The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 997 - แค้นจนกระอัก
“ไปดูเร็วเจ้าตำหนักม่ออาจจะเจอตัวคนร้ายแล้วก็ได้!”
บุรุษเมฆาม่วงคิดว่านางระเบิดจิตสังหารด้วยเหตุนี้
หลังจากฟาดก้นม่อเทียนฉวนซือหยูหนีไปทางยอดเขาที่สามทันที เขาคืนสติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงคำรามด้วยความแค้นจากร่องฟันของสตรี เขาจึงได้รู้ว่านางกำลังแค้นจนบ้าคลั่ง เพราะไม่เพียงเขาจะเปิดเผยพลังพิเศษเรื่องเวลา เขายังตีก้นนางไปอย่างแรงถึงเก้าครั้ง! ซือหยูแอบก่นด่าตัวเองในใจ ด้วยอารมณ์ร้อนของม่อเทียนฉวน เขาอาจจะฆ่าเขาที่นี่ก็ได้! ซือหยูจะไม่นั่งรอความตาย!
เคราะห์ดีที่ซือหยูสัมผัสรังสีพลังของผู้แข็งแกร่งหลายคนที่เข้ามาได้ซือหยูเปลี่ยนใจและบินไปทางพวกเขาทันที เขาเรียกคนเหล่านั้น
“บุรุษเมฆาม่วง!ช่วยด้วย! พลังภูติผีในร่างเจ้าตำหนักม่อกำลังจะระเบิดออกมา นางกำลังจะเป็นบ้า!”
บุรุษเมฆาม่วงไม่รู้ว่าซือหยูตะโกนแต่เขาชักสีหน้าทันทีเมื่อได้ยินเรื่องพลังภูติผีในตัวม่อเทียนฉวน
“โอ้ไม่นะมันกำลังจะแย่แล้ว!”
บุรุษเมฆาม่วงกระชากมิติด้วยมือข้างเดียวและทิ้งคนอื่นไว้เบื้องหลังเขาเคลื่อนย้ายตัวเองไปหาคนที่ตะโกน
เมื่อก้าวออกมาจากมิติเขามองคนต้นเสียงและผงะ
“เป็นเจ้าเองรึซือหยูเซี่ยน?”
เขาคิดกับตัวเองแต่ตอนนี้เขาคิดอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
“เจ้าแน่ใจนะว่าพลังภูติผีในตัวม่อเทียนฉวนจะระเบิดออกมา?”
เขาถาม
เรื่องที่ม่อเทียนฉวนบาดเจ็บจากพลังภูติผีสูงสุดของจักรพรรดิภูติผีเมื่อร้อยปีก่อนจนนางเลื่อนระดับพลังไม่ได้หาใช่ความลับต่ออสูรเนรมิตรแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครได้ยินว่าม่อเทียนฉวนจะเป็นบ้าเพราะมัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงจะต้องมีผลอย่างร้ายแรงแน่ ด้วยพลังของม่อเทียนฉวน หากนางเป็นบ้าขึ้นมาจริง เขาจะทำอะไรนางไม่ได้ ต่อให้รวมพลังทุกคนเข้าด้วยกันก็หยุดนางไม่ได้
ซือหยูพยักหน้ายืนยัน
“ใช่ข้าเห็นกับตาว่าพลังภูติผีที่บริสุทธิ์มากไหลออกมาจากร่างของนาง พลังมันแข ็งแกร่งและบริสุทธิ์กว่าพลังภูติผีของอสูรเนรมิตร!”
บุรุษเมฆาม่วงหน้าถอดสีเมื่อได้ฟังไม่ผิดแน่ มันคือพลังของจักรพรรดิภูติผี!
“เจ้าถอยไปก่อน”
บุรุษเมฆาม่วงราวกับเตรียมการเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งที่สุด
ซือหยูพยักหน้าอย่างว่าง่ายเขาไปหลบที่หลังบุรุษเมฆาม่วงทันที ไม่นานคนที่ดูแลแต่ละสำนักก็มารวมตัวกันหลังจากรู้เรื่องว่าม่อเทียนฉวนกำลังจะเป็นบ้าเพราะพลังภูติผี ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัว
“ถ้าหากนางเป็นบ้าจริงๆ นางจะฆ่าพวกเราทุกคนไหม?”
มีคนตั้งคำถามกับบุรุษเมฆาม่วงอย่างกระวนกระวายพลังอันน่าสะพรึงกลัวของม่อเทียนฉวนยังประทับอยู่ในจิตใจพวกเขา
บุรุษเมฆาม่วงลดเสียงลง
“ทุกคนจงจำอย่าลงมือ! เราจะเจรจากับนางก่อน เพราะถ้าพวกเราลงมือก่อน เราสองฝ่ายจะต้องสูญเสีย”
เขาพูด
หลายคนพูดไม่ออกมันจะเป็นอะไรได้หรือ? ต่อให้พวกเรารวมพลังกัน พวกเขาก็ไม่มีทางรับมือม่อเทียนฉวนได้ แน่นอนว่าพวกเขายินดีเสียยิ่งกว่ายินดีที่จะเลี่ยงการต่อสู้ ทุกคนจึงยอมรับตามบุรุษเมฆาม่วง และด้วยเหตุนี้ผู้คนจากทั้งสิบเจ็ดสำนักจึงร่วมมือกันราวกับต้องเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาเตรียมตัวเรียกอาวุธติดตัวออกมาเมื่อเตรียมต่อสู้กับม่อเทียนฉวนที่ ‘บ้าคลั่ง’
ปั้ง…ปั้ง…ปั้ง….
เกิดรอยแยกมิติม่อเทียนฉวนผู้สวมชุดดำก้าวออกมา ชุดของนางปลิวไสวตามแรงลมพัดแม้จะไร้สายลม เส้นผมดำสนิทของนางร่ายรำไปทางด้านหลัง ดวงตาสดใสของนางเต็มไปด้วยเพลิงแค้น นางกำลังถือกงล้อสีดำสนิทด้วยมือขวา มันคือจักรบินที่เลื่องชื่อ ม่อเทียนฉวนดูเหมือนจะคลั่งไปจริง ๆ และกลายเป็นสตรีอสูร แม้ซือหยูจะไม่ได้อธิบายมาก่อน บุรุษเมฆาม่วงกับคนอื่น ๆ ก็ต้องเชื่อสิ่งตรงหน้า
“เจ้าตำหนักม่อใจเย็นก่อนที่ท่านจะทำสิ่งที่จะต้องเสียใจ”
บุรุษเมฆาม่วงเหลือบมองจักรบินในมือม่อเทียนฉวน เขาสาปแช่งชะตาของตัวเองในใจ
‘นางถึงกับเอาสมบัติภูติของตัวเองออกมานางจะต้องบ้าไปแล้วจริง ๆ แน่!’
เขาคิด
คนสำนักอื่นตัวสั่นด้วยความหวาดผวาเช่นกัน
“เขาพูดถูกเจ้าตำหนักม่อ พวกเรามาคุยกันจะดีกว่า มันไม่จำเป็นต้องสู้ใช่ไหม?”
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“เจ้าตำหนักม่อโปรดใจเย็นลงก่อน ซือหยูเซี่ยนมีพรสวรรค์มากมายเช่นนี้ เขาเป็นคนที่หาได้ยากนะ”
ม่อเทียนฉวนมีจิตตั้งมั่นสูงสุดว่าจะต้องทำการสังหารแต่นางไม่คิดเลยว่าบุรุษเมฆาม่วงและคนอื่นรวมถึงผู้ดูแลทุกสำนักจะเข้าข้างซือหยู นางถึงกับตกใจ ซือหยูเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านี้ปกป้องเขาได้ยังไง? ม่อเทียนฉวนรู้ว่ามีเรื่องแปลกเกิดขึ้น แต่เมื่อนางสัมผัสถึงกลิ่นอายซือหยูได้ เพลิงแค้นของนางก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง นางทิ้งความสับสนนี้ไป
นางมองบุรุษเมฆาม่วงและคนอื่นๆ ที่มาหยุดนาง นางหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ถ้าเจ้าอยากจะเข้าข้างมันเจ้าก็ถือเป็นศัตรูม่อเทียนฉวนผู้นี้! ส่งมันมาให้ข้า มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!!”
จักรบินในมือขวาของนางกำลังส่งเสียงแหลมและหมุนช้าๆ
เมื่อมองสีหน้าป่าเถื่อนที่ไม่มีท่าทีจะประนีประนอมของม่อเทียนฉวนทุกคนก็ได้แต่ใจหาย มันจบแล้ว! นางบ้าไปแล้ว!
บุรุษเมฆาม่วงตะโกน
“เจ้าตำหนักม่อตื่นขึ้นมาสักทีเถอะ! ถ้าท่านไร้สติขนาดนี้ พวกข้าจะไม่มีทางเลือกนะ!”
ไม่เป็นไรหากนางจะสังหารซือหยูเซี่ยนแต่ม่อเทียนฉวนในตอนนี้ราวกับถูกพลังชั่วร้ายควบคุมจนบ้าคลั่ง ถ้าหากนางคิดจะสังหารหมู่ทุกคน ยอดฝีมือแห่งยุคนี้ที่มารวมตัวกันก็จะหนีไปไหนไม่รอด ทุกคนจะต้องตายไปอย่างไร้ความหมาย
“ไร้สติเรอะ?”
ม่อเทียนฉวนแค้นจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้นางถูกกดลงกับพื้นและถูกฟาดก้นด้วยฝีมือซือหยูเซี่ยน การล้างแค้นความอัปยศที่หนักหนาที่สุดในชีวิตถือเป็นความไร้สติได้ยังไง?
หากมองตามจริงม่อเทียนฉวนจะต้องสังเกตดูจากสีหน้าของบุรุษเมฆาม่วงและคนอื่น ๆ ได้บ้าง แต่ตอนนี้ ความเจ็บปวดที่ก้นของนางยังคงสั่นประสาทสัมผัสอยู่จนนางเสียความเยือกเย็นไปหมดแล้ว
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย!อย่ามาขวางทางข้า ไม่งั้นข้าจะละเลงนภาด้วยเลือดพวกเจ้า!”
ม่อเทียนฉวนกัดฟันดวงตานั้นมองตรงไปยังซือหยูราวกับจะฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินทั้งเป็น ซือหยูหนาวสั่นเมื่อเห็นดวงตานางเขากลืนน้ำลายลงคอและพูดเสียงดัง
“ท่านผู้อาวุโสเจ้าตำหนักของพวกข้าเป็นบ้าไปแล้ว! ถ้าหากไม่ลงมือจับนางตอนนี้ นางจะฆ่าทุกคนหากพลังชั่วร้ายระเบิดออกมา!”
บุรุษเมฆาม่วงกับคนที่เหลือเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะเจรจากับนางได้พวกเขาเหลือบมองหน้ากัน สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดในตอนนี้คือการเป็นฝ่ายลงมือก่อนเพื่อตัวพวกเขาเองและตัวศิษย์ที่เดินทางมา พวกเขาจะต้องจับตัวม่อเทียนฉวนให้ได้ก่อนที่พลังชั่วร้ายของนางจะกลืนกินนางไป พวกเขาหวังว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่รุนแรงนัก
“เอาเลย!”
บุรุษเมฆาม่วงชิงลงมือก่อนราวกับเจอกองทัพใหญ่ที่สุดในจิวโจว
“อย่าเหลือที่ให้นาางหนีรีบจับตัวนางให้ได้”
ม่อเทียนฉวนโกรธแค้นถึงขีดสุดและนางก็ได้ยินว่าซือหยูตะโกนบอกว่านางกำลังเป็นบ้า นางได้แต่ตกใจ
“เดี๋ยวก่อน!เจ้าบอกว่าใครเป็นบ้า?”
นานกว่าที่นางจะคิดได้นางรู้แล้วว่าทำไมคนจากทั้งสิบเจ็ดสำนักถึงมาปกป้องซือหยูจากนาง ซือหยูกุเรื่องว่านางเป็นบ้า! ม่อเทียนฉวนหน้ามืดจนเกือบจะสลบไปเพราะความคลั่งแค้น ซือหยูชั่วร้ายนัก เขากุข่าวปลอมใส่ร้ายนาง
“ซือ!หยู! เซี่ยน!”
ม่อเทียนฉวนคำรามผ่านร่องฟัน
แต่ก่อนที่นางจะได้พูดไปมากกว่านี้บุรุษเมฆาม่วงกับคนอื่น ๆ ได้พุ่งเข้ามาแล้ว
“พลังม่วงบูรพา!”
บุรุษเมฆาม่วงตะโกนด้วยเสียงแหบพร่าเขารวบรวมพลังอสูรเนรมิตรไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มงกุฎเหนือศีรษะหมุนวนอย่างรวดเร็ว มันพุ่งเข้าใส่นาง ม่อเทียนฉวนตะโกนด้วยความหงุดหงิด “ข้าไม่ได้บ้านะ!!”
บุรุษเมฆาม่วงกรีดร้อง
“ยอมจำนนเดี๋ยวนี้!”
ตลกสิ้นดี!คนบ้าที่ไหนจะบอกว่าตัวเองบ้าเล่า?
คนอื่นๆ จู่โจมตามบุรุษเมฆาม่วงเพื่อกำราบม่อเทียนฉวน แสงหลากสีตระการตาพุ่งตรงมาจากทุกทิศทางโดยมีเป้าหมายที่ม่อเทียนฉวน
ม่อเทียนฉวนเริ่มหมดความอดทน
“เจ้าพวกโง่เอ้ย!!” novel-lucky
บุรุษเมฆาม่วงตะคอก
“เจ้าตำหนักม่อตื่นได้แล้ว!!”
เมื่อเจอกับพลังของหลายคนม่อเทียนฉวนมั่นใจว่านางสามารถสังหารพวกเขาได้เป็นจำนวนมาก ปัญหาก็คือนางไม่ได้เป็นบ้า และนางรู้ว่าถ้านางโต้กลับ นางจะทำให้สำนักที่อยู่ภายใต้นางต้องเสียหาย กำลังของนางจะน้อยลงไปอีก หากมันเกิดขึ้น ปัญหาภายในของดินแดนพรสวรรค์จะทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องสูญเสีย และดินแดนมีดสวรรค์จะเข้ามาฉวยโอกาสได้
นางกัดฟันและไม่ใช้จักรบินนางใช้เพียงพลังอสูรเนรมิตรของตัวเอง
ปั้ง!ปั้ง!
พลังบุกที่นำโดยบุรุษเมฆาม่วงปะทะกับม่อเทียนฉวนมันเข้าปะทะกันจนฟ้าดินสั่นสะเทือน พลังวิญญาณของโลกปั่นป่วนวุ่นวาย มิติถูกฉีกกระชาก รอยแยกขนาดใหญ่อันน่ากลัวกลืนกินธาตุจากทุกทิศทาง เกิดความสั่นไหวขนาดใหญ่
แม้จะด้วยนิสัยใจร้อนม่อเทียนฉวนนั้นมิอาจใช้พลังเต็มที่ได้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บ ทั้งสิบแปดคนต่อสู้กันต่อไปสักระยะเพราะม่อเทียนฉวนถูกล้อม
ม่อเทียนฉวนปลดปล่อยพลังอสูรมหาศาลออกมานางกลายเป็นอสูรร่างยักษ์ที่รับมือกับการปิดล้อมด้วยมือทั้งสองข้าง นางตะโกนด้วยความรำคาญใจ “พวกเจ้าหยุดได้แล้วส!ถ้าข้าเป็นบ้าจริงพวกเจ้าก็ตายหมดแล้ว! พวกเจ้าจะยังสู้ต่อทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายผิดเรอะ?”
บุรุษเมฆาม่วงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดใช้พลังเขาสังเกตเห็นว่าม่อเทียนฉวนไม่ได้ใช้จักรบินในการต่อสู้ นี่ย่อมไม่ใช่พฤติกรรมของคนบ้า
หลายคนเริ่มหยุดในเวลาต่อมาพวกเขาจ้องมองม่อเทียนฉวนด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย
แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้สั้นๆ ม่อเทียนฉวนก็ต้านทานพวกเขาได้โดยไม่ใช้จักรบิน นั่นทำให้พวกเขาหวาดผวาอย่างมาก
พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าม่อเทียนฉวนมีพลังจะบดขยี้พวกเขาทุกคนในร้อยปีก่อน พลังของม่อเทียนฉวนเข้าใกล้การเป็นเซียนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ฐานพลังจะเท่าเดิม แต่นางก็กำลังแข็งแกร่งและไร้เทียมทานขึ้นไปอีก
ร้อยปีก่อนบุรุษเมฆาม่วงคงจะท้าทายม่อเทียนฉวนได้ แต่ดูเหมือนว่าถ้าหากทั้งสองประลองกันจริงในตอนนี้ บุรุษเมฆาม่วงคงจะพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าตำหนักม่อแน่ใจหรือว่าท่านบริสุทธิ์?”
บุรุษเมฆาม่วงถามด้วยความสงสัย
ม่อเทียนฉวนแค้นใจ
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเรอะ?พวกเจ้าถูกซือหยูเซี่ยนหลอก!”
เมื่อได้ฟังทุกคนหันไปจ้องหน้าซือหยูด้วยความไม่เชื่อสายตา
เมื่อต้องเจอกับสายตาของผู้ทรงพลังมากมายซือหยูนั้นดูเยือกเย็นและซื่อสัตย์ เขาชี้ม่อเทียนฉวน
“ท่านผู้อาวุโสยังสงสัยอีกรึ?พวกท่านเห็นกับตาว่านางเป็นบ้าและกำลังตามล่าข้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าตำหนักม่อยังไม่หายหรอก”
ม่อเทียนฉวนแววตาลุกโชน
“โกหก!!เชื่อข้าเถอะ ข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นพัน ๆ ชิ้น!” ซือหยูยักไหล่
“ข้าไม่ได้โกหกถ้าท่านไม่เป็นบ้า ทำไมท่านจะต้องมาตามล่าศิษย์อย่างข้าโดยไม่มีเหตุผลด้วยเล่า?”
ทุกคนรวมถึงบุรุษเมฆาม่วงเริ่มมองเห็นประเด็นถ้าหากม่อเทียนฉวนควบคุมตัวเองได้จริง แล้วจะมีความจำเป็นอะไรเล่าที่นางต้องมาตามล่าศิษย์ของตัวเองด้วยจิตสังหารมากมายเช่นนั้น? มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าซือหยูทำให้ม่อเทียนฉวนเสียสติ
“เจ้าก็รู้เป็นเพราะเจ้าตี….”
ม่อเทียนฉวนกลืนคำพูดลงคอทันทีถึงการพูดความจริงจะเป็นทางแก้กปัญหา แต่นางก็ยอมไม่เต็มใจที่จะบอกความอัปยศสูงสุดของตัวเองให้ใครฟัง! และอีกอย่าง ใครบ้างจะเชื่อนาง? คำอธิบายว่าภูติระดับเก้าจับนางที่แข็งแกร่งรองจากเซียนกดกับพื้นและตีก้นนั้นยิ่งทำให้นางดูเป็นบ้าเข้าไปใหญ่
เพราะด้วยพลังของนางแค่การมองของนางก็ทำให้ภูติระดับเก้าบาดเจ็บสาหัสได้แล้วการที่นางจะถูกจับกดกับพื้นและตีก้นนั้นเป็นไปได้ยังไง?
คำอธิบายเดียวก็คือม่อเทียนฉวนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ