The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 978 - เริ่มการคัดเลือก
“ศิษย์น้องไป่นี่ลูกน้องคนใหม่ของเจ้าหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าต่อสู้คนเดียวมาตลอดเสียอีก?”
หญิงสาวคนหนึ่งถาม
พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ศิษย์ชั้นสูงมารวมตัวกันแน่นอนว่าบางคนมักจะมีลูกน้องติดตัวมาด้วย
ไป่ชานเหลียงหัวเราะอย่างขมขื่น
“ศิษย์พี่หวงพูดคำโตเกินไปแล้วข้าคงจะเป็นลูกน้องเขาเสียมากกว่า”
เหล่าคนที่ยังไม่เคยเห็นซือหยูเริ่มหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจ
“เขามาจากที่ใดกัน?ทำไมไป่ชานเหลียงถึงชื่นชมเช่นนั้น?”
ศิษย์พี่หวงงุนงงไม่ต่างกัน
“ศิษย์น้องไป่เขาคือใครกันหรือ?” ไป่ชานเหลียงกำลังคิดว่าจะแนะนำซือหยูอย่างไรเพื่อให้พวกเขาประทับใจแต่ก่อนที่เขาจะเปิดปาก คำพูดของเขาก็ถูกตัดออกไป
“มันไม่มีอะไรหรอกก็แค่คนที่รู้ภาษาไม้และมีผู้หญิงคอยช่วย ศิษย์พี่ทุกคน ชายผู้นี้ไม่มีค่าให้ต้องรู้จักหรอก”
ชายหนุ่มผิวเข้มพูด
ทุกคนหันไปมองชายผิวเข้มพร้อมกันไป่ชานเหลียงหน้าหมอง เขาหันไปมองชายหนุ่มผิวเข้มและพูดอย่างชัดเจน
“ศิษย์พี่หลิวเจ้าจะรับประทานสิ่งใดก็ได้ที่เจ้าชอบ แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะพูดอะไรที่อยากพูดได้ เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องชดใช้ในการใส่ร้ายคนอื่นหรือ? เจ้าถึงได้พูดเหลวไหลเช่นนี้?”
ชายผิวเข้มคนนี้สกุลหลิว…ซือหยูจดจำเอาไว้
ศิษย์พี่หลิวขึ้นเสียงเขาไม่กลัวไป่ชานเหลียง “พูดเหลวไหลเรอะ?ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะบอกว่าข่าวเรื่องซงเหยาก็เป็นข้าที่พูดเหลวไหลไปอย่างนั้นน่ะสิ?”
ศิษย์ในหลายคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเริ่มถามคนที่รู้เรื่องพวกเขาจึงได้รู้ว่าซือหยูมีพลังเหนือกว่าโฉมงามลำดับหนึ่งแห่งตำหนักนอกอย่างปิงหวูชิงตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในตำหนัก และเขาก็ยังชนะใจเสวี่ยเหลียนได้
พวกเขาทั้งไม่อยากเชื่อและอิจฉาไปพร้อมๆ กัน ความประทับใจต่อซือหยูกลายผลลบในทันที แม้ว่าต่อมาพวกเขาจะได้ยินว่าซือหยูทุ่มเทให้กับตำหนักมาก ความประทับใจแรกก็ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ถึงทุกคนจะคิดกับเขาดีขึ้นบ้าง กำแพงก็ยังคงอยู่
ไป่ชานเหลียงถาม
“ศิษย์พี่หลิวอย่าบอกนะว่าไม่รู้ว่าที่เรียกว่า ‘ซงเหยาสูงสุด’ นั่นน่ะเป็นแค่เรื่องตลก?”
ศิษย์พี่หลิวถอนหายใจแรง
“เรื่องตลกเรอะ?เขาอสูรของพวกเจ้ามีแต่คนธรรมดา ๆ สินะ?”
คำพูดของเขามิได้ทำให้ไป่ชานเหลียงไม่พอใจแค่คนเดียวแต่ปิงหวูชิงกับกงซุนหวูซื่อก็ด้วย
“พูดอีกทีซิ!”
ปิงหวูชิงแววตาเย็นชาลงทันที
กงซุนหวูซื่อหรี่ตาความเยือกเย็นปะทุออก
แม้ทั้งสามจะไม่พอใจศิษย์พี่หลิวก็ไร้ความกลัวและเยาะเย้ยต่อไป
“ที่นี่คือตำหนักในคนจากเขาอสูรไม่ควรจะมาเกเรที่นี่ด้วยซ้ำ”
เมื่อเห็นว่าไป่ชานเหลียงกับคนที่เหลือโกรธซือหยูที่ไม่ใส่ใจจนถึงตอนนี้ก้าวออกมาข้างหน้า
“อย่าร้อนใจไปเพราะข้าเลย…”
เขาพูดกับทั้งสาม
“ปากเป็นของเขาเขาจะพูดสิ่งใดก็ย่อมได้ แต่เราก็ไม่สนใจได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงอย่างไร้ความหมาย”
จุดมุ่งหมายของการรวมตัวครั้งนี้ก็คือการรวมคนในตำหนักเพื่อเตรียมเข้าร่วมงานประลองเฟิงหยุนซือยหูไม่อยากจะให้ไป่ชานเหลียงและคนอื่น ๆ ต้องเกิดความขัดแย้งกับคนในตำหนักในเพราะเขา
ศิษย์พี่หลิวพูดยั่ว
“ไร้ความหมายเรอะ?ถ้าคนอื่นพูดก็ยังพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่เจ้าน่ะรึ? เจ้าทำอะไรข้าได้รึ?”
เขาได้ข้อมูลเรื่องซือหยูมาจากเทียนหยูเขาจึงกล้าเผชิญหน้าเช่นนี้
ซือหยูยักไหล่ตอบเขาพูดกลับอย่างไร้อารมณ์
“ถ้าเจ้าพอใจจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า”
เมื่อพูดจบซือหยูถอยกลับไปหลับตา แสร้งทำเป็นว่าศิษย์พี่หลิวเป็นเพียงอากาศธาตุ ในสายตาศิษย์พี่หลิวมันไม่ได้ทำให้เขาพอใจขึ้นเลย มันทำให้เขารำคาญยิ่งกว่าเดิม
แต่ตรงกันข้ามซือหยูนั้นผ่อนคลายไร้กังวลจนเขาดูเหมือนกับลิงขี้โมโหที่กระโดดขึ้นลงต่อหน้ายอดฝีมือที่สุขุมเยือกเย็น
“เจ้าจะอ้างแบบนั้นรึ?ที่นี่คือสถานที่ของชนชั้นสูงในตำหนัก พวกข้าคือยอดฝีมือที่จะเข้าไปสู่แดนมณี เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัตินั้นด้วยหรือ?”
ศิษย์พี่หลิวถามอย่างเย็นชา
ซือหยูไม่แม้แต่ลืมตาเขาตอบกลับอย่างใจเย็น
“ข้าคิดว่ามากกว่าเจ้า”
ศิษย์พี่หลิวกำลังจะพูดแต่ขณะนั้นเอง บรรยากาศรอบข้างได้หยุดนิ่ง แรงกดดันมหาศาลเกิดขึ้น ผู้คนหันไปมองที่ทางเข้าโถงและพบว่าสตรีสองคนที่มีเสน่ห์ได้มาถึง พวกนางบินผ่านโดยมีทุกคนมอง หนึ่งในนั้นสวมเส้อคลุมสีดำราวน้ำหมึกและมีรูปร่างสง่างามนางมีใบหน้าที่งดงามอันหาได้ยากบนโลกใบนี้
เมื่อพบนางแววตาของปิงหวูชิวก็เกรี้ยวกราดขึ้นมา นางกำด้ามกระบี่ในมือแน่น
สีหน้าของคนอื่นๆ มีทั้งความหมายกลัวและนับถือ
“ปิงหวูชิงอีกคนรึ?”
ซือหยูเหลือบมองในทันทีจากนั้นจึงมองคนที่มากับนาง นางสวมเสื้อตัวสั้น พื้นที่ส่วนอกแสดงความเป็นสตรีได้อย่างเต็มที่ แต่นอกจากนั้น ผมสั้นและเครื่องหน้าทำให้นางดูไม่ต่างกับบุรุษ นางทำให้ทั้งบุรุษและสตรีประทับใจในเวลาเดียวกัน
ซือหยูคิดว่านางจะต้องเป็นยอดฝีมือลำดับสองแห่งตำหนักโลหิตหรือก็คือเทียนหยู ในด้านพลัง นางเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าที่แข็งแกร่งกว่าผู้เฒ่าในตำหนักทุกคน นางเป็นรองแค่เพียงเจ้าตำหนักม่อ พลังระดับนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าใครหน้าไหนในสำนักอื่นทั้งสิบหก เทียนหยูตามปิงหวูชิงมาติดๆ แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักเมื่อมองปิงหวูชิงที่ไม่คิดอะไร ท่าทางแปลก ๆ ของนางนี้ดูเป็นปกติสำหรับเหล่าศิษย์ใน
“เกิดเรื่องอะไรกันหรือ?”
ปิงหวูชิงอีกคนบินมาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนดั่งวารี
ผู้คนเหลือบมองกันและหันไปหาซือหยูกับศิษย์พี่หลิวที่ยืนอยู่ตรงกลางปิงหวูชิงมองตามมา ดวงตางดงามของนางเปล่งประกายเมื่อเห็นซือหยู นางเดินมาหาพวกเขาอย่างงดงาม กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว
ปิงหวูชิงอยู่ห่างจากซือหยูเพียงสามศอกใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ระยะห่างเพียงเท่านี้จากบุรุษและสตรีไม่ต่างจากสามีภรรยาหรือคู่รัก หรือถ้าไม่อย่างนั้น ทั้งสองก็คงจะชอบพอกัน
“ศิษย์น้องอยากให้ข้าช่วยไหม?”
ลมหายใจของปิงหวูชิงนั้นสดชื่นดั่งบุพผา
คำพูดอันใกล้ชิดนี้ทำให้ทั้งสองดูเหมือนกับคู่รักในสายตาคนอื่นยิ่งกว่าเดิม
ซือหยูรู้สึกถึงสายตาปองร้ายมากมายที่มองมายังเขาเขาใจเย็นมากเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าสตรีที่หลายคนหมายปอง เขาไม่คิดว่าปิงหวูชิงคนนี้จะน่ารักกว่าปิงหวูชิงจากเขาอสูร แต่เป็นเพราะนางมีพลังมากกว่า นั่นทำให้นางเป็นที่ต้องการ
“ไม่ต้องหรอก”
น้ำเสียงของซือหยูดูโดดเดี่ยว
ปิงหวูชิงยิ้มเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
เมื่อพูดจบนางเดินมาที่ข้างซือหยูและเข้าใกล้ยิ่งขึ้น นางยังปิดทางปิวหวูชิงอีกคนให้อยู่ด้านนอก ราวกับนางมาแทนที่ปิงหวูชิงอีกคน novel-lucky
ปิงหวูชิงแห่งเขาอสูรกำด้ามกระบี่จนแทบจะฝังลงในฝ่ามือแววตานางเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง จิตสังหารของนางกำลังก่อเกิด สิ่งที่ปิงหวูชิงแห่งตำหนักในทำนั้นทำให้ซือหยูไม่พอใจเขาแอบขยับขาออกห่างและเข้าไปใกล้กงซุนหวูซื่อ แต่ปิงหวูชิงก็ตามไปอีก ความตั้งใจของนางยิ่งชัดเจน
ศิษย์ตำหนักในเริ่มรู้สึกแปลกแล้วพวกเขาตัวแข็งทื่อและคุยกันผ่านจิต
“เกิดอะไรขึ้น?ศิษย์น้องปิงกับซือหยูเซี่ยน หรือว่านาง…”
“หยุดเหลวไหล!ศิษย์น้องปิงสูงส่งเพียงใดกัน? แล้วนางหยิ่งยโสเพียงใดกัน?”
“แต่แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นข้าตาฝาดหรือ…”
ผู้คนแตกตื่นเมื่อเห็นท่าทางที่ชัดเจนของปิงหวูชิงซือหยูขมวดคิ้ว หรือว่าปิงหวูชิงจะตั้งใจทำแบบนี้ เพื่อให้เขาเป็นศัตรูกับทุกคน? เพราะอย่างแรก นางทำให้ปิงหวูชิงจากเขาอสูรไม่พอใจ ต่อมานางยังทำให้เขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับทุกคน หลังเข้าแดนมณีไปจะไม่มีใครทำดีกับซือหยู และนางจะได้ใช้พลังของซือหยูด้วยตัวเองคนเดียว นางสังหารวิหคสองตัวด้วยหินก้อนเดียว ผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์นัก
ซือหยูรู้สึกหัวใจเยือกเย็นเหมือนโดนเข็มเหล็กทิ่มทะลุไปมันคือสัญญาณเตือนให้เขาระวังตัวและหันไปทันที มันมาจากเทียนหยู! นางยืนอยู่นอกกลุ่มคนและจ้องมองเขาไม่วางตา ดวงตาสดใสของนางเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไม่ปิดบัง นางส่งข้อความทางจิตตรงมาหาซือหยู
“ข้าส่งคนมาเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าเข้าใกล้ปิงหวูชิง!!เจ้าจะเสียใจที่ไม่ฟังคำเตือนของข้า!”
เขาถูกขู่มาหลายครั้งแล้วต่อให้เขาถูกปั้นมาจากโคลน เขาก็ต้องมีความรู้สึกอยู่บ้าง เขาตอบไปโดยไร้ซึ่งความสุภาพ
“เมื่อใดก็ได้”
แย่พออยู่แล้วหากเป็นความหึงหวงของบุรุษแต่ตอนนี้เขากลับเจอจากสตรี ช่างผิดแปลกนัก!
เทียนหยูไม่พูดต่อจิตสังหารในแววตานางเพิ่มขึ้น
ปิงหวูชิงหันไปมองและหัวเราะเบาๆ
“เจ้าอยากให้ข้าพูดกับนางเองไหม?”
“เรื่องอะไรกัน?”
ซือหยูถามอย่างเย็นชา
ปิงหวูชิงยิ้มสง่างาม
“ชี้แนะนางไม่ให้รนหาที่ตายยังไงเล่า”
ซือหยูจ้องปิงหวูชิงและหัวเราะหยาม
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าอยากเห็นรึไง?”
เขามั่นใจว่าปิงหวูชิงนั้นอยากจะสันโดษต่อผู้คน
นางไม่พูดเพียงแค่ยิ้ม ราวกับยอมรับที่เขาพูด
จากนั้นเองมิติสั่นสะเทือน รอยแยกมิติเกิดขึ้นที่เหนือที่นั่งโถงหลัก สตรีงดงามก้าวออกมา นางสวมชุดสีดำ
“ท่านเจ้าตำหนักม่อ!”
คนในโถงรีบทักทายนางเป็นเสียงเดียวกัน
ม่อเทียนฉวนตอบ
“ทุกคนจงลุกขึ้นหากมาถึงแล้ว พวกเราจะเริ่มนับคะแนนกัน”
ศิษย์บางคนลังเล
“ท่านเจ้าตำหนักม่อยังมีศิษย์พี่อีกหลายคนที่มีสี่ล้านคะแนนแต่ยังมาไม่ถึ…”
ม่อเทียนฉวนพูดตัดบท
“ไม่ต้องรอพวกนั้นถูกตัดทิ้ง! มัวชักช้าในเรื่องสำคัญอย่างแดนมณี ต่อให้พวกมันได้เข้าไป พวกมันก็จะรอดได้ไม่กี่วันก่อนตาย”
ผู้คนตัวสั่นอย่างแรงเมื่อได้ฟังนางเข้มงวดมาก แต่นั่นก็เข้ากับนิสัยของนาง
“ตำหนักแนะนำได้แค่ห้าสิบคนในการไปแดนมณีไม่รวมอีกแปดสำนักภายใต้เรา ผู้ที่อยู่นอกห้าสิบลำดับแรกถือว่าขาดคุณสมบัติ”
ม่อเทียนฉวนพูดต่อ
“ก่อนจะเริ่มเทียบคะแนนคนที่มีคะแนนต่ำกว่าสี่ล้านคะแนนจงออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
สี่ล้านคะแนนคือเงื่อนไขหนึ่งในการวัดความภักดี
มีเพียงศิษย์ที่อยู่ในตำหนักมานานตั้งแต่หลายปีจนถึงหลายสิบปีเท่านั้นที่จะเก็บสี่ล้านคะแนนได้คะแนนจำนวนนี้ตั้งไว้ก็เพื่อป้องกันการปะปนกับศิษย์หน้าใหม่
จากนั้นศิษย์ในจำนวนมากแสดงสีหน้ากังวลและเดินออกจากโถงไปตาม ๆ กัน พวกเขาจะมีโอกาสก็ต่อเมื่อมีคนมีคะแนนไม่ถึงสี่ล้านคะแนนน้อยกว่าห้าสิบคนเท่านั้น
ในโถงเหลือคนราวหกสิบคนในพริบตาเดียวคนเหล่านี้คือผู้ที่มีคะแนนสี่ล้านคะแนน ทุกคนเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมในตำหนัก เพราะมีเพียงแค่ศิษย์ยอดเยี่ยมเท่านั้นที่จะทำภารกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบและเก็บคะแนนมากมายเท่านี้ได้
ม่อเทียนฉวนเหลือบมองผู้คนจากนั้นนางก็มองคนที่คุ้นหน้าในนั้น “ทำไมเจ้ายังไม่ออกไปอีก?”
ม่อเทียนฉวนจ้องซือหยูอย่างไม่ประสงค์ดี
ซือหยูงุนงงเล็กน้อย
“ทำไมเล่า?”
เขาถามกลับไป