the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 109 ฉันอยากขอบคุณตัวเองอีกครั้ง
มีคนกำลังทะเลาะกัน ด้วยอยากรู้ว่าข้างหน้านั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกคนจึงไปมุงกันใหญ่ เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาเหยียนลิ่วหยวน “ซ่อนปืนไว้และรอฉันที่นี่ก่อน เดี๋ยวขอไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อื้อ” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สามารถปกป้องเขาตลอดเวลาได้ เหยียนลิ่วหยวนจำเป็นต้องเรียนรู้การปกป้องตัวเองและปกป้องผู้อื่น
เริ่นเสี่ยวซู่เบียดตัวเองเข้าไปในฝูงชน ด้วยพละกำลังร่างกายของเขาตอนนี้ พอเบียดเข้าไปทุกคนต่างโดนเขาแหวกไปหมด พอไปถึงจุดที่เกิดเหตุคนทะเลาะกัน เขาก็ได้ยินหวังอี้เหิงพูดอย่างดุร้ายว่า “ฉันบอกว่า ส่งอาหารของแกมา! พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”
“แต่ฉันก็หิวมากเหมือนกันนะ” ชายวัยกลางคนใส่แว่นที่ถูกปืนชี้ใส่หน้าอยู่พูดด้วยตัวสั่นเทิ้ม ดูแล้วเขาน่าจะไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อนในป้อมปราการ
ผู้จัดการตามโรงงานต่างๆ อย่างหวังอี้เหิง จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่อยู่อาศัยในป้อมปราการเช่นกัน ทว่าเพราะออกมาประจำการอยู่ข้างนอกเป็นระยะเวลานานมากแล้ว จึงบังเกิดความป่าเถื่อนของแดนรกร้างขึ้นมาอยู่บ้าง
พวกเขาต่างเป็น ‘ข้าหลวง’ ที่ถูกส่งออกมาจากป้อมปราการ เพราะมีปืนในครอบครอง จึงเหิมเกริมจนเป็นนิสัยไปแล้ว
ณ จุดนี้ ทุกผู้คนต่างร่อนลงมายังโลกอันไร้กฎเกณฑ์ จึงประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ป่า ทว่าเพิ่งไม่นานก่อนหน้านี้ เขายังอยากคุกเข่าร้องขอให้หลัวหลานพาเขาไปด้วยอยู่เลย
หวังอี้เหิงกล่าวกับคนข้างกาย “ค้นตัวเขาและก็เจ้าอ้วนอีกสองตัวข้างๆ นั่นด้วย กระเป๋าตุงไม่ใช่น้อย!”
คนที่อยู่ข้างหวังอี้เหิงคือคนงานที่โรงงานทราย จึงเคยชินกับการได้รับคำสั่งของหวังอี้เหิงแล้ว เพราะหวังอี้เหิงมีปืนติดตัว และก็เพราะคำสัญญาว่าจะช่วยพวกเขาลงหลักปักฐานที่ป้อมปราการ 109 หวังอี้เหิงจึงกลายเป็นแกนนำของกลุ่มไป
ให้ไปค้นตัวชาวป้อมปราการ? ผู้อพยพเช่นพวกเขาจะกล้าได้อย่างไร
เห็นว่าคนไม่ขยับ หวังอี้เหิงจึงว่าอย่างหัวเสีย “อะไร หูหนวกไปกันหมดแล้วเหรอ ฉันมีปืน วาจาของฉันคือกฎ ไปค้นตัวได้เลยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแหละ พวกเขาไม่มีปืนเสียหน่อย!”
เริ่นเสี่ยวซู่ฟังแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าในป้อมปราการเองก็มีกฎควบคุมปืนเช่นกัน หวังอี้เหิงจึงมั่นใจได้ขนาดนั้นว่าผู้อื่นไม่มีปืน
แล้วก็เห็นว่าผู้อพยพขึ้นมายืนข้างกายหวังอี้เหิงแล้ว หนึ่งก็คือว่าหวังอี้เหิงมีชื่ออยู่บ้างในเมือง และสองคือเขามีปืน
ตอนนั้นเอง ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งรุดหน้าขึ้นมาจากฝูงชน “หวังอี้เหิง ถ้านายวางปืนลงตอนนี้ดีกว่า แล้วพวกเราจะไม่กล่าวโทษนาย”
“หัวหน้าหม่า!” หวังอี้เหิงตกใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่”
หัวหน้าหม่าแค่นเสียง “อะไร คิดว่าพวกเราตายหมดแล้วเหรอ ส่งปืนมา!”
ปืน? หวังอี้เหิงก้มลงมองปืนในมือราวกับกำลังคิดพิจารณาอะไรอยู่ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกบนใบหน้า และยกปืนขึ้นยิงใส่หัวหน้าหม่าในทันควัน
ปัง!
หัวหน้าหม่าล้มลงจมกองเลือดทันที เขาไม่ทันมีโอกาสได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ เขาไม่ได้คิดเลยว่าหวังอี้เหิงจะยิงปืนออกมา!
ที่หวังอี้เหิงลังเลนั้นเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าหม่ามาอย่างยาวนาน แต่เขาก็ฉุกคิดได้ว่า ป้อมปราการ 113 ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว หัวหน้าหม่ามีอำนาจอะไรมาสั่งเขา!
หวังอี้เหิงว่าเสียงเย็น “ไม่มีป้อมปราการ 113 อีกต่อไปแล้ว พอเราไปถึงป้อม 109 ก็ล้วนเริ่มต้นใหม่กันหมด ฉันไม่ใช่ฆาตกรเลือดเย็น แต่ถ้าใครไม่ฟังคำสั่งของฉัน ก็อย่าหาว่าโหดร้ายก็แล้วกัน”
มีคนหนีมาจากป้อมปราการตั้งหลายพัน ต้องมีเจ้าพนักงานระดับสูงอยู่ในนั้นด้วยแน่ แต่ถึงมี ก็แล้วจะอย่างไรล่ะ พอออกจากป้อมปราการ 113 มา ก็ถือว่าตัวเปล่าแล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่ล่าถอย ตอนที่หวังอี้เหิงลงมือสังหาร ไม่มีผู้อพยพสักคนปริปาก นับแต่นี้ต่อไปหวังอี้เหิงน่าจะเหิมเกริมกว่าเดิมอีกเพราะมีพรรคพวกผู้อพยพของตัวเองหนุนหลัง
แต่เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเริ่นเสี่ยวซู่ล่ะ ไม่เกี่ยวแม้แต่นิดเดียว! ส่วนปืนที่หวังอี้เหิงพกไปมานั้น เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจแม้แต่นิด แต่ดูท่ายิงของหวังอี้เหิง ก็เรียกว่ามือใหม่เสียยิ่งกว่าใหม่สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ ถ้าหวังอี้เหิงยิงออกไปอีกไม่กี่นัด แรงถีบปืนคงทำเขาทำปืนหลุดมือแน่นอน
ระหว่างทางกลับไปหาเหยียนลิ่วหยวน เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นกลุ่มเด็กชายเด็กสาวใส่เครื่องแบบสีฟ้า พอเห็นประโยคเขียนที่หลังว่า ‘โรงเรียนมัธยมปลายที่สองแห่งป้อมปราการ 113’ เขาก็ผงะไป
พวกนักเรียนอย่างนั้นหรือ เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินจากจางจิ่งหลินมาก่อนว่าในป้อมปราการจะมีโรงเรียนอยู่หลายสิบแห่ง แบ่งเป็นประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย ในป้อมปราการใหญ่ๆ ถึงกับมีสถานที่อย่าง ‘มหาวิทยาลัย’ ด้วย
จางจิ่งหลินเคยพูดว่าเด็กวัยรุ่นวัยเดียวกันกับเริ่นเสี่ยวซู่นั้น จะได้นั่งเรียนในห้องเรียนสะอาดๆ และมีไฟสว่าง มีครูอาจารย์หลายคนเข้ามาสอนวิชาพื้นฐานต่างๆ ทั้งยังไม่ต้องออกไปทำงานนอกแดนรกร้าง ป้อมปราการถึงกับให้เงินสนับสนุนแก่พวกนักเรียนด้วยซ้ำไป
ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ รู้สึกอิจฉาสภาพแวดล้อมของนักเรียนพวกนั้นมาก ทั้งยังคิดว่าจะดีถมเถแค่ไหนถ้าเขาได้เกิดในป้อมปราการ
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เดินผ่านพวกนักเรียนมา พวกเขาก็หันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก พวกเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาเคยได้รับมาอย่างง่ายดายนั้น เป็นสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่อยากได้ยิ่งนักมาก่อน
พวกนักเรียนดูสั่นกลัวจากเสียงปืน หญิงสาวนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ พวกเขาพูดปลอบ “ไม่ต้องกลัวไปนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นครูจะจัดการเอง พวกเราหนีออกมาจากป้อมปราการได้แล้ว”
เป็นครูจากป้อมปราการเองหรอกเหรอ เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองครูสาวผู้นั้น และคิดว่าเธอดูดีกว่าจางจิ่งหลินอยู่หลายขุมเลย ถ้าพวกเขามีครูอย่างนี้ที่โรงเรียนบ้างนะ แม้แต่เด็กอย่างหวังต้าหลงคงตั้งใจเรียนขั้นสุด
เห็นนักเรียนเยอะแยะขนาดนี้แล้ว ก็นึกไปถึงภารกิจรองที่สองที่ได้รับมาได้ เหรียญคำขอบคุณหนึ่งพันเหรียญ! เมื่อก่อนเริ่นเสี่ยวซู่คงไม่กล้าคิดถึงหรอก เขาจะไปหาเหรียญคำขอบคุณมากมายขนาดนั้นมาจากไหนกัน
ตอนที่ได้ยินคำอธิบายภารกิจรองเป็นครั้งแรก ปฏิกิริยาแรกเลยคือจะไปหาจากโรงเรียนเอา ก็อย่างไรเสียภารกิจก่อนหน้าก็สำเร็จได้ด้วยเหรียญคำขอบคุณส่วนใหญ่จากพวกนักเรียนเอง
แต่ตอนนี้ป้อมปราการพังทลายไปแล้ว จึงหาช่องทางได้รับเหรียญคำขอบคุณอื่นๆ ไม่ได้เลย
เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ว่าตอนที่เขาฆ่าตัวทดลองนั้น เขาได้ขอบคุณตัวเองไปเจ็ดครั้ง ถ้าเขาขอบคุณตัวเองแล้วได้เหรียญด้วย ก็หมายความว่าเขาสามารถขอบคุณไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นภารกิจฉลุยสินะ
ตอนนี้ดาบทมิฬลอยล่องอย่างเงียบงันอยู่ในตู้แสดงที่พระราชวัง ถ้าเขาเพ่งสมาธิ ก็สามารถเสกมันออกมาที่มือได้ จนถึงตอนนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ยังจำความรู้สึกเปรมปรีดิ์ของการตวัดดาบครั้งเดียวก็ผ่าร่างพวกตัวทดลองได้ไม่ลืมเลย!
ขนาดรูปแบบพื้นฐานของดาบทมิฬยังแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพอปลดล็อกไปอีกขั้นแล้วจะขนาดไหน
ตอนที่เดินมาถึงจุดที่พวกเหยียนลิ่วหยวนอยู่ เขาก็ลอบขอบคุณตัวเองเสียงเบา เหยียนลิ่วหยวนดูเริ่นเสี่ยวซู่กระซิบกับตัวเองอย่างเงียบงัน “ฉันอยากขอบคุณตัวเองที่ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์”
“ฉันอยากขอบคุณตัวเองที่เลี้ยงดูเหยียนลิ่วหยวนมาจนถึงป่านนี้ได้”
“ฉันอยากขอบคุณตัวเองที่กินองุ่นไม่ปอกเปลือก”
เหยียนลิ่วหยวน “???”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ พระราชวังอย่างกับตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย!