The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 959 - กลลวงฝ่าวิกฤต
DND.
ซือหยูลูบหน้าผากด้วยความหนักใจเขาถูกบังคับให้ต้องฝังเนตรเทาเทีย และมันก็มีปัญหาอย่างที่เขาคาด แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะคิดถึงสิ่งนี้ ซือหยูนั่งสมาธิ หลับตา และแสร้งทำเป็นบ่มเพาะพลัง ไม่นานพลังมิติก็ได้แล่นมาถึงห้อง ซือหยูไม่จำเป็นต้องลืมตาเพราะว่าเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีคนเข้ามาในห้องแล้ว
“บ่มเพาะพลังอยู่รึ?แบบนี้ก็ดี”
สตรีสวมชุดดำลอยอยู่ในห้องของซือหยูนางมองเขาอย่างสงบ สิ่งที่ซือหยูทำทำให้ม่อเทียนฉวนสนใจในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากเรื่องที่เกิด ณ ตำหนักใน คนประเภทใดกันที่จะมีความทรงจำสืบทอดจากสายโลหิตของเผ่าไม้? แล้วคนประเภทใดกันที่มีร่องรอยของสัจธรรมจักรวาลเกิดในดวงตาได้ครู่หนึ่ง? เขายังมีพลังมิติ ฎีกาสวรรค์ และพรสวรรค์ด้านวิญญาณ ม่อเทียนฉวนอยากจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของซือหยูมาโดยตลอด
และคงจะยากสำหรับนางที่จะลืมเรื่องนี้ไปถ้าหากไม่มาค้นดูในวิญญาณเขาเมื่อเห็นว่าซือหยูกำลังทำสมาธิ พลังอสูรได้แผ่ออกจากฝ่ามือม่อเทียนฉวน มันค่อย ๆ เข้าล้อมร่างกายซือหยู ซือหยูดูราวกับสัมผัสไม่ได้ เขายังอยู่ในการทำสมาธิ
“เจ้าจะไม่ต้องเจ็บปวดอะไรแล้วเจ้าก็จะไม่รู้ว่าถูกค้นวิญญาณด้วย”
ม่อเทียนฉวนไม่คิดว่าซือหยูที่กำลังบ่มเพาะพลังนี้รู้ว่านางจะมาล่วงหน้า
ม่อเทียนฉวนยื่นดัชนีและแตะหน้าผากซือหยูซือหยูสัมผัสยิ่งสิ่งเยือกเย็นที่แตะเข้ามา มันเหมือนกับโซ่ตรวนที่เข้าสู่ดวงวิญญาณของเขา มันเริ่มขุดค้นดูความทรงจำ หลังจากผ่านไปห้านาที ม่อเทียนฉวนขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังผ่านไปสิบนาทีใบหน้านางเต็มไปด้วยความกังขา
หลังผ่านไปอีกห้านาทีม่อเทียนฉวนดึงมือกลับและมองซือหยู
“เกิดอะไรขึ้น?ทำไมข้าไม่เจอความทรงจำที่เกี่ยวข้องกันเลย”
นางไม่พบความทรงจำที่ดูจะเกี่ยวข้องกับพลังมิติฎีกาสวรรค์ พรสวรรค์วิญญาณ และวิธีที่เขาทำให้แก่นไม้ตอบสนองได้เลย ราวกับว่าความทรงจำพวกนั้นโดนลบออกไป
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังพบว่าซือหยูสูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนานกว่าหนึ่งปีเป็นเพียงความทรงจำที่ว่างเปล่า มันเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้น นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมพลังอสูรและอัดพลังอันบริสุทธิ์นั้นเข้าสู่จิตใจของซือหยู
ซือหยูลืมตาขึ้นราวกับเพิ่งตื่นจากการ‘บ่มเพาะ’ ของเขา เมื่อซือหยูเงยหน้าก็แสร้งทำตกใจ
“นี่เจ้า!เจ้ามาที่ห้องข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเจ้าทำอะไรข้า?”
ม่อเทียนฉวนสีหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็งนางถอนหายใจแรง
“หุบปาก!ข้าอยากรู้ว่าทำไมความทรงจำที่เก่ากว่าหนึ่งปีของเจ้าถึงหายไปหมด ทำไมข้าไม่เจอความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตเลย ข้าหาความทรงจำตอนที่เจ้าเจอกับข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ! เจ้าใช้อะไรปกปิดความทรงจำเจ้า?”
เมื่อได้ฟังนางถามซือหยูทั้งอึ้งและโกรธเกรี้ยว
“เจ้ามาค้นวิญญาณข้าตอนที่ข้าบ่มเพาะพลังเรอะ?เจ้าไม่กลัวปฏิญาณสัตย์ดวงใจหรือยังไง?”
การแสดงของซือหยูดูแนบเนียนมันไม่เหมือนกับการเสแสร้งเลย ม่อเทียนฉวนไม่คิดว่าเขาพูดจาแปลก ๆ นางยังคงเย็นชา
“เป็นข้าต่างหากที่กำลังถามเจ้าตอบมา!”
ซือหยูชักสีหน้าหลายครั้งก่อนจะกลืนความโกรธกลับไปและอดทนเอาไว้
“เจ้าตำหนักผู้เอาจริงเอาจังกลับคืนคำพูดตัวเองได้ลงถ้าอยากรู้นัก ข้าจะบอกเจ้า ข้าเสียอายุขัยเพราะการบ่มเพาะพลังของข้าไป สุดท้ายข้าถึงมีรูปลักษณ์เป็นตาเฒ่าอย่างนี้ ความจริงแล้วดวงวิญญาณข้าก็เสียหาย ไม่ใช่แค่ความทรงจำเก่าหายไป แม้แต่ความทรงจำใหม่ก็ยังเลอะเลือน ถ้าเจ้าไม่เจอสิ่งที่อยากรู้ ข้าก็ได้แต่ขออภัยด้วย”
ซือหยูสีหน้าเยือกเย็นเขาถอนหายใจแรงขณะที่พูด
ม่อเทียนฉวนตกใจนางตรวจดูร่างกายแก่ชราของซือหยูอีกครั้ง นางเชื่อสิ่งที่ซือหยูพูดอยู่บ้าง การบ่มเพาะที่อันตรายอาจทำให้อายุขัยสั้นลงและดวงวิญญาณอ่อนแอลงได้ มันมีความน่าเชื่ออยู่เล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้หลอกข้าอยู่สินะ?”
ม่อเทียนฉวนไม่คิดจะยอมรัมง่ายๆ นางคิดว่านางจะได้เจอกับสิ่งน่าตื่นเต้นมากมายผ่านความทรงจำของเขา แต่นางกลับได้แต่ผิดหวัง ยิ่งกว่านั้น นางยังไม่เจอสิ่งที่นางต้องการเลย ซึ่งมันคือความทรงจำเรื่องบุรุษวิถีอสูรที่รักษานาง
“ฮื่ม!เจ้าไม่ได้ค้นวิญญาณข้าแล้วหรอกรึ? จะถามข้าไปทำไมอีก?”
ซือหยูหงุดหงิด novel-lucky
ม่อเทียนฉวนคิดไปสักพักก่อนจะยอมแพ้อาจจะเป็นนางที่ผิดเอง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงจ้องซือหยูต่อไป
“ข้าไม่รู้เลยว่าทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าปิดบังบางสิ่งอยู่เสมอเจ้าระวังตัวเอาไว้ก็แล้วกัน อย่าให้ข้าจับได้ล่ะ!”
นางฉีกมิติด้วยมือหนึ่งข้างและเคลื่อนย้ายกลับไป
ซือหยูหน้าหมองเขาโกรธแค้นอย่างมาก ยากสำหรับคืนนี้ที่เขาจะบ่มเพาะพลังได้อย่างสบายใจ
ณตำหนักใน คันฉ่องปรากฏที่หน้าม่อเทียนฉวน และคันฉ่องได้สะท้อนภาพซือหยูในขณะนี้ นางสังเกตเขาอยู่นานและพูดด้วยความกังขา
“มันไม่ได้แสร้งทำจริงๆ รึ?”
นางสังเกตดูเขาต่อไปและเมื่อยืนยันได้ว่าซือหยูโกรธแค้นนางจริง นางก็ปิดคันฉ่องด้วยความผิดหวัง
ซือหยูไม่รู้เลยว่าม่อเทียนฉวนแอบมองเขาแต่เขาก็ยังคงแสร้งทำเป็นโกรธเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น กว่าซือหยูจะเลิกแสร้งทำหน้าโกรธก็เป็นเช้าวันต่อมา
“ข้าคงจะหลอกนางได้แล้วแต่ข้าไม่รู้ว่าม่อเทียนฉวนจะมาค้นวิญญาณข้าอีกเมื่อไหร่ ข้าต้องระวังตัวไว้”
ซือหยูค่อนข้างกังวลใจเขาได้วางผนึกใส่ความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการมาจิวโจวของเขา และความทรงจำอื่น ๆ ที่สำคัญ ต้องทำเช่นนี้เพื่อที่จะหลอกนางได้
พร้อมกันนั้นในสถานที่ลับนอกตำหนักโลหิต รองเจ้าดินแดนเสี่ยวกับชาวเผ่าไม้ยืนอยู่เหนือศิลาก้อนใหญ่ รองเจ้าดินแดนเสี่ยวสีหน้าหมองหม่น
“บัดซบ!พวกเราล้มเหลวก็เพราะไอ้บ้านั่น”
ชาวเผ่าไม้กอดอกราวกับกำลังครุ่นคิด
“จินมู่พวกเราจะอธิบายกับเจ้าดินแดนยังไง? นี่เป็นแผนการอย่างดี แต่ก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ แผลการของเจ้าดินแดนต้องช้าลงอีกครั้ง ถ้าเรากลับไปมือเปล่า พวกเราจะจบไม่สวยแน่”
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวกล่าวขณะจ้องมองจินมู่
จินมู่มีที่มาลึกลับแม้แต่เจ้าดินแดนมีดสวรรค์ยังต้องให้ความนับถือต่อเขา ถ้าหากจินมู่เต็มใจยอมทำหน้าที่นี้ เขาก็ย่อมได้รับการลงโทษที่ทุเลากว่า
“ความผิดพลาดนี้ใหญ่หลวงนักต่อให้เป็นข้าก็ต้องถูกลงโทษ ไม่ต้องพูดถึงเจ้า”
จินมู่พูดด้วยควาามเศร้าใจ
“เราเลี่ยงการถูกลงโทษไม่ได้แต่เรายังมีโอกาสที่จะล้างบาปในความผิดพลาดด้วยความดีความชอบ”
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวตาลุกวาว
“เจ้าพูดมาเลย!”
จินมู่มีแววตาเยือกเย็นราวมนุษย์
“เจ้ายังต้องให้ข้าพูดอีกเรอะ?มันก็ต้องเป็นการปิดปากซือหยูเซี่ยนทิ้งเสีย จำกัดเสี้ยนหนามของดินแดนมีดสวรรค์ไปซะ”
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวลูบมือเขาลังเลก่อนจะพูด
“เจ้าพูดถึงซือหยูเซี่ยนที่เป็นปราชญ์ภาษาไม้คนนั้นสินะ?”
จินมู่พยักหน้าก่อนจะส่ายหัว
“ไม่ใช่แค่นั้นมันมีพลังมิติ ฎีกาสวรรค์ แล้วก็พรสวรรค์วิญญาณ มันมีสมบัติมากมายและแทบจะเทียบได้กับกู้ไทซูแห่งตำหนักเมฆาม่วง ถ้าหากมันได้เติบโตต่อไป มันจะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของดินแดนมีดสวรรค์ เราต้องฆ่ามันให้เร็วที่สุด ท่านเจ้าดินแดนจะต้องเข้าใจพวกเราแน่”
จินมู่กำลังคิดถึงเรื่องอื่นที่เขาไม่ได้พูโออกมาซือหยูมิใช่แค่เก่งภาษาไม้ เขายังเป็นบุรุษลึกลับที่ทำให้แก่นไม้ถึงกับตอบสนองจากความทรงจำที่สืบทอดผ่านสายเลือด
จินมู่เองก็เป็นชาวเผ่าไม้เขาย่อมสงสัยถึงความลับของซือหยู
“ตกลงตามนี้แต่ซือหยูเซี่ยนกำลังอยู่ในตำหนัก ถ้าพวกเราก้าวไปตำหนักโลหิตสักก้าวเดียว ม่อเทียนฉวนจะรู้ตัวแน่”
รองเจ้าดินแดนเสี่ยวบอกปัญหา
จินมู่แสยะยิ้ม
“จะทำแบบนั้นไปใยข้าเตรียมการไว้แล้ว มันคิดจริง ๆ รึว่าง่ายที่จะชิงวิชาระดับตำนานชั้นสูงของข้าไป?”