the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 137 ตั้งแต่บุราณมาคนลุ่มหลงลาภสรรเสริญ
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 137 ตั้งแต่บุราณมาคนลุ่มหลงลาภสรรเสริญ
ชิ่งเจิ่นไม่คิดเลยว่าตนเองจะคลาดกับสูเสี่ยนฉู่เพียงแค่เสี้ยวนาทีเช่นนี้
แต่เขาไม่ใช่คนคิดมาก ในเมื่อพลาดโอกาสไปแล้วก็ปล่อยให้พลาดไป
“เข้าป้อมปราการกันเถอะ” ชิ่งเจิ่นว่าเสียงนิ่ง จริงๆ แล้วที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่สูเสี่ยนฉู่หรอก แต่เป็นว่าพวกผู้เฒ่าทั้งหลายจะลงโทษเขาอย่างไร หรือจะยึดอำนาจเขาไปอย่างไรมากกว่า
คนภายนอกไม่น้อยคิดว่าชิ่งเจิ่นเป็นผู้คุมบังเหียนของสมาคมตระกูลชิ่ง แต่จริงๆ แล้วเขาควบคุมเพียงแค่อำนาจการทหารบางส่วนเท่านั้น
เป็นเพราะว่างานภายนอกส่วนใหญ่นั้นชิ่งเจิ่นเป็นคนจัดการ คนภายนอกจึงคิดว่าชิ่งเจิ่นมีอำนาจมากในสมาคม
มีแต่ตัวชิ่งเจิ่นที่รู้ว่าพวกผู้เฒ่าในสมาคมไม่เคยเชื่อใจตัวเขาเลย เงาของสมาคมนั้นถูกเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า มีแค่ ‘ฉากหน้า’ เท่านั้นที่พวกตาแก่ในสมาคมสนใจ
ดั่งคำกล่าวที่ของสมาคมตระกูลชิ่งที่ว่า ‘ความรุนแรงเป็นวิธีการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ความรุนแรงนั้นย่อมไม่มีทางกลายเป็นความสงบเรียบร้อยได้’
ว่าง่ายๆ คือพวกเงาสมควรอยู่ในเงาใช่เปิดเผยตน
ตั้งแต่ชิ่งเจิ่นได้รับความสนใจจากการที่เขาไปเผชิญหน้าบริษัทหัวจ่ง พวกผู้เฒ่าในสมาคมก็อยากสะกดความหยิ่งผยองของเขามานานแล้ว จึงลงโทษกักตัวในที่พักและปลดอำนาจสั่งการของเขา
สู่หมานว่าเสียงค่อย “เจ้านายครับ พวกเราจะไปรายงานตัวที่กรมยุทธการพรุ่งนี้ คนของเราจะถูกแบ่งแยกแจกจ่ายไปตามกองกำลังต่างๆ หมด”
“ไม่เป็นไร” ชิ่งเจิ่นไม่ยี่หระ “ไปกันเถอะ”
“มีอะไรอยากให้ผมไปบอกคนอื่นๆ หรือเปล่า” สู่หมานถาม “ทำไมไม่ออกไปคุยกับคนของเราสักหน่อยล่ะครับ หรือไม่พวกเราก็บุกเข้าแดนรกร้างไปเลยก็ได้ พวกเรามีคนตั้งมาก ปืนก็มี อยากทำอะไรก็ทำ”
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ ส่ายหน้า “มีหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอกลับไปพบหน้าลูกเมียที่บ้าน อยากให้ฉันบอกพวกเขาว่าให้หันหลังกลับไปเอาชีวิตรอดในแดนรกร้างแทนอย่างงั้นเหรอ”
“พวกเขาพร้อมปฏิบัติตาม” สู่หมานว่า
ชิ่งเจิ่นเปิดประตูรถออก ตอนที่เขาออกมานั้น ทหารที่อยู่บนรถบรรทุกทหารก็ออกมาจากรถเช่นกัน ในเมืองพลันแออัดไปด้วยทหารหลายพันนาย ทำเอาผู้อพยพวิ่งหนีกระเจิงด้วยความตกใจ
“ท่านทั้งหลาย” ชิ่งเจิ่นพูดเสียงนิ่งขณะมองไปยังบรรดาทหารที่อยู่หน้าตน “หลังจากถูกโยกย้ายไปอยู่กองกำลังอื่นแล้ว ก็ทำให้เต็มที่ อย่าทำให้ผมขายหน้าล่ะ”
พอชิ่งเจิ่นพูดจบ ทหารพันนายก็เชิดหลังตรง กล่าวอย่างพร้อมเพียงว่า “รับทราบ!”
เหล่าทหารทราบดีว่าโชคชะตาอะไรรอพวกเขาอยู่
“กลับขึ้นรถ!” ชิ่งเจิ่นกลับขึ้นรถไปอย่างเฉยเมย
กองพันรักษาการณ์บนกำแพงเห็นเช่นนี้ก็ผวาไปเล็กน้อย ไม่มีผู้บัญชาการคนไหนในสมาคมตระกูลชิ่งมีอิทธิพลเท่าชิ่งเจิ่นเลย
หลังเข้าป้อมปราการไป ชิ่งเจิ่นก็กลับที่พักของตน หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยก็กลับมาใส่ชุดสูทสีขาวตัวใหม่ พร้อมสั่งให้คนนำชุดเก่าตัวเองไปเผาทิ้งซะ
พอกลุ่มคนชิ่งเจิ่นเข้าป้อมปราการมา ผู้มีอำนาจของสมาคมบางกลุ่มก็ชิงอำนาจสั่งการของเขาอย่างหิวโซ ทหารหลายพันนายถูกแบ่งสรรไปตามกองกำลังภายใต้ผู้มีอำนาจต่างๆ ทหารของชิ่งเจิ่นล้วนเป็นทหารกล้า ตอนนี้เหล่าคนใหญ่คนโตในป้อมปราการมีโอกาสได้ช่วงชิงกำลังส่วนหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไป
แต่ดูเหมือนว่าชิ่งเจิ่นจะไม่สนใจไยดีอะไร
พออาบน้ำเสร็จ ชิ่งเจิ่นออกมาหน้าที่พักของตน รถส่วนตัวที่จอดไว้หน้าบ้านของเขาหายไปเสียแล้ว ชิ่งเจิ่นยิ้ม “ถึงกับเอารถฉันไปเลยงั้นเหรอเนี่ย”
เขาออกไปข้างนอก แต่ทหารสองนายที่ทำหน้าที่เฝ้าเขาก็พูดอึกอักพูด “เถ้าแก่ชิ่ง ท่านออกจากบ้านไม่ได้นะครับ อย่าทำให้พวกเราลำบากเลย”
ชิ่งเจิ่นเลิกคิ้ว “พวกตาแก่บอกว่าไม่ให้ฉันออกจากป้อมปราการ 111 พวกเขาบอกตอนไหนกันว่าไม่ให้ฉันออกจากบ้านน่ะ เข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่า ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะออกไปฟังเพลงสักหน่อย ทุกคนในป้อม 111 รู้หมดแหละว่าฉันชอบฟังเพลง”
ทหารทั้งสองนายมองหน้ากัน เวลาแบบนี้เขายังมีอารมณ์ฟังเพลงอีกเหรอ หรือเถ้าแก่ชิ่งผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจะไม่ยี่หระกับสภาพการณ์ของตัวเองเลย? แต่กระนั้นทหารทั้งสองนายก็ไม่หลบทางให้ชิ่งเจิ่น
ชิ่งเจิ่นไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นก็มีกระสุนแล่นมาจากไหนไม่ทราบยิงใส่หินปูพื้นตรงหน้าทหารทั้งสอง มีสไนเปอร์ซุ่มยิงคอยคุ้มกันชิ่งเจิ่นอยู่!
ทหารทั้งสองนายรู้ดีว่าสไนเปอร์นายนั้นเมตตาพวกเขามากแล้ว ต่อให้พวกเขาจะถูกยิงตาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทางสภาบริหารไม่ลงโทษชิ่งเจิ่นมากมายอะไร
ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาตอนกำลังถ่ายโอนอำนาจสั่งการทางทหารหรอก!
ชิ่งเจิ่นมองทหารทั้งสองถอยไปอย่างสงบนิ่ง “ขอบคุณเถ้าแก่ชิ่งที่เมตตา”
“โอ้ ไม่เป็นไรๆ ไม่มีใครทำให้พวกคุณลำบากหรอก” ชิ่งเจิ่นหัวเราะและเดินออกไป
ตอนที่ชิ่งเจิ่นจากไปนั้น ทหารทั้งสองอดคิดไม่ได้ ทุกคนต่างรู้ว่าชิ่งเจิ่นมีไพ่ตายเก็บไว้เต็มไปหมด แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง
แต่ไม่ใช่ว่าสภาช่วงชิงอำนาจของชิ่งเจิ่นไปหมดแล้วหรอกเหรอ ทำไมถึงยังมีคนยอมติดตามผู้ที่สมาคมละทิ้งได้ล่ะ
พวกเขาได้ยินเสียงชิ่งเจิ่นฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะมุ่งหน้าไปยังย่านที่รุ่งเรืองที่สุดของตัวเมือง ทหารนายหนึ่งถามออกตอนที่ชิ่งเจิ่นเดินจากไปแล้ว “เถ้าแก่ชิ่งร้องเพลงอะไรน่ะ”
“ไม่รู้สิ พวกเรามีเงินไปฟังคอนเสิร์ตอะไรที่ไหนล่ะ” ทหารอีกนายก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพลงอะไร
เย็นวันนั้น ชิ่งเจิ่นเข้าโรงละครไป ทุกคนแตกกระเจิงราวกับเขาเป็นพิษร้าย เหลือแต่ชิ่งเจิ่นนั่งอยู่ในโรงและนักแสดงบนเวที
เขานั่งเท้าคาง ยิ่งดื่มเหล้า จิตใจยิ่งแจ่มชัด
ในโรงละครนี้มีแค่เสียงหวานและเศร้าลอยล่องกลางแสงไฟ
“ทางสามแพร่ง ทางสี่แพร่ง เหนือจรดใต้ทุกเช้าค่ำคนมายมาย
เช้าเดินทางเฝ้ากษัตรา เย็นจากมาอย่างเงียบงัน
ตั้งแต่บุราณมาคนลุ่มหลงลาภสรรเสริญ ศาลาสั้นน้ำไหลศาลายาวต้นไม้ดำรง…[1]”
ตอนนั้นเองก็มีคนเดินมาข้างหลังเขาแล้วกล่าว “ชิ่งเจิ่น ทางสภาบริหารมีเรื่องจะคุยด้วย ต้องการให้คุณไปหา”
ชิ่งเจิ่นยิ้ม “บอกพวกเขาว่าฉันไม่ไป”
…
ระหว่างทางกลับมาจากร้านขายเครื่องประดับ เริ่นเสี่ยวซู่วางแผนการในอนาคตไปด้วย ตอนนี้เขาขายทองที่ตัวเองมีอยู่ไม่ได้ เพราะจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ ไปเสียเปล่าๆ เขาเริ่มกังวลใจแล้วว่าตัวเองอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนทองคำเป็นเงินสดได้
เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ค่อยจะกระตือรือร้นเปิดร้านนักเพราะยังมีทองอยู่ แต่ตอนนี้ต้องคิดเรื่องเปิดกิจการอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว เขาคงไม่สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยเงินสนับสนุนนักเรียนอย่างเดียวหรอก
หรือเขาควรขายยาดำดี? แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากทำ อย่างไรเหรียญคำขอบคุณก็หายากกว่าเงิน
ขณะเดินไปเรื่อยๆ นั้น พอเงยหน้าขึ้นก็พลันเห็นว่าตัวเองมาถึงร้านแล้ว แต่พอเขาเข้าไป ก็เห็นหวังฟู่กุ้ยแอบลอบนำเสนออะไรบางอย่างให้ชายผู้หนึ่งอยู่
พอเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปใกล้ ก็ประหลาดใจที่เห็นว่าเขากำลังขายยาดำอยู่…
ดูจากสีหน้าของหวังฟู่กุ้ยแล้ว เขาคงไม่ได้นำเสนอวิธีการใช้ยาดำแบบปกติแหง แถมสีหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เผยความสัปดนอยู่
เริ่นเสี่ยวซู่สะท้อนใจ หรือเขาต้องกลายเป็นคนขายยาตลอดชาติ!
[1] ประพันธ์โดยหยางเซิ่น (杨慎) กวีสมัยราชวงศ์ถัง ปี ค.ศ. 1511 สมัยเจิ้งเต๋อแห่งราชวงศ์หมิง หยางเซิ่น สอบเข้ารับราชการได้เป็นลำดับที่หนึ่งจึงได้เป็นขุนนางสมดังใจ ต่อมาปี ค.ศ.1524 ชีวิตพลิกผันถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อจักรพรรดิหมิงซื่อจง(จูโฮ่วจ่ง) จนถูกเนรเทศไปยังถิ่นทุรกันดารแถบอวิ๋นหนาน(ยูนนาน)
การขึ้นเหนือหมายถึงการเลื่อนขั้น (เมืองหลวงของหมิงอยู่ปักกิ่งที่อยู่ทิศเหนือ) การลงใต้ก็ประดุจถูกลดตำแหน่งนั่นเอง (ในที่นี้คือการถูกเนรเทศ และยูนานก็อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้) ผู้ประพันธ์กวีตั้งการทอดถอนใจว่าชีวิตราชการไม่จีรัง ชื่อเสียงความมั่งคั่งรุ่งโรจน์เพียงชั่วขณะ