The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 989 - มงกุฎเมฆาม่วง
ศิษย์พี่หลิวตกใจในยามแรกแต่เมื่อเห็นว่าเป็นซือหยู เขาก็ยิ่งตกใจ
“เจ้าเองเรอะ?”
พอเขาคืนสติกลับมาเขาก็มองรอบ ๆ เมื่อแน่ใจว่ามีซือหยูคนเดียว เขาก็ทั้งตกใจและยินดี
“เจ้ามาคนเดียวรึ?”
เขาแทบจะไม่เชื่อว่าซือหยูจะปรากฏตัวออกมาคนเดียวเขาหงุดหงิดตั้งแต่ที่เขาระบุตำแหน่งซือหยูไม่ได้ในคราแรก
ซือหยูกอดอกถาม
“โอ้?ศิษย์พี่หลิวอยากจะเห็นข้าคนเดียว หรือกับคนอื่นด้วยล่ะ?”
ศิษย์พี่หลิวปลดใบไม้ที่อยู่กับตัวใบไม้นั้นเหี่ยวแห้งและกลายเป็นสีเหลืองในทันที มันเสียสีสันไป
เขายืนตัวตรงและไม่เก็บซ่อนความมุ่งร้ายเลยเขาหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ามันโง่หรือกำลังเสแสร้ง ศิษย์พี่เทียนหยูเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังกล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า แค่เรื่องนี้ยังไม่เป็นไร แต่เจ้าถึงกับกล้าพูดจาหยาบคายต่อหน้าข้า! ถ้าข้าไม่กำจัดเจ้าในวันนี้ มันก็รับไม่ได้แล้ว!”
ซือหยูเบื่อหน่ายเขาไม่ค่อยสนใจนัก
“อย่างนั้นหรอกหรือ?เจ้าไม่กลัวถูกเจ้าตำหนักม่อถามตอนที่ข้าถูกส่งออกไปรึ?”
ศิษย์พี่หลิวหัวเราะ
“เจ้าจะโทษใครก็ได้!จากที่ข้าเห็น ตอนนี้มีคนเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคนแล้ว”
“ตำหนักโลหิตนับว่าโชคดีแล้วที่ศิษย์ผ่านไปได้หลายคนเจ้าคิดว่าเจ้าตำหนักม่อจะทำให้เสาหลักที่ค้ำจุนสำนักต้องลำบากเพราะศิษย์ที่โดนคัดออกหรือ?”
หลิวถาม
มีคนถูกกำจัดไปแล้วมากมายดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะมีคนหมดสิทธิ์ไปแล้วเกินร้อยคน บางทีในบรรดาหกสิบคนจากตำหนักโลหิต จำนวนศิษย์ที่มีร้อยอันดับแรกจะน้อยกว่าที่คาด ด้วยเงื่อนไขนี้ แต่ละคนที่มีสิทธิ์ล้วนล้ำค่า เหตุใดม่อเทียนฉวนจะต้องเอ่ยปากเพื่อศิษย์ที่ไม่มีประโยชน์เล่า?
ซือหยูลูบคางสีหน้าเขาเหมือนกับได้บรรลุ
“โอ้เช่นนั้นเอง ขอบคุณศิษย์พี่หลิวที่ทำให้ข้าคลายกังวล”
หลิวน้ำเสียงดูถูก
“เจ้ามันแปลกนักพูดจาเหลวไหลแม้กำลังจะตาย! ข้าจะกำจัดเจ้าเดี๋ยวนี้!”
หลิวก้าวออกมาจากบึงและบินขึ้นฟ้าราวกับวิหคขนาดใหญ่มือขวาของเขามีพลังหนาแน่นของจ้าวเทวะระดับเจ็ด พลังนั้นกลายเป็นหอกยาวพร้อมจะทะลวงซือหยูทั้งแต่บนจรดล่าง
ซือหยูนิ่งไม่ไหวติงเขาสะบัดแขน กรงเล็บทมิฬเผยออกมา มันมีพลังภูติผีอันน่ากลัวจนทำให้ตัวสั่นอยู่ด้วย มีพลังอสูรเนรมิตรอยู่ในกรงเล็บนี้
ทันทีที่หลิวที่มีจิตสังหารฉาบทั่วใบหน้าสัมผัสพลังอสูรเนรมิตรได้เขาก็ชักสีหน้าทันควัน หอกยาวของเขาถูกดึงกลับ เขาตะโกน
“หยุดนะ!นั่นมันอะไร?”
เขาหวาดกลัวกรงเล็บนี้มาก
ซือหยูยกมือที่ถือกรงเล็บช้าๆ
“ทำไมกันนี่ก็สิ่งที่จะกำจัดเจ้าน่ะสิ ศิษย์พี่”
เขาพูดจบและซัดกรงเล็บออกไป
“กล้าดียังไง!”
หลิวตกใจโกรธแค้นในสายตาเขา ซือหยูเป็นแค่ศิษย์นอกที่บังเอิญรู้ภาษาไม้เล็กน้อย แต่ในด้านพลัง เขานั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป เขาสามารถเหยียบย่ำซือหยูได้ไม่ต่างกับมดปลวก ใครจะไปรู้เล่าว่าเขามีกรงเล็บที่ไม่รู้ที่มาและครอบครองพลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ คำขู่ของหลิวดังมาถึงซือหยูกรงเล็บซัดลงมาจากเบื้องบน กรงเล็บกรีดนภาลงมาเป็นรอยกว้าง เงากรงเล็บกว้างยี่สิบศอกซัดใส่หลิว
หลิวกรีดร้อง
“ลงนรกไปซะ!”
เขาขว้างหอกยาวในทันที
ปั้ง!
เสียงระเบิดแสบแก้วหูทำให้พื้นสั่นเมื่อสองพลังปะทะกันหอกยาวถูกกรงเล็บพังทลาย เงากรงเล็บซัดลงไปต่อ
ทุกสิ่งที่กรงเล็บเข้าปะทะต่างแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อเงากรงเล็บถึงตัวศิษย์พี่หลิวพลังก็เหลือน้อยเต็มที ศิษย์พี่หลิวซัดฝ่ามือทั้งสองข้างทำลายเงาพลังนั้นไป
การปะทะนี้พิสูจน์ว่าทั้งสองมีพลังเทียบเท่ากัน
เขาจ้องกรงเล็บที่ฝ่ามือซือหยู ซือหยูเสียใจเล็กน้อยเพราะในกรงเล็บนี้มีพลังอสูรเนรมิตรไม่มากนัก เขาใช้พลังมันไปมากในตอนที่สังหารเจ้าตระกูลเฉา เมื่อพลังลดลงก็ยากที่จะสังหารจ้าวเทวะระดับเจ็ด
ในตอนนี้พลังอสูรเนรมิตรจากกรงเล็บเหลือน้อยมากเว้นเสียแต่ตัวกรงเล็บที่แข็งแกร่ง
“ข้าสงสัยนักว่าเจ้ามีสมบัติแบบนั้นอยู่มากเท่าใดกันแน่”
หลิวทั้งรำคาญและแค้นเขาขยับมือทั้งสอง แสงประกายเหนือศีรษะ
ผนึกเทพ!
เขาคิดจะใช้ผนึกเทพ
ในภาวะปกติผนึกเทพคือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่จ้าวเทวะครอบครอง หากใช้ได้ มันจะทำให้จ้าวเทวะคนนั้นแข็งแกร่งที่สุด
ซือหยูกลัวผนึกเทพเป็นอย่างมากในตอนที่ต้องสู้กับจ้าวเทวะที่เก่งกาจแต่เมื่อผ่านการต่อสู้มามากมาย เขาสุขุมเยือกเย็นกว่าเดิม เขามองผนึกเทพของศัตรูที่กำลังจะถูกสร้าง
“ก็ได้ข้าจะลองพลังยันต์ดูสักหน่อย”
ยันต์เก่าลอยเหนือฝ่ามือซือหยูอย่างงดงามมันเปล่งแสงจ้า รอยดวงอาทิตย์สลักอยู่ที่กลางยันต์
ในตอนนั้นเองหลิวทีกำลังใช้ผนึกเทพได้สร้างผนึกดำสนิทที่มีวิหคขนาดใหญ่สลักเอาไว้ จงอยปากของมันเต็มไปด้วยฟันอัปลักษณ์ มันน่ากลัวมาก
เมื่อผนึกเทพปรากฏวิหคได้ขยับลูกตา มันบินออกจากผนึกเทพพร้อมกรีดร้องเสียงแหลม หมอกเมฆคล้อนเคลื่อนสั่นสะเทือน
ซือหยูได้ถูกเสียงกรีดร้องต้านกลับจนถอยไปสองก้าวเขาทั้งกังวลใจและใจเย็นลงไม่ได้ พลังของวิหคขนาดใหญ่ทำให้ซือหยูเสียความเยือกเย็นไป
“โจมตีวิญญาณรึ?”
ซือหยูตั้งคำถามวิหคตัวนี้แท้จริงมีผลต่อวิญญาณ ถ้าหากจะป้องกันตัวเอง พลังของวิหคจะทำให้เสียสติ
ในการประลองระหว่างยอดฝีมือแม้จะเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยก็ตัดสินผู้แพ้ชนะได้ การเสียสติไปชั่วขณะหนึ่งนั้นนับว่าส่งผลกระทบอย่างมาก
เมื่อซือหยูเสียสตินึกคิดศิษย์พี่หลิวตาเป็นประกายเย็นชา เขาพุ่งมาด้านหน้า นิ้วกลายเป็นกรงเล็บซัดเข้าใส่กะโหลกของซือหยู การสังหารนั้นไม่จำเป็น เขาเพียงแค่ต้องทำให้ชีวิตซือหยูเป็นภัยเท่านั้น
“เจ้ายอมรับชะตาซะเถอะ!จ้าวเทวะระดับแปดยังป้องกันผนึกเทพของข้าไม่ได้ เจ้าก็ต้องไม่ได้!”
เสียงของศิษย์พี่หลิวน่าสยดสยองเขายิ้มอย่างผู้กำชัย
“ลาก่อนศิษย์น้อง!”
แต่ก่อนที่เขาจะได้ซัดซือหยูแสงประกายก็ส่องสว่างที่ดวงตา มันเป็นเวลาพอดีกับที่เขามียันต์ในมือ
“นี่เป็นยามที่ต้องบอกลาจริงๆ ศิษย์พี่”
ซือหยูยิ้มมุมปาก
ตู้ม!
ยันต์ระเบิดออกแสงตะวันขนาดใหญ่ส่องประกายอย่างไม่มีที่มา แสงนี้ทะลุทะลวงหมอกหนาได้ในทันที มันเปล่งประกายรอบยอดเขาราวกับเป็นเวลากลางวัน
ก่อนที่ศิษย์พี่หลิวจะได้กระทบแสงดวงตาของเขามิอาจลืมได้เพราะแสงจ้า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซือหยูยืนอยู่ตรงหน้า เขากรีดร้องด้วยความตกใจกลัว
“ยันต์ฝ่ามือเทพดับสวรรค์เรอะ?เป็นไปไม่ได้!!”
มันคือวิชาหายากขององครักษ์แสงกระจ่างกระบวนท่าที่สองที่ยากจะมีคนบ่มเพาะจนสำเร็จ ยันต์นี้ผนึกฝ่ามือจันทราเอาไว้ ทำไมมันถึงมาอยู่ในดินแดนพรสวรรค์กัน? ก่อนที่เขาจะได้คิดไปมากกว่านี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ทำให้เขาคิดถึงความตาย หากภัยนี้เกิดขึ้น เขาก็เสียสิทธิ์ในแดนมณีไปแล้ว
“ไม่นะ!”
ศิษย์พี่หลิวเรียกพลังทั้งหมดมาเป็นเกราะปกป้องร่างกายอย่างไร้ความหมายซึ่งเกราะของเขาก็สลายไปอย่างง่ายดายด้วยแสงตะวันนี้
ศิษย์พี่หลิวโศกเศร้าและเสียดายเขาถูกพลังมิติโอบล้อมก่อนที่ตัวจะตาย เขาหายไปท่ามกลางหมอกควันเหลือเพียงสามเสี้ยวพลังเมฆาม่วง
เมื่อแสงกระจายหายสิ่งรอบข้างกลับมาปกคลุมด้วยหมอกอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ครึ่งยอดเขาสั่นสะเทือน หลายคนที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มหมอกถูกเผยตัว novel-lucky
ต้นกำเนิดของแสงนี้ทำให้พวกเขากดดันยิ่งกว่าเดิม
กู้ไทซูกับลู่จือยี่ยืนอยู่บนยอดเขาทั้งสองจ้องมองมายังทิศต้นแสง
“บึงลั่วหลานฝ่ามือเทพดับสวรรค์”
ลู่จือยี่เลิกคิ้วเบาๆ
“พวกเขตกลางแทรกซึมมาที่ดินแดนพรสวรรค์รึ?”
กู้ไทซูแววตาลึกล้ำเขากำลังคิดถึงสิ่งอื่น
“อาจจะไม่ใช่เขตกลางมีสิทธิ์แนะนำของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องส่งสายลับมาดินแดนพรสวรรค์”
“แต่ฝ่ามือเทพดับสวรรค์คือกระบวนท่าพิเศษขององครักษ์เขตกลางที่ไม่เคยเปิดเผยกับคนนอกนอกจากพวกมันก็ไม่มีใครบ่มเพาะได้แล้ว”
ลู่จือยี่ตอบกลับ
กู้ไทซูส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เคยเผยกับคนนอกก็จริงแต่ข้ารู้จักคนหนึ่งที่ใช้ฝ่ามือเทพดับสวรรค์ได้!”
“ใครกัน?” ลู่จือยี่เห็นแววตากู้ไทซูที่เปลี่ยนแปลงไปมันเป็นแววตาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูตื่นเต้นแต่ก็มีจิตสังหารและความเศร้าอยู่ด้วย ราวกับว่าเขาได้เจอกับศัตรูคู่แค้นที่ไม่ได้เจอมาเป็นเวลานาน
เท่าที่นางจำได้กู้ไทซูไม่เคยให้ความสำคัญกับใครที่มีฐานพลังเทียบเท่าเขา เขาไม่เคยพ่ายแพ้เช่นกัน แล้วทำไมเขาถึงมีศัตรูเล่า?
จู่ๆ คนผู้หนึ่งได้ปรากฏในใจลู่จือยี่ ถ้าหากจะมีใครที่เหนือกว่าลู่จือยี่ มันก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว
ณกระโจมเทพสวรรค์ กู้ไทซูเคยพ่ายแพ้มาก่อน และคนคนนั้น…ลู่จือยี่กัดฟันตัวสั่น ดวงตาอันงดงามของนางเต็มไปด้วยบางอย่างที่คล้ายกับความคาดหวังและความกลัว
“ข้าไม่แน่ใจแต่ถ้าไปถึงแล้ว เราจะได้รู้”
กู้ไทซูพูดอย่างเย็นชาเขาพูดเบา ๆ ใต้ลมหายใจ “ข้ารอเจ้ามานานแล้ว”
ไกลออกไปเทียนหยูกับปิงหวูชิงยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ พวกนางจ้องมาที่ต้นแสงเช่นกัน
“ฝ่ามือเทพดับสวรรค์รึ?ฮื่ม พวกเขตกลางช่างกล้านัก!”
เทียนหยูไม่พอใจ
ปิงหวูชิงยิ้มอย่างอ่อนโยนสง่างามนางเป็นคนเดียวที่รู้ว่าฝ่ามือเทพดับสวรรค์นี้คือฝีมือใคร
ดวงตางดงามของนางเปล่งประกายปิงหวูชิงครุ่นคิด
“เจ้าอยากจะไปดูพลังของคนผู้นั้นไหม?”
…
ไป่ชานเหลียงกำลังหัวเราะคิกคักเมื่อนับจำนวนพลังเมฆาม่วงเหนือศีรษะแต่จู่ ๆ เขาก็ต้องหันไปมองต้นกำเนิดแสง
“ฝ่ามือเทพดับสวรรค์รึ?แปลกมาก! เขตกลางไม่มีเหตุผลให้ส่งสายลับมาที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงการเปิดเผยตัวเลย พวกมันไม่กลัวยอดฝีมือจากดินแดนพรสวรรค์เลยรึไงกัน?”
ไป่ชานเหลียงกล่าว
“แต่ก็เอาเถอะพลังเมฆาม่วงของข้ามากพอแล้ว ข้าอาจจะต้องไปดูสักหน่อย”
ด้านนอกบุรุษเมฆาม่วงกับม่อเทียนฉวนได้เห็นความผิดแปลกที่พื้นที่ลับเช่นกัน
บุรุษเมฆาม่วงลืมตาเล็กน้อยและหลับตาอีกครั้งเขาไม่ได้สนใจนัก
“โอ้?ยันต์ฝ่ามือเทพดับสวรรค์รึ? ของหายากทีเดียว ข้าไม่รู้ว่าใครหาซื้อมันได้”
ม่อเทียนฉวนตอบ
“จะต้องเป็นจากตำหนักเมฆาม่วงของเจ้าตำหนักโลหิตข้าไม่ได้มีศิษย์ร่ำรวยมากนัก”
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเองศิษย์พี่หลิวถูกส่งตัวออกมา
ม่อเทียนฉวนถลึงตา
“เจ้าเป็นคนที่โดนฝ่ามือเทพดับสวรรค์รึ?”
หลิวมิอาจยอมรับความจริงที่ถูกจัดการได้แดนมณีคือโอกาสทองครั้งเดียวในรอบร้อยปี และมันก็เล็ดรอดผ่านนิ้วมือของเขาไปแล้ว! เขาตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยน!!ข้าจะชิงชังเจ้าไปชั่วชีวิต!!”
‘ทำไมถึงเป็นฝีมือซือหยูเซี่ยนอีกแล้ว?’ม่อเทียนฉวนคิด…
บุรุษเมฆาม่วงเริ่มสงสัยเช่นกันคนแรกเป็นถังหลิง ตอนนี้ก็เป็นหลิว ผู้ที่ชื่อซือหยูเซี่ยนกำจัดยอดฝีมือที่มีพลังสูงสุดของตำหนักโลหิตไปสองคน ถ้าเขาโชคดีในครั้งแรก ครั้งนี้เขาจะโชคดีเหมือนกันรึ?
“ฮ่าๆ เจ้าตำหนักม่อ ดูเหมือนว่าศิษย์ร่ำรวยจะมาจากสำนักของเจ้านะ”
บุรุษเมฆาม่วงหัวเราะ
ม่อเทียนฉวนไม่พอใจ “ซือหยูเซี่ยน!”
ถ้าเขาออกมาเมื่อใดนางจะต้องลงโทษเขาแน่นอน และที่สำคัญที่สุด นางอยากจะรู้ว่าเขาไปเอายันต์ฝ่ามือเทพดับสวรรค์มาจากไหน!
ในพื้นที่ลับซือหยูเก็บพลังสามเสี้ยวได้จากการกำจัดหลิว เขามีพลังสี่เสี้ยวแล้ว ทุกพลังเป็นของเขาคนเดียว หากรวมกับพลังที่เขามี เขาก็มีพลังอยู่ห้าเสี้ยวในมือ พลังทั้งห้านี้ก่อเกิดเป็นมงกุฎจาง ๆ
“เดี๋ยวข้าจะได้รู้ว่ามงกุฎนี่มีประโยชน์อะไรถ้ารวบรวมให้มันขึ้นรูปได้”
ซือหยูพูดการชิงพลังเมฆาม่วงนี้จะต้องเป็นวิธีการแข่งขันที่ตำหนักเมฆาม่วงมักจะใช้กับศิษย์ของตัวเองแน่นอน
ตามกฎพลังนี้สามารถตัดสินผู้แพ้ชนะได้ ดังนั้นมันก็ควรจะต้องเป็นรางวัลหรือบทลงโทษ
เขาเพียงแค่ไม่แน่ใจว่ามันคือรางวัลหรือบทลงโทษในการแข่งครั้งนี้
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนักซือหยูก้าวไปยังบึงข้างหน้าเพราะเขาจะได้เห็นว่ากงซุนหวูซื่อกับเหมยลี่ตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
กงซุนหวูซื่อกับเหมยลี่มีกรงกระดูกเป็นที่ป้องกันพวกนางน่าจะไม่เป็นอะไรไปสักระยะหนึ่ง แต่ศรแสงเลือดนั้นพุ่งเข้ามาไม่จบสิ้น ทั้งสองติดอยู่ในกรงจนหนีไม่ได้ง่าย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นแสงเลือดนั้นยังกระแทกเข้ากับกรงกระดูกอย่างต่อเนื่อง ทุกศรจะย้ำตำแหน่งเดิมจนทำให้ลูกธนูทะลุกรงกระดูกมาได้
กงซุนหวูซื่อเจ็บใจมากนางกัดฟันแน่นด้วยความแค้น
“ใครหน้าไหนกัน?แน่จริงก็ออกมาสิ!”
แต่ศัตรูซ่อนตัวอยู่ในหมอกหนาเขาไม่ปรากฏตัวให้เห็น เพียงแค่โจมตีกรงต่อไป
ที่คาดเดาได้ก็คือศัตรูน่าจะมีกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สามารถกำจัดพวกนางได้พร้อมกัน และเขากำลังเตรียมการอยู่ การยิงศรต่อเนื่องนี้ก็เพื่อยื้อเวลา
และก็เป็นอย่างที่คิดแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นในหมอกหนา พลังมหาศาลที่เตรียมใช้มานานกำลังจะถูกปลดปล่อย
กงซุนหวูซื่อรู้สึกถึงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ
นางยกหน้าไม้สวรรค์สร้างเล็งไปยังจุดที่เกิดแรงสั่นสะเทือนของพลังนางลั่นไกยันต์เพลิงออกไป
เพลิงร้อนมอดไหม้ทั้งฟ้าดินจะจ้าวเทวะระดับเก้าคนไหนก็ด้านทานไม่อยู่ แต่ลึกในหมอกหนา ม่านแสงเลือดได้ขวางกั้นทะเลเพลิงเอาไว้อย่างไม่ยากเย็น
กงซุนหวูซื่อเห็นร่างสูงร้อยศอกข้างหลังกำแพงเพลิงดวงตาของมันส่องประกายสีอำพัน สายตานี้เองที่ทำให้นางหวาดกลัว
“นั่นมันอะไรกัน?”
กงซุนหวูซื่อกับเหมยลี่อุทานพร้อมกันพวกนางคิดว่ากำลังต่อกรกับผู้เข้าคัดเลือกมาโดยตลอด แต่มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว!