the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 433 ผู้บัญชาการกรมแกตายแล้ว
ที่จริงนายพลที่ดูแลเรื่องพลาธิการในแนวหลังสั่งการลงไป
ตรงๆ แบบนี้เป็นการละเมิดสายการบังคับบัญชาแล้ว แต่ว่าไม่มีใคร
พูดอะไรเพราะผู้ดูแลเรื่องพลาธิการในแนวหลังมักจะสนิทกับทาง
เบื้องบน
กองร้อยเจียนเตาไม่ได้หายตัวไปไหนแต่กำลังซ่อนตัวอยู่ในโรง
หลอมสัมฤทธิ์ที่พวกเขาไปเยือนก่อนหน้า ด้านหนึ่งคือคอยเฝ้าไม่ให้
ผู้อพยพในโรงงานหนีไปจนเผยที่อยู่พวกเขา ด้านหนึ่งคือแบ่ง
เสบียงกรังที่ปล้นมาจากสมาคมตระกูลจงให้พวกผู้อพยพเป็นการ
เอาชนะใจ
ตอนแรกทุกคนก็ใจหวาดๆ กลัวจะเกิดเรื่อง อย่างไรความคิด
ซ่อนตัวในโรงงานของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นถือว่าใจกล้ามาก แต่พวกเขาก็
ต้องแปลกใจที่ว่าไม่มีผู้อพยพคนไหนคิดจะปากสว่างเลย แต่ก็นะ
พวกผู้อพยพมีโอกาสเสียที่ไหนล่ะผู้อพยพบอกว่าปากสว่างไปก็ไม่คุ้ม ต่อให้พวกเขาพยายามหนี
ทุกวิธีไปรายงานกับสมาคมตระกูลจง พวกเขาก็ไม่ได้รางวัลอะไร
อยู่ดี
ชัดเจนว่าสมาคมตระกูลจงปฏิบัติต่อผู้อพยพอย่างโหดร้าย
เพียงไร
ผู้อพยพบางรายถึงกับขออาวุธจากพวกเริ่นเสี่ยวซู่เพราะอยาก
จะร่วมต่อสู้สมาคมตระกูลจงกับพวกเขาด้วย
จางเสียวหม่านย่อมปฏิเสธเป็นธรรมดา แต่เขาก็ถอนหายใจ
อย่างสะเทือนอารมณ์ “ถ้าอารยะอยากให้ผู้คนก้มหัวคุกเข่านัก
เช่นนั้นผู้คนก็จะให้อารยะได้รู้ว่าความโอหังอันป่าเถื่อนคือเยี่ยงไร”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองจางเสียวหม่านอย่างแปลกใจ “นาย
รู้หนังสือไม่น้อยนะเนี่ย”
“ไม่ใช่คำพูดฉัน” จางเสียวหมายหัวเราะเหอๆ แล้วว่า “เป็น
คำพูดของผู้บัญชาการจาง”
หลังจากพวกเขาปล้นอาหารมาได้สำ เร็จ กองร้อยเจียนเตาก็
มาซ่อนตัวในโรงงานอีกครั้งเพื่อรอโอกาสลงมือครั้งต่อไป ส่วนกรมทหารราบเองก็ไม่คิดว่ากองร้อยเจียนเตาจะกล้าขนาดซ่อนตัว
อยู่ใต้เปลือกตาพวกเขาแบบนี้
“ตอนนี้กองกำลังรักษาการณ์ของป้อมปราการ 144 คงหาตัว
พวกเราอยู่ ถ้าศัตรูมาโผล่แนวหลังเราด้วย ก็คงปวดหัวไม่ต่างจาก
พวกเขาแหง” จางเสียวหม่านยิ้ม
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันนั้น โรงงานก็ดำเนินงานไปตามปกติ
ต้องทำแบบนี้ถึงจะไม่ผิดสังเกต
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “สมาคมตระกูลจงต้องเข้ามาถามแน่ว่าแถวนี้
มีคนแปลกหน้าโผล่มาไหม ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะรู้ได้ว่าพวกเขา
แยกกำลังหาเราหรือว่ารวมพลหาเรา ถ้าพวกเขาแยกกำลังกัน
พวกเราก็จะฉวยโอกาสเข้าตีซะ”
ถึงนายพลที่ดูแลเรื่องพลาธิการแนวหลังที่ศูนย์บัญชาการ
จะกระฟัดกระเฟียดมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าสถานการณ์มันไม่ย่ำแย่
ขนาดนั้น พวกเขาพอเดาได้ว่ากองร้อยนี้น่าจะเป็นกองร้อยที่บังเอิญ
ข้ามแม่น้ำที่เขาเฉียงวานมา แต่ขอแค่ไม่ใช่กำลังหลักของ
ป้อมปราการ 178 ก็ไม่มีปัญหาอย่างไรกรมทหารหนึ่งก็มีความแข็งแกร่งกว่ากองร้อยหนึ่งนับ
สิบเท่า ใครชนะมันเห็นได้ชัดอยู่แล้ว
กรมทหารราบทิ้งกองพันหนึ่งไว้คุ้มกันป้อมปราการ 144 ส่วน
กองร้อยหลายกองก็ถูกส่งกระจายกันไปตามหาทั่ว จากแผนการที่
พวกเขาวางไว้ ถ้ากองร้อยใดเจอศัตรู ก็จะทำการถ่วงเวลาเรียก
กำลังสนับสนุน อย่างมากใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก่อนอีกสอง
กองร้อยจะเข้าล้อมศัตรูได้
แต่ไม่ถึงสองวันให้หลัง ศูนย์บัญชาการก็ได้รับรายงานว่า
กองร้อยจากกรมทหารราบรักษาการณ์ป้อมปราการ 144 นั้นถูก
ล้างบางไปแถมศัตรูยังคงลอยนวลอยู่ บ่ายเดียวกันของวันนั้น อีก
กองร้อยก็ถูกศัตรูสังหารเหี้ยน กองร้อยที่ถูกสังหารก็คือกองร้อยที่
กำลังไปสนับสนุนกองร้อยที่ถูกจัดการไปตอนแรก
ศูนย์บัญชาการตื่นตระหนก ไฉนสถานการณ์กลับกลายเป็น
แบบนี้? ไม่ใช่ว่าศัตรูมีแค่กองร้อยเดียวหรอกเหรอ แล้วพวกเขาจัด
การทหารสองกองร้อยของพวกตนได้อย่างไรผู้บัญชาการกรมทหารราบของสมาคมตระกูลจงไม่ใช่คนโง่
เขาสั่งเรียกรวมกำลังพลทันที ไม่ให้แยกย้ายกระจายกันต่อ
ผู้บัญชาการกรมถึงกับออกไปเยือนสนามรบด้วยตัวเอง แต่เขา
ก็ต้องแปลกใจที่ว่าศัตรูไม่มีผู้เสียชีวิตจากการรบรอบที่แล้วเลย พลัง
รบอะไรกันเนี่ย กองร้อยจากป้อมปราการ 178 นี้ต้องมีผู้มีพลังพิเศษ
อยู่แน่!
ผู้บัญชาการกรมยืนขมวดคิ้วอยู่บนสนามรบ ใจคิดว่า
จะจัดการปัญหาหอกข้างแคร่นี้อย่างไร หน้าที่สำ หรับการอยู่
ป้อมปราการ 144 ของเขาคือรักษาความมั่งคงให้กับงานพลาธิการ
และเสบียงกรังในแนวหน้า ถ้าปัญหานี้ยังแก้ไม่ได้ เขาคงไม่อาจ
รักษาตำแหน่งผู้บัญชาการกรมได้
แต่ทันใดนั้นก็มีหมอกสีชมพูระเบิดออกจากอกของ
ผู้บัญชาการกรม ทั้งร่างเขาสะท้านถอยหลัง
ทหารรอบตัวเขาตระหนก “มือสไนเปอร์! มือสไนเปอร์! ช่วย
ท่านผู้บัญชาการกรม!”แต่ผู้บัญชาการกรมปืนสไนเปอร์ยิงคาอกแบบนั้น เขา
จะรอดไปได้อย่างไร
พูดตามตรง สมาคมตระกูลจงยังไม่เคยสู้ในการรบหนักๆ
มาก่อน นายทหารระดับรากหญ้าส่วนใหญ่ระมัดระวังภัยมือ
สไนเปอร์ไม่เป็นด้วยซ้ำ ด้วยซ้ำ
แถมก็ไม่มีใครคิดว่าจะมือสไนเปอร์จะโผล่มาจริงๆ ทำไมทหาร
ชั้นยอดอย่างมือสไนเปอร์ถึงอยู่ในกองร้อยทหารราบได้ล่ะ
ป้อมปราการ 178 ส่งกำลังข้ามแม่น้ำมามากขนาดไหนกัน!
ขณะเดียวกันทางศูนย์บัญชาการของสมาคมตระกูลจงก็กำลัง
รอข่าวการกำจัดกองร้อยเจียนเตาอยู่ แต่เขากลับได้ข่าวผู้บัญชาการ
กรมเสียชีวิตแทน
ผู้นายพลที่ดูแลงานพลาธิการแนวหลังได้ข่าวก็สบถออกมา
เสียงดัง เขาเรื่องไปให้สำ นักกิจการทหารดูแลทันที นี่มันเรื่องใหญ่
แล้ว
ไหนยังต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการกรมคนใหม่อีก และต้องเป็นคน
ที่ใช้การได้ด้วย!ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าเขาเพิ่งฆ่าผู้บัญชาการกรมของ
กองกำลังรักษาการณ์ป้อมปราการ 144 ไป เขาก็แค่ลองหาจุดสูงที่
เหมาะสำ หรับบัญชาการการรบเฉยๆ แต่พอเขาเห็นผู้บัญชาการกรม
ผ่านกล้องสโคป ก็ตัดสินใจเล็งยิงอย่างเด็ดเดี่ยว
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่เร่งหนีออกจากจุดซุ่มยิงแล้ว เขาถึงกับ
ถามพระราชวับว่า “ทักษะการใช้ปืนฉันถึงระดับไหนแล้ว”
พระราชวังตอบ [ปรมาจารย์]
ไม่เลว ไม่เลวเลย เริ่นเสี่ยวซู่อารมณ์ดี ตั้งแต่ฆ่ามือสไนเปอร์ไป
สองคนในเทือกเขา ก็รู้สึกว่าทักษะของตนน่าจะพัฒนาแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เริ่นเสี่ยวซู่เลื่อนระดับทักษะของตนเป็น
ระดับปรมาจารย์ เขายังสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจอยู่เลย อย่างไร
เขาก็ได้มาด้วยฝีมือและการฝึกฝน ไม่ได้คัดลอกมาเฉยๆ
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ยิงนัดที่สองเพราะเห็นว่าทหารสมาคมตระกูล
จงมีปืนกลหนักด้วย ถ้าเกิดพวกเขาตั้งตัวทันและใช้ปืนกลหนักโจมตี
ใส่มาทางตำแหน่งเขาล่ะก็ เขาคงจบเห่แล้วหลังจากกลับมารวมตัวกลัพวกจางเสียวหม่านได้ จางเสียว
หม่านก็ถาม “สำ เร็จไหม”
“อืม ฆ่านายทหารไปคน” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ
“นายทหาร? ยศไหน” จางเสียวหม่านถาม
“คิดว่าฉันดูเป็นเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด อย่างไรกล้องสโคปเขาก็
ไม่ใช่เทวภัณฑ์ ระยะห่างไกลขนาดนั้น คนก็ไม่ต่างไปจากมดจิ๋ว
หรอก
จางเสี่ยวหม่านพยักหน้า ”อ่าฮะ ยังไงก็คงไม่ใช่คนสำ คัญอะไร
หรอก กลับไปกบดานในโรงงานกันก่อนดีกว่า”
รอบนี้พวกเขาซ่อนตัวเจ็ดวันรวด กองร้อยเจียนเตาไม่เห็น
ร่องรอยกองร้อยจากสมาคมตระกูลจงมาตามล่าหรือค้นหาพวกเขา
เลย จางเสียวหม่านเล่นมุก “ทำไมสมาคมตระกูลจงไม่ตามหา
พวกเราต่อแล้วล่ะ เริ่นเสี่ยวซู่ หรือว่านายฆ่าผู้บัญชาการกรมไปน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ใครมันจะไปโชคดีขนาดนั้น! ไม่ต้องไปคิด
เลย ไม่เห็นจะตั้งใจป้องกันมือสไนเปอร์สักกะนิด ฉันว่านายทหารนั่น
คงไม่ใช่คนในตำแหน่งสำ คัญอย่างผู้บัญชาการกรมหรอก”แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าปฏิกิริยาลูกโซ่เริ่มทำงานเพราะเริ่นเสี่ยว
ซู่ไปซุ่มยิงผู้บัญชาการกรมทหารราบเข้า
ถึงกับส่งผลกระทบต่อแนวหน้าด้วย
เป็นเพราะว่าตอนนี้สมาคมตระกูลจงสันนิษฐานว่าแนวหลัง
พวกเขามีทหารป้อมปราการ 178 แทรกซึมมามากกว่าหนึ่งกองร้อย