the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 150 ยัยคนโรคจิต
ดูจากสถานการณ์ หลัวหลานกับพรรคพวกนั้นน่าจะวางเส้นทางหลบนี้ไว้อยู่ก่อนแล้ว ที่เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยคือ ทำไมคนสำคัญของสมาคมตระกูลชิ่งอย่างหลัวหลานถึงดูคุ้นเคยกับระบบระบายน้ำของสมาคมตระกูลหลี่นัก
สมาคมตระกูลชิ่งวางสายลับในป้อมปราการนี้เยอะขนาดนั้นเลย หรือว่าสมาคมตระกูลชิ่งมีข้อมูลของสมาคมตระกูลหลี่มาตั้งแต่นานนมแล้ว
หยางเสียวจิ่นควักกล้องสโคปจากกระเป๋าส่งให้เริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่เบ้หน้า “คิดว่าฉันเป็นพลชี้เป้าของเธอเหรอไง ฝันไปเถอะ”
“ระยะทาง”
“…651 เมตร”
“ความเร็วลม”
“ครึ่งค่า 0.4 เมตรต่อวินาที”
สำหรับสไนเปอร์นั้น ลมจะมีสามแบบ ได้แก่ เต็มค่า ครึ่งค่า และไม่มีค่า
ลมเต็มค่าหมายถึงลมนั้นจะมีผลกระทบต่อวิถีกระสุน อย่างเช่นลมที่มาจากทิศสอง สาม สี่นาฬิกา สำหรับลมที่มาจากทิศหนึ่ง ห้า เจ็ด และเก้านาฬิกานั้น จะส่งผลกระทบต่อวิถีกระสุนครึ่งหนึ่ง จึงเรียกกันว่าครึ่งค่า ส่วนลมไม่มีค่าก็ตามดังชื่อ มันจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อวิถีกระสุน ลมแบบนี้มักจะพัดมาจากทิศหกและสิบสองนาฬิกา
เริ่นเสี่ยวซูพูดจบ ก็ดูหยางเสียวจิ่นคำนวณวิถียิงอย่างรวดเร็ว เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “เธอจะฆ่าหลัวหลาน?”
เกิดเสียงสนั่นหูเป็นการตอบของหยางเสียวจิ่น เสียงกระสุนที่จู่ๆ ก็ลั่นออกดังไปทั่วฟ้ารัตติกาล ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่เกือบสะดุ้งโหยง
เขาหันไปดูหลัวหลาน แล้วพบว่าหยางเสียวจิ่นไม่ได้ยิงใส่เขา แต่ยิงใส่รถออฟโรดที่พวกหลัวหลานเตรียมไว้ล่วงหน้าต่างหาก
ยิงพลาด?
พริบตาต่อมารถก็ระเบิดตู้ม เริ่นเสี่ยวซู่รู้ได้ในทันทีว่าหยางเสียวจิ่นไม่ได้ยิงพลาด เธอตั้งใจเล็งไปที่ถังน้ำมันของรถออฟโรดอยู่ก่อนแล้ว เธอถึงกับใช้กระสุนเพลิงยิงด้วยซ้ำ
มีแต่กระสุนประเภทพิเศษเท่านั้นถึงจะจุดไฟในถังน้ำมันได้ ไม่สไนเปอร์คนไหนเบื่อจัดจนใช้กระสุนเพลิงยิงคนหรอก
หลัวหลานที่เกือบจะถึงรถอยู่แล้วกระฟัดกระเฟียด แม่*ฝีมือใครว่ะ!
เขาเกือบจะถึงรถและเตรียมหลบหนีออกไปอยู่แล้วเชียว ตอนนี้รถกลับโดนคนระเบิดทิ้งแล้วเนี่ย! ใครมันบ้าขนาดทำแบบนั้นกัน ไม่มีรถ พวกเขาก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้! ทว่าหลัวหลานไม่มัวแต่อืดอาดต่อ รู้ดีว่าเสียงนี้ต้องดึงดูดความสนใจคนของสมาคมตระกูลหลี่มาแน่ เขาสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวให้ถังโจวและพรรคพวกกลับเข้าท่อระบายน้ำ
หยางเสียวจิ่นเก็บปืนของเธออย่างรวดเร็ว เริ่นเสี่ยวซู่มองอย่างทำตัวไม่ถูก พูดว่า “ออกมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้เพื่อพังรถของหลัวหลานเฉยๆ ทำให้เขาลำบากกว่าเดิมอะนะ”
หยางเสียวจิ่นมองเขาหน้าตาเฉย “ก็สนุกดี”
สนุก?! สนุกกะผีสิยัยคนโรคจิต! เริ่นเสี่ยวซู่เห็นทหารของสมาคมตระกูลหลี่เร่งมาปิดล้อมพื้นที่ ทันใดนั้นหยางเสียวจิ่นก็หันมายิ้มให้เขาแล้วพูด “โชคดีนะ”
ประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้นในเงาข้างกายหยางเสียวจิ่น เธอหันไปจับมือที่ออกมาจากประตูเงานั้น ก่อนจะหายวับไปคาตาเริ่นเสียวซู่
มือนั่น…ลั่วซินอวี่สินะ
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไม่สู้ดี…อีกแล้วเหรอ!
หยางเสียวจิ่นไม่แค่ทำให้หลัวหลานลำบาก เพราะหลังจากที่ยิงเปิดเผยจุดแล้ว เธอเองก็ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ลำบากด้วย!
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินคนตะโกนว่า “บนดาดฟ้าธนาคารมีสไนเปอร์!”
เหอๆ สนุกฉิบหายเลยโว้ย!
เขารีบพลิกตัวปีนลงจากตึก ถ้าไม่หนีตอนนี้ มีหวังโดนสมาคมตระกูลหลี่จับแน่!
…
เริ่นเสี่ยวซู่กลับร้านมาด้วยตัวโชกเหงื่อ เขาวิ่งมาตลอดทางจนถึงที่นี่ ขนาดศักยภาพทางกายตอนนี้ของเขายังรู้สึกเหนื่อยมาก
เขาไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่ปีนหลังคาแล้วกระโดดเข้าลานหลังร้านไป
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นหวังฟู่กุ้ยกับคนอื่นๆ รอเขาอยู่ในลาน เหยียนลิ่วหยวนเป็นคนแรกที่เข้ามาหาเริ่นเสี่ยวซู่ พอเห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน เหยียนลิ่วหยวนจึงวางใจได้ในที่สุด “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอพี่”
“บริษัทหัวจ่งมีปัญหากับผู้มีพลังพิเศษน่ะ บริษัทหัวจ่งไม่ประสงค์ดีจริงๆ ด้วย ผู้มีพลังพิเศษที่เข้าไปขายเลือดติดกับพวกเขาแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่เล่าให้พวกเขาฟังอย่างง่ายๆ
เจียงอู๋ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ปริปากอะไร ในฐานะที่หนีเข้าป้อมปราการ 109 มาพร้อมเริ่นเสี่ยวซู่ เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา
อีกทั้งเฉินอู๋ตี๋อ้างว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นอาจารย์ของเขา อาจารย์ของผู้มีพลังพิเศษย่อมเป็นผู้มีพลังพิเศษ
ในความเป็นจริง เจียงอู๋ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องผู้มีพลังพิเศษเท่าไรนัก จึงได้แต่ใช้การอนุมานเอา
เริ่นเสี่ยวซู่มองเจียงอู๋แล้วพูด “ครูเจียง น่าจะไม่มีอันตรายแล้ว เดี๋ยวผมให้เฉินอู๋ตี๋ไปส่งครูแล้วกันนะ”
“อืม” เจียงอู๋พยักหน้า
ตอนนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูร้าน เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว ตอนนี้ร้านปิดมาสองชั่วโมงแล้ว ใครกันมาเคาะประตู เขาไปที่หน้าประตูส่องผ่านตาแมว และเห็นว่าข้างนอกเป็นหลัวหลานกับคนของเขา เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตู แล้วมองหลัวหลานด้วยสายตาแปลกๆ “ทำไมกลิ่นหึ่งขนาดนี้ล่ะ”
หลัวหลานพาพวกถังโจวเข้าร้านมา ดูเขาจะไม่อยากบอกความจริง “ฉันล้มน่ะ ขอยาดำหน่อย มีคนบาดเจ็บ”
เริ่นเสี่ยวซู่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง “บาดเจ็บ? เห็นได้ยินเสียงระเบิดอยู่นะ เกี่ยวข้องกับพวกนายเปล่าเนี่ย”
“เลิกพูดไร้สาระ” หลัวหลานเกือบสะดุ้ง “พวกเราแค่ล้มเฉยๆ!”
จริงๆ แล้วหลัวหลานก็รู้แหละว่าหลอกใครไม่ได้เลย โดยเฉพาะคนฉลาดอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ ยิ่งไม่มีทางเชื่อคำพูดโม้ของเขาแน่
แต่หลัวหลานไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จะยอมรับเฉยๆ คงไม่ได้หรอก
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ เขาตั้งใจพูดแม้จะรู้อยู่แล้ว “เอ๋ นี่เดินกันมาถึงที่นี่เลยเหรอ รถนายไปไหนแล้วล่ะ”
หลัวหลานหน้าเบ้ “ส่งไปซ่อมบำรุง”
“ซ่อมบำรุงคือ?” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“ของอย่างพวกยานยนต์ขับไปสักระยะหนึ่งต้องมีการซ่อมบำรุง” หลัวหลานจ้องหน้าเขา “นายไม่รู้เหรอไง”
“ฉันไม่เคยมีรถนี่” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ
หลัวหลานหรี่ตามองเริ่นเสี่ยวซู่ “”อย่าบอกเรื่องคืนนี้ให้ใครฟัง ไม่งั้นฉันจะเปิดเผยเรื่องที่เฉินอู๋ตี๋เป็นผู้มีพลังพิเศษ
“ไม่บอกใครหรอกน่า” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างรำคาญใจ ก่อนจะหยิบยาดำออกมา เขาสำรวจคนที่หมดสติอยู่ แล้วสงสัยว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสองผู้มีพลังพิเศษที่ก่อเรื่องคืนนี้
หลัวหลานไม่กล้าพาผู้มีพลังพิเศษไปโรงพยาบาล เลยพาเขามาหาเริ่นเสี่ยวซู่แทน แม้พวกเขาสองคนจะเคยมีข้อหมางใจกันมาก่อน และหลัวหลานเองก็ไม่ชอบหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขารู้สึกว่าเวลาแบบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ดูน่าพึ่งพาได้มากกว่า
หลัวหลานดูไม่ค่อยเชื่อคำเขาเท่าไร แล้วถามว่า “เริ่นเสี่ยวซู่ ทำไมนายเหงื่อซกแบบนั้นล่ะ เพิ่งออกไปข้างนอกมางั้นสิ”
“เปล่านะ” เริ่นเสี่ยวซู่ชี้ไปที่จักรยานในลานแล้วว่า “กำลังเรียนวิธีขี่จักรยานอยู่แน่ะ ครูเจียงมาสอนให้เป็นการส่วนตัวเลย”
“อ้อ” หลัวหลานพยักหน้า “ครูเจียงอู๋ มาสอนพวกเขาขี่จักรยานงั้นเหรอ”
เจียงอู๋พยักหน้า ยิ้ม “ค่ะ พวกเขาไม่เคยขี่จักรยานมาก่อน”
เจียงอู๋ดูเป็นธรรมชาติมาก มองดูไม่รู้เลยว่ากำลังแสดงอยู่