The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 999 - ภาพเขียนเทพ
ซือหยูไม่เคยเจอกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อนถ้าหากสิ่งนี้มาจากห้าพันปีก่อน แค่โซ่เส้นเดียวก็มากพอแล้วที่จะสังหารซือหยูแม้จะผ่านม่านพลังของมิติเวลา
ขณะที่ซือหยูยังคงตัวแข็งทื่อความเยือกเย็นได้แพร่กระจายไปยังจิตใจ ข้อมูลที่ไม่คุ้นเคยผุดขึ้นมา
“มันคือผลของภาพเขียนเทพรึ?”
ซือหยูใจเต้นเร็วขึ้นเขาได้รับส่วนหนึ่งของพลังภาพเขียนเทพมาจากการโจมตีเมื่อครู่
เขาเก็บความดีใจและทำความเข้าใจมันทันทีเมื่อได้สัมผัสกับมัน เขาเกิดความเคลิบเคลิ้มที่เหมือนกับได้สัมผัสโลก จักรวาล และความลี้ลับข้างใน
มันเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับการได้อ่านตำราสวรรค์แรกที่กล่าวถึงความลับของทั้งจักรวาลความต่างเดียวก็คือตำราสวรรค์แรกนั้นมีความกว้างขวางกว่า มันเหมือนกับเป็นตำราที่เก็บโลกทั้งใบเอาไว้
ซึ่งเศษโซ่เหล่านี้บอกความจริงของฟ้าดินเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ซือหยูศึกษามันต่อไปเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าได้สัมผัสกับสิ่งหนึ่ง มันเหมือนกับการท่องไปยังความลึกลับ แต่เมื่อซือหยูกำลังจะได้รู้ความจริง หมอกหนาก็ได้เข้ามาขวางทางเขา สิ่งที่เขาได้รับจากความเจ็บปวดจบลงเพียงเท่านี้
“อะไรกัน!”
ซือหยูไม่ได้ผิดหวังเขากลับรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวัง ในครึ่งวันที่ผ่านมา มันเป็นเพียงไม่กี่ลมหายใจที่โลกภายนอก ผู้เฒ่าที่คุ้มกันด้านนอกอาจจะคิดว่าซือหยูยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำไป
เมื่อเขามองภาพเขียนอีกครั้งก็ได้เห็นเหตุการณ์แบบเดิมและโซ่ก็ได้ซัดใส่เขาอีกรอบ ปั้ง!
ซือหยูเจ็บปวดทั้งดวงวิญญาณอีกครั้งแต่เขาก็ไม่สนใจบาดแผลของตัวเองก่อนจะทำความเข้าใจสิ่งที่ประทับใจดวงจิตทันที เขาเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาได้รับในครั้งนี้แตกต่างกับคราวที่แล้วโดยสิ้นเชิง มันคือสัมผัสใหม่
เมื่อเขาศึกษามันจนจบซือหยูยิ่งรู้สึกว่าได้ก้าวขึ้นสู่ขั้นบันไดที่สูงกว่า
“มันคือวิชาเทพจริงๆ!”
ซือหยูแววตาเปล่งประกายหลังจากที่ได้บรรลุสองครั้ง เขารู้สึกว่าฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ที่ไม่พัฒนามานานเริ่มเปลี่ยนแปลง มันมีความหนักแน่นในพลังยิ่งกว่าเดิม ความเข้าใจในฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ
ความรู้สึกใหม่เหล่านี้เติมเต็มหัวใจราวกับว่าดวงวิญญาณของเขากำลังแข็งแกร่งขึ้นและประตูบานใหม่กำลังเปิดอ้าต้อนรับเขา
ก่อนที่จะมองภาพอีกครั้งซือหยูรักษาบาดแผลในทันที การบาดเจ็บทั้งสองครั้งทำให้ร่างกายซือหยูถึงขีดจำกัด ร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้าหากเขาถูกพลังนั้นซัดเข้ามาอีก แต่เมื่อมีเวลาจำกัด ซือหยูย่อมมิอาจใช้เวลาฟื้นฟูตัวมากเกินไปได้
ในตอนนั้นเองซือหยูตาลุกวาว เขาหยิบเอาขวดหยกที่มีของเหลวมากมายออกมา มันคือน้ำพุแห่งชีวิตจากจินมู่นั่นเอง แต่ละหยดนั้นจะเติมพลังชีวิตให้เขาอย่างมหาศาล มันจะทำให้เขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเหลือน้ำพุแห่งชีวิตถึงสามสิบหยด
การใช้หยดเดียวในแต่ละครั้งถือว่าสิ้นเปลืองเกินไปซือหยูจึงใช้ครึ่งหยดในแต่ละครั้งที่ต้องฟื้นฟูบาดแผล เมื่อบาดแผลเกือบจะหายดี เขาก็เริ่มศึกษาต่อ
เขาปะทะกับโซ่อีกครั้งและได้รับวิชาเทพเขารักษาแผลและเข้าปะทะกับโซ่ต่อไป
เป็นเช่นนี้วนเวียนไปเรื่อยมา
เมื่อถึงเวลาอัสดงเวลาหนึ่งวันเต็มไปผ่านพ้น ผู้เฒ่าจากตำหนักเมฆาม่วงรอด้านนอกเงียบ ๆ เขาพูดเบา ๆ ใต้ลมหายใจ
“อีกไม่นานเขาคงจะออกมาแล้วสินะถึงเวลาที่เขาจะเลิกหวังแล้ว”
ในตอนนั้นเองลำแสงห้าสายส่องประกายเหนือถ้ำอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ลำแสงนั้นก่อตัวเป็นร่างมนุษย์ตระการตาที่มีเส้นผมและดวงตาสีดำเขาสวมผ้าคลุมสีดำสนิทยืนตระหง่านบนฟ้า เขายิ่งใหญ่ราวกับจักรพรรดิเทพ
เนตรสีดำคล้ายกับสุริยันจันทราที่มองลงมายังพื้นโลกอันว่างเปล่า
ร่างนี้มีสีดำสนิทหัวจรดเท้าเขาส่องแสงที่คล้ายกับแสงเทพให้ผู้ที่อาบแสงได้เคารพบูชาราวกับได้พบกับเทพตัวจริง
ผู้เฒ่ามิอาจคิดสิ่งใดได้ต่อมาความตกใจก็ถาโถมเข้าใส่ เขาอุทาน
“ภาพเขียนเทพ!เขาได้แตะต้องสภาวะแปลงฟ้าแล้วเรอะ? เป็นไปไม่ได้! ยังไงก็เป็นไปไม่ได้! แค่วันเดียวสั้น ๆ จะไปถึงระดับที่กู้ไทซูบ่มเพาะมายี่สิบปีได้ยังไง!”
แต่เขาไม่รู้เลยว่าซือหยูนั้นบ่มเพาะมันไปสองร้อยครั้งด้วยพลังเร่งเวลากู้ไทซูนั้นบ่มเพาะเพียงแปดสิบครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นซือหยูยังพัฒนาตรงไปยังจุดสูงสุดของฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ที่กู้ไทซูไม่เคยทำได้ ในด้านของการบรรลุ ซือหยูรู้สึกว่ายังห่างไกลจากกู้ไทซู แต่ในโลกของการบ่มเพาะพลังนั้นสนใจเพียงแต่ผลลัพธ์ มิใช่วิธีการ novel-lucky
ด้านในถ้ำซือหยูมีรอยแผลเป็นและบาดแผลเต็มตัวจนดูเหมือนกับมนุษย์โลหิต น้ำพุแห่งชีวิตของเขาหมดไปในครึ่งทางของการบ่มเพาะ เขาต้องใช้โอสถฟื้นฟูในการรักษาซึ่งมีฤทธิ์อ่อนกว่าน้ำพุแห่งชีวิตมาก เขาฟื้นตัวจากโอสถเหล่านั้นได้เพียงสามถึงสี่ส่วน และเมื่อพยายามจนถึงที่สุด โอสถของเขาก็ได้หมดลง
จนสุดท้ายเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้โชคดีที่เวลาหนึ่งวันนั้นหมดลงไปเช่นกัน ถ้าหากการปะทะกับโซ่ยังเกิดขึ้นต่อไปเขาจะฟื้นฟูตัวไม่ได้อีก
ในหนึ่งวันเต็มนี้ฎีกาสวรรค์ของซือหยูเข้าสู่อีกระดับหนึ่งที่ไม่เคยมาถึง
ฎีกาสวรรค์ของเขาเป็นพลังแบบต่อต้านนั่นหมายความว่าเขาจะต้องก้าวข้ามผ่านขวากหนามและความยากลำบากทุกประการ
ต่อต้านความอยุติธรรมที่เขาต้องเจอคือฎีกาของเขา
ต่อต้านความอยุติธรรมบนโลกคือฎีกาสวรรค์ของเขา
ต่อต้านความอยุติธรรมของฟ้าดินคือฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเขา
นี่คือการเดินทางที่ซือหยูบรรลุในฎีกาของตนมันคือเครื่องบ่งบอกการเดินทางตลอดชีวิตของเขาด้วย
ตั้งแต่การต่อสู้กับชีวิตอันโสมมโลกอันไม่เท่าเทียม และสุดท้ายคือการต่อสู้กับความอยุติธรรมของจักรวาล ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเดินคือการบรรลุฎีกาของเขาเอง ในโลกเฉินหลงจักรวาลที่เขาต้องต่อสู้คือสวรรค์ที่กู้ไทซูเป็นคนสร้าง ดังนั้นแม้ว่าฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเขาจะแข็งแกร่ง มันก็ถูกจำกัดอยู่ด้วยโลกใบเล็กเท่านั้น
แต่ตอนนี้ซือหยูได้สัมผัสกับจักรวาลและโลกผ่านห่วงโซ่ ดังนั้นฎีกาสวรรค์ของเขาถึงก้าวข้ามขีดจำกัดไป
ด้วยฎีกาสวรรค์ที่เขามีนอกจากเขาจะถูกทั้งจักรวาลข่มเหงก็ไม่มีสิ่งใดที่จะกีดขวางเขาได้อีกแล้ว ไม่มีแม้แต่ค่ายกลหรือมิติใด ตราบเท่าที่เขาแสดงฎีกาสวรรค์ออกมา เขาจะต่อต้านและทะลวงได้ทุกสิ่ง พลังของเขาจะไร้ซึ่งขอบเขต!
สิ่งเดียวที่ทำให้ซือหยูสับสนก็คือภาพเขียนเทพที่อยู่เหนือศีรษะของเขา
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสิ่งมีชีวิตบรรลุสภาวะแปลงฟ้าภาพเขียนเทพจะปรากฏ มันบ่งบอกว่าวิถีแห่งเทพได้มาถึงแล้ว ความเข้าใกล้การเป็นเทพได้มาถึงแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือ เทพเนตรและเส้นผมทมิฬผู้นี้ก็คือเทพที่มีความคล้ายฎีกาสวรรค์ของซือหยู
ขณะนี้ซือหยูกังวลว่าภาพเขียนเทพนี้จะถูกผู้เฒ่าด้านนอกเห็น ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เขาไม่อยากจะสันดานของฎีกาตัวเอง
ถ้าหากใครก็ตามรู้ว่ามีผู้บ่มเพาะวิถีเทพอีกคนได้แตะต้องฎีกาสวรรค์แปลงฟ้าปัญหาใหญ่คงจะตามมาหาเขา
ฟึ่บ!
ซือหยูออกจากถ้ำทันทีลำแสงเหนือศีรษะและภาพเขียนเทพได้หายไป
เมื่อเห็นซือหยูและการหายไปของภาพเขียนเทพผู้เฒ่าจึงได้ตั้งสติ เขาพูดด้วยดวงตาสดใส
“หากเจ้าบ่มเพาะจบแล้วเจ้ากลับไปพักที่ยอดเขาที่สามได้ ข้าจะไม่ไปส่งเจ้า ลาก่อน”
ซือหยูแววตาเย็นชาทำไมผู้เฒ่าถึงปล่อยให้เขาออกไปกัน?
“ช้าก่อนท่านผู้เฒ่า ข้ามีคำถาม”
ผู้เฒ่าหน้าหมองเขาเลือกที่จะไม่หยุดและเร่งความเร็วขึ้น เขารีบวิ่งไปที่ยอดเขาที่เก้าด้วยความกระวนกระวาย ไม่ว่าจะอย่างวไร เขาจะต้องบอกข่าวอันน่าตกตะลึงนี้กับบุรุษเมฆาม่วง
ส่วนเรื่องที่ว่าบุรุษเมฆาม่วงจะจัดการอย่างไรนั้นย่อมไม่เกี่ยวกับเขา
แม้ว่าบุรุษเมฆาม่วงจะเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ผู้เฒ่าก็เกรงว่าเขาอาจจะรับมือกับคนอย่างซือหยูที่ตอนนี้ได้กลายเป็นศิษย์นอกที่ได้สัมผัสกับความเป็นเทพไม่ได้ มีเพียงกู้ไทซูคนเดียวและเป็นแค่เขาคนเดียวเท่านั้น! ดวงสุริยาสองดวงมิอาจอยู่ในน่านนภาผืนเดียวได้!
ซือหยูคิดว่าเป็นเช่นนี้เช่นกันแววตาเขาเยือกเย็นขึ้น แต่ผู้เฒ่าคนนี้เป็นถึงจ้าวเทวะระดับเก้าที่เร็วกว่าซือหยูมาก และเขากำลังจะหนีไป
ในตอนนั้นเองซือหยูสัมผัสได้ว่าเกิดคลื่นความร้อนที่แขนทั้งสองข้าง กล่องหยกลอยออกมา ร่างวิญญาณเองก็ก่อตัวขึ้นมาด้วย ร่างวิญญาณยืนมือไพล่หลังพร้อมออกคำสั่ง
“กลับมา!”
เหตุการณ์แปรเปลี่ยนผู้เฒ่าที่หนีไปถึงขอบนภาหยุดนิ่งราวกับถูกพันธนาการ จากนั้นเขาก็บินกลับมาเอง เขากำลังถูกควบคุม
ซือหยูตกใจร่างวิญญาณสามารถควบคุมจิตใจของจ้าวเทวะระดับเก้าได้เพียงการพูดคำเดียว นี่มันกลใดกัน?
ผู้เฒ่าบินกลับมาอย่างว่าง่ายและยืนต่อหน้าหยุนย่าสีโดยไม่ขยับเขยื้อนเทียบกับครั้งที่แล้ว ดวงวิญญาณของหยุนย่าสีนั้นมีความแจ่มชัดกว่าเดิม เขาอยู่ในระดับที่เหมือนกับมีโลหิตและร่างกายแล้ว แม้แต่ภายในเองก็มองทะลุไปไม่ได้ และในด้านพลัง เขายังแข็งแกร่งกว่าครั้งที่แล้ว
“เจ้าต้องบ่มเพาะร่างกายของเจ้าบ้าง”
หยุนย่าสีหันกลับมามองซือหยูด้วยความภูมิใจ ซือหยูดีใจมาก
“ท่านอาจารย์ออกมาจากการบ่มเพาะพลังแล้วหรือ?”
หยุนย่าสีมองซือหยูหัวจรดเท้ายิ่งมองซือหยูเท่าใดเขาก็ยิ่งพอใจเท่านั้น
ใบหน้าเขามีรอยยิ้มเบ่งบาน
“เจ้าเข้าถึงวิถีเทพได้จนน่าตกใจข้าจะไม่ออกมาแสดงความยินดีกับเจ้าได้อย่างไร?”
นี่เป็นครั้งแรกที่หยุนย่าสีหยุดบ่มเพาะและปรากฏตัวออกมาเพราะการเติบโตของซือหยู
“ฮ่าๆๆๆ ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะท่านที่ช่วยเหลือข้า”
ซือหยูพยายามประจบหยุนย่าสี
หยุนย่าสีส่ายหน้ายิ้ม
“ข้าไม่เคยชี้แนะเรื่องวิถีเทพกับเจ้าเจ้าทำได้เพราะเจ้าพยายามอย่างหนักด้วยตัวเอง ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย อย่ามาประจบประแจงข้า เจ้าจะไม่ได้อะไรกลับไปหรอกนะ” หยุนย่าสีเปิดโปงอุบายน้อยๆ ของซือหยูได้อย่างไม่ยากเย็น ซือหยูพูดไม่ออก ต่อหน้าวิญญาณดวงนี้ที่อยู่มานานจนบ่งบอกเวลาไม่ได้ เล่ห์กลใดย่อมไม่ได้ผล
“อีกก้าวเดียวเจ้าจะได้สัมผัสกับฎีกาสวรรค์แปลงฟ้ามันคือสภาวะที่เหล่าเทพเท่านั้นที่จะแตะต้องได้ แต่เจ้ากลับเป็นแค่ภูติในยามที่เดินทางมาไกลเช่นนี้ ข้าคิดผิดจริง ๆ ที่คิดว่าเจ้าเพียงแค่มีพรสวรรค์วิญญาณ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ในวิถีเทพอยู่ด้วย”
หยุนย่าสีพูดพร้อมถอนหายใจ
ตอนที่เขารับซือหยูเป็นศิษย์ในทีแรกเขาตั้งใจจะทำให้พรสวรรค์วิญญาณของซือหยูเติบโต เขาจึงถ่ายทอด ‘โอรสสวรรค์จ้องนภา’ ให้กับซือหยู แต่เมื่อซือหยูเปิดเผยพรสวรรค์จริงในด้านวิถีเทพมาแล้วจึงไม่แปลกใจที่หยุนย่าสีจะเวทนา
“ยิ่งเจ้าบ่มเพาะมันเท่าใดวิถีเทพของเจ้าจะยิ่งทรงพลังขึ้น และพลังจะไปถึงขีดจำกัดเจ้าจงใช้มันให้ดี”
หยุนย่าสีเตือน
เช่นเดียวกับวิชาเนตรสวรรค์เมื่อซือหยูมีพลังถึงจ้าวเทวะระดับหนึ่ง เขาจะทำให้มันแข็งแกร่งไม่ได้อีก
ซือหยูรู้ดีในเรื่องนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หยุนย่าสีใบหน้าประกายแสงสีแดงเขามองซือหยูราวกับได้พบสมบัติล้ำค่าโดยบังเอิญ มันทำให้ซือหยูอึดอัดใจ
“ฮ่าๆๆๆหากข้าออกมาแล้ว ข้าจะชี้แนะการบ่มเพาะของเจ้า”
หยุนย่าสีกำลังอารมณ์ดี