอย่างไม่แยแส
เมื่อเห็นว่าซือหยูไม่พอใจปิงหวูชิงถอนหายใจแรง
“เจ้าคิดว่าข้าทำไปเพื่อใครกัน?ถ้าเจ้ามีของแปลกปลอมก็ควรจะซ่อนให้ดีที่สสุด มิเช่นนั้นถ้าแม่ข้าตรวจสอบเจ้า มันก็สายไปแล้วถ้านางพบสิ่งผิดปกติ เจ้าคุยกับท่านแม่ไม่ได้เหมือนข้าหรอกนะ!”
กงซุนหวูซื่อพูดบ้าง
“ใช่แล้วพี่หยูเซี่ยนแม่พี่หวูชิงน่ะใช้เหตุผลด้วยไม่ได้หรอก”
ซือหยูมองปิงหวูชิงและพูดเบาๆ
“แม่ลูกก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“เจ้าว่าไงนะ!”
ปิงหวูชิงเลิกคิ้ว
ซือหยูไม่สนใจเขาออกบิน
ปิงหวูชิงบินตามทันเขาอย่างรวดเร็วนางอยู่ด้านซ้ายเคียงบ่าเคียงไหล่ หากมองดูไกล ๆ อาจจะดูเหมือนคู่สามีภรรยา
กงซุนหวูซื่อหัวเราะคิกคักและไปที่ด้านขวาของซือหยูนางเข้าใกล้อย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทีของนางทำให้ปิงหวูชิงขมวดคิ้ว แต่นางก็ไม่ได้หยุดอสูรน้อย
ทั้งสามมาถึงตำหนักในผู้เฒ่าหลายคนอยู่ด้านในแล้ว ซือหยูกับทั้งสองที่ร่อนลงทำให้เหล่าผู้เฒ่าหันมอง ซือหยุเซี่ยนนั้นมีชื่อเสียงว่าเป็นศิษย์ลำดับหนึ่งแห่งตำหนักนอก พวกเขาเพียงแค่ได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นเขากับตา พิธีเซ่นในป่าปีศาจร้างได้ทำให้พวกเขาสงสัยมากพออยู่แล้ว แต่หลังจากการต่อสู้ที่ตระกูลซือถู ประกอบกับเรื่องกายาวิญญาณ ฎีกาสวรรค์ และยังพลังดวงวิญญาณ ซือหยูนั้นไม่ต่างกับผู้ไร้เทียมทานในสายตาพวกเขา ด้วยพรสวรรค์ทั้งหมดที่มี เขาถูกลิขิตให้ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ พวกเขาย่อมอยากจะได้เห็นซือหยูตัวเป็น ๆ พวกเขาต่างมองซือหยู ซือหยูก็มองพวกเขาเช่นกัน
เขาเหลือบมองทีละคนและพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเขาก็เดินไปหาอาจารย์พรายและยืนเงียบ ๆ
“ฮ่าๆๆ อาจารย์ซือ ชื่อเสียงเจ้าดังมาถึงตำหนักใน ใยถึงยังอยู่ตำหนักนอกเล่า?”
เจ้าสำนักซ้ายยิ้มเดินเข้ามากับเสวี่ยฉีที่ซือหยูเคยเจอมาหลายครั้ง
ซือหยูพยักหน้าและยิ้ม novel-lucky
“เจ้าสำนักซ้ายขอบคุณที่ชมเชยข้า ข้าขอทำตามกฎสำนักจะดีกว่า ไม่สายไปหากข้าจะเข้าตำหนักในหลังเป็นจ้าวเทวะ”
แน่นอนว่าซือหยูรู้ว่าเจ้าสำนักซ้ายต้องการตัวเขาเจ้าสำนักซ้ายยังพาเสวี่ยฉีมาเพื่อที่จะสร้างความใกล้ชิดยิ่งขึ้น แต่ซือหยูก็ไม่อยากจะถูกมัดกับผู้ใด และเจ้าสำนักซ้ายเองก็มิอาจให้สิ่งที่เขาต้องการได้ ในด้านทรัพยากร ซือหยูไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าใครเลย
“วิถีแห่งพลังต้องการความแน่วแน่และความอดทนถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นข้าก็จะไม่ว่าต่อ”
เจ้าสำนักซ้ายยิ้มด้วยความผิดหวัง
ตอนนี้ซือหยูนั้นคือสุดยอดเขาได้การยอมรับจากหลายฝ่าย เขาจะได้รับการฝึกฝนแบบพิเศษและจะไม่ต้องพบกับความขาดแคลนทรัพยากรแม้จะไม่เข้าร่วมกับฝ่ายไหน โอกาสการรับซือหยูเข้าฝ่ายตนเองย่อมมีอยู่น้อยนิด และถ้าเขาทำไม่ได้ เจ้าสำนักขวาก็น่าจะทำไม่ได้เช่นกัน
เขามีกายาวิญญาณที่เจ้าตำหนักม่อเทียนฉวนใคร่รู้อยู่แล้วใครกันจะกล้าขัดความหลงใหลของนางได้?
ฟึ่บ!
คนสามคนก้าวเข้ามาในโถงหลักมีคนแปลกหน้าสองคน ซือหยูรู้จักหนึ่งในนั้น ซึ่งก็คือบุรุษสองหัวฉินหลินนั่นเอง
อาจารย์พรายอธิบาย
“ชายวัยกลางคนผู้นั้นคือรองเจ้าดินแดนมีดสวรรค์ส่วนชายในชุดหยกคือยอดฝีมือที่พวกมันหามา อาจารย์เกาแข่งสู้มันไม่ได้แม้จะแข่งแค่สามรอบ”
ซือหยูมองคนสวมชุดหยกและรู้สึกแปลกๆ คนผู้นี้ทำให้เขาอึดอัดใจ เขาคิดและใช้เนตรวิญญาณมองผ่านชุดหยกไป เขาไม่รู้ว่าชุดหยกนี้สร้างมาจากอะไร และมันก็พิเศษมากที่เนตรวิญญาณไม่สามารถมองผ่านได้ง่าย ๆ
เมื่อซือหยูมองผ่านไปเขาพบว่ามีแต่ความว่างเปล่าข้างในชุดหยก ซือหยูงุนงง นี่มันอะไรกัน? ก่อนที่ซือหยูจะดูต่อไป พลังต่อต้านอันหนักแน่นก็ได้ผลักวิญญาณของเขาออกมา ซือหยูเจ็บวิญญาณเล็กน้อยแต่ก็แสร้งไม่รู้อะไรในเบื้องหน้า เขาเลิกใช้เนตรวิญญาณราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ๋!”
คนชุดหยกทำเสียงเบาๆ และมองรอบ ๆ
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวเห็นท่าทางประหลาดของเขาและถามผ่านกระแสจิต
“เกิดอะไรขึ้น?”
คนชุดหยกพูดอย่างหม่นหมอง
“มียอดฝีมือที่นี่!มันมองทะลุชุดหยกจนเกือบจะเห็นตัวข้า”
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวเคร่งเครียดเขาถามเบา ๆ
“เป็นไปได้ยังไง?ชุดหยกนี้ทำจากเศษสมบัติภูติ ถ้าหากไม่มีอสูรเนรมิตรมาสังเกต มันจะถูกมองผ่านได้หรือ?”
“ข้าไม่รู้ว่ามันทำได้ยังไงแต่ชุดหยกถูกมองทะลุผ่านมาหนึ่งครั้งแล้ว”
คนชุดหยกกล่าว
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวหรี่ตา
“อาจมียอดฝีมือลับคนอื่นในตำหนักโลหิตนอกจากม่อเทียนฉวนหรือว่าจะเป็นจ้าวผาบั่นภูติ? เขาสนิทกับม่อเทียนฉวน”
ในตอนนั้นเกิดรอยแยกมิติที่เก้าอี้เจ้าตำหนัก สตรีที่งดงามจนต้องมองตาค้างสวมชุดดำก้าวออกมาอย่างสง่างาม บรรยากาศที่นางให้นั้นยิ่งใหญ่ราวกับว่ามีจักรพรรดินีย่างก้าวมาที่ดินแดนแห่งนี้
“เจ้าตำหนักม่อ!”
เหล่าผู้เฒ่าโค้งคำนับ
ม่อเทียนฉวนเหลือบมองทุกคนและหยุดมองซือหยูครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองพวกมีดสวรรค์
“ถ้าทุกคนมาแล้วรองเจ้าดินแดนเสี่ยว บอกสิ่งที่เจ้าต้องการมา”
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวก้าวมาข้างหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามาในฐานะตัวแทนของเจ้าดินแดนข้าอยากจะขอให้ปราชญ์ภาษาไม้แห่งตำหนักโลหิตแบ่งปันความรู้เรื่องภาษาไม้กับเรา ข้ายังนำแก้วร้อยล้านดวงมาด้วย ถ้าหากดินแดนมีดสวรรค์แพ้ แก้วเหล่านี้จะเป็นของชดเชยให้ตำหนักโลหิต แต่ถ้าหากโชคเข้าข้างพวกข้าแล้วชนะได้ ข้าหวังว่าตำหนักโลหิตจะคิดเรื่องการคืนร้านค้าของดินแดนมีดสวรรค์ในเมืองเทียนหยากลับมา”
ม่อเทียนฉวนจ้องซือหยูด้วยดวงตางดงาม
“เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ซือหยูก้าวมาด้านหน้า
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจนัก”