the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 159 สะกดจิต
“ทุกคนคิดว่ามีอะไรแปลกไปกว่าปกติหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถามตอนกินข้าวเย็นกันอยู่
“มีอะไรแปลกไปจริงๆ แฮะ” หวังฟู่กุ้ยเช็ดปาก
เหยียนลิ่วหยวนพูด “เสียงโหวกเหวกตอนหลัวหลานพยายามชนะใจตงฟู่หนานไง”
คืนนี้ไม่ปกติเลย เพราะสองสามวันมานี้ ปกติหลัวหลานจะมาหาที่ร้านวันละสามรอบได้ แต่วันนี้ไม่โผล่มาเลยสักครั้ง
เริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วว่าหลัวหลานกับคนของเขาคิดจะปล้นโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่ คงไม่ได้ลงมือวันนี้หรอกนะ?
เขาถาม “รู้กันไหมว่าโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่อยู่ไหน”
“ทำไมเหรอ” เสี่ยวอวี้แปลกใจ “เหยียนลิ่วหยวนขอให้ฉันซื้อแผนที่ป้อม 109 มาเมื่อวานซืน เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้ บนนั้นน่าจะบอกนะว่าโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่อยู่ไหน”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเหยียนลิ่วหยวน ไม่คิดเลยว่าเขาจะเตรียมพร้อมได้ขนาดนี้
“ผมแค่รู้สึกว่าพวกเราไม่ค่อยคุ้นเคยสถานที่เท่าไรน่ะ มาที่ใหม่ๆ ก็ต้องหาแผนที่ก่อน” เหยียนลิ่วหยวนพูดขึ้น
เหยียนลิ่วหยวนพัฒนานิสัยแบบนี้ขึ้นมาเพราะอิทธิพลจากเริ่นเสี่ยวซู่ ก็เหมือนกับยามที่เริ่นเสี่ยวซู่ออกไปแดนรกร้าง ลำดับแรกต้องสังเกตและเข้าใจสภาพแวดล้อมก่อนถึงจะมีโอกาสมีชีวิตรอด
หกคนสุมหัวกันหาโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่บนแผนที่ป้อมปราการที่ใหญ่คลุมทั้งโต๊ะ หวังฟู่กุ้ยโพล่ง “เจอแล้ว อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสิบกิโลเมตร”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าป้อมปราการจะใหญ่เกินไปแล้ว สองสถานที่อยู่ห่างกันเป็นสิบกิโลเมตรยังถือว่าอยู่ใกล้
เขาสั่งการเฉินอู๋ตี๋กับเหยียนลิ่วหยวน “จับตาดูตงฟู่หนานให้ดี ระวังอย่าให้เธอสร้างปัญหาล่ะ” ขณะที่กำลังจะออกจากร้าน เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงดึงตัวเหยียนลิ่วหยวนมาหา พูดเสียงเบาว่า “ถ้าไม่มีอันตรายอะไรก็อย่าขอพรล่ะ”
“อืม” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่ในความเป็นจริง พวกเขาต่างรู้ดีว่าถ้าจำเป็นอย่างไรก็ต้องใช้พลังขอพร
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสร็จก็ออกจากร้านไป
…
พอฟ้าเริ่มมืด ในป้อมปราการจะครึกครื้น ชาวป้อมปราการรวมตัวกันที่โรงน้ำชาบนถนน ตลอดทั้งสายล้วนมีแต่เสียงคนเล่นไพ่นกกระจอก
ผู้ที่ร่ำรวยหน่อยก็ไปกินหม้อไฟ หม้อไฟมีน้ำซุปสีแดงอร่าม อุดมไปด้วยผักสดและเนื้อสัตว์ดูน่าลิ้มลองสุดๆ
ปัจจุบันนี้การได้กินอาหารในเหลาถือว่าเป็นเรื่องสูงศักดิ์ การที่คนผู้หนึ่งออกมารับประทานอาหารในเหลาบ่อยๆ ได้นั้น แสดงว่าคนผู้นั้นได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนไม่น้อย
เหล่าป้าๆ ยังคงออกมาเต้นในลานสวนสาธารณะราวกับไม่กลัวอากาศหนาว ขณะเดียวกันตามผับบาร์ต่างๆ ก็มีหญิงโสดชายโสดขี้เหงาเต็มไปหมด
เมื่อท้องนภามืดสนิท ผู้คนต่างแยกย้ายกันไป
ท่อระบายน้ำนอกโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่ถูกผลักออก ตามมาด้วยกองกำลังสามสิบนายอาวุธครบมือปีนขึ้นมา หลัวหลานเป็นหนึ่งในนั้น
พวกเขาใส่ที่เก็บเสียงให้กับปืน ทั้งยังปิดบังใบหน้า ทุกคนต่างเตรียมพร้อมมาอย่างดี
ไม่มีใครรู้ว่าชิ่งเจิ่นเตรียมคนของตัวเองไว้ในป้อมปราการ 109 ตอนไหน แต่เขานั้นบรรลุแจ้งกระจ่างโครงข่ายใต้ดินของป้อมปราการ 109 เรียบร้อยแล้ว ขนาดสมาคมตระกูลหลี่เองก็คงไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดซ่อนอยู่ใต้ดิน และก็คงไม่รู้ด้วยว่าข้างใต้นั่นมีอะไรบ้าง
ถังโจวพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “แยกเป็นสามทีม แล้วบุกเข้าไปตามที่วางแผนไว้”
ทหารครบหน่วยพลันแยกออกเป็นทีม มุ่งหน้าไปล้อมโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่
โรงพยาบาลจิตเวชที่สี่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยกว่าร้อยคน แต่พวกเขาสามสิบคนไม่กลัวแม้แต่น้อย เพราะพนักงานรักษาความปลอดภัยที่นี่ต่างเป็นแค่ทหารจากกองกำลังส่วนตัวเท่านั้น
หลัวหลานเดินเชิดหน้าตามพวกเขาไป ทหารสามทีมบุกเข้าโรงพยาลบาลดั่งมีดทมิฬคมกริบสามเล่ม
ทันทีที่กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งเข้าไป พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลก็ถูกกำจัดสิ้น
ทหารทั้งสามทีมรุดหน้าต่อ สุดท้ายก็มารวมเป็นหน่วยเต็มนอกอาคารหลักของโรงพยาบาลจิตเวช ถังโจวกระซิบ “อย่าเพิ่งรีบเริ่มโจมตี พอพบที่อยู่ผู้รับการทดลองหมายเลขสองเมื่อไรก็ล่าถอยทันที กำจัดทุกคนที่เห็นยกเว้นผู้รับการทดลองหมายเลขสอง”
จากข่าวกรองที่ได้มา ผู้รับการทดลองหมายเลขสองจะถูกผ่าทดลองคืนพรุ่งนี้ ทำให้พวกเขาต้องลงมือเดี๋ยวนี้เลยไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการณ์
ในโรงพยาบาลจิตเวชที่สี่มีผู้มีพลังพิเศษสองคนถูกคุมขังไว้ แต่จากข่าวกรองของเขา ผู้รับการทดลองหมายเลขหนึ่งอันตรายเกินไป ดังนั้นหลัวหลานจึงยอมแพ้จะรับคนผู้นั้นมา
ระหว่างที่พวกหทารบุกขึ้นอาคารไปนั้น พนักงานของโรงพยาบาลต่างก็ตะลึงที่เห็นโรงพยาบาลถูกบุก ที่สำคัญคือตอนนี้ในป้อมปราการมีแต่ความสงบสุข แม้บริษัทหัวจ่งจะสร้างปัญหาขึ้นมา แต่ก็ถูกขับไล่ออกจากป้อมปราการไปแล้ว
หลัวหลานที่อยู่หลังหน่วยทหารหัวเราะ “ไม่ต้องแสดงความเมตตา ฆ่าคนที่เห็นคนอื่นเป็นหนูทดลองไม่มีอะไรผิดหรอก”
ตอนนี้ใบหน้าของหลัวหลานเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือ
คนไม่น้อยต่างคิดว่าเขาเป็นคนไร้ค่า เป็นแค่ลูกนอกสมรสที่รู้จักกันในนาม ‘พี่ชายของชิ่งเจิ่น’ แต่คนในป้อมปราการ 113 ร่วมไปถึงชิ่งเจิ่นและคนของเขาต่างทราบดีว่าหลัวหลานไม่เคยและไม่ใช่คนขี้ขลาด
ร่วมรบในสนามรบเล็กๆ นั้นก็เคยมานับไม่ถ้วนแล้ว บางคนถึงกับรู้สึกว่าหลัวหลานเองก็มีโลหิตความบ้าคลั่งไหลเวียนอยู่ไม่ต่างไปจากน้องชายเขาเลย
ตอนที่พวกเขาผ่านห้องข้อมูล หลัวหลานก็เดินเข้าไปข้างในและเจอข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับทดลองหมายเลขหนึ่งเข้า เป็นเทปวิดีโอเก่าๆ สามม้วน
เขาค่อยๆ ใส่เทปเข้าไปในเครื่องเล่นวิดีโอของห้องข้อมูล จากนั้นก็เปิดโทรทัศน์ขึ้น
ในเทปมีบันทึกสามคลิป เขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวนั่งอยู่ในห้องสอบสวน ตรงหน้าเขาคือแพทย์ในชุดกาวน์สีขาว
ฉับพลันชายหนุ่มถามขึ้น “คุณเห็น ‘ผม’ ไปที่ไหน”
“ผมถามว่าคุณเห็น ‘ผม’ ไปที่ไหน”
“อะไร อย่าเปิดปากแล้วไม่พูดอะไรสิ”
“นี่ คุณตรงนั้นน่ะ คุณเห็นว่า ‘ผม’ ไปที่ไหนไหม”
หมอไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชายหนุ่มค่อยๆ ก้มหน้าลง “โอ้…ขอโทษที ‘ผม’ หาไม่เจอเลย”
ชายหนุ่มนั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ตกอยู่ในภวังค์
หลัวหลานยืนอยู่หน้าโทรทัศน์ มองฟุตเทจอย่างเงียบๆ ไม่รู้ทำไม แต่เขารู้สึกว่าชายหนุ่มราวกับนั่งอยู่ในมุมสุดขอบโลก จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือนไป จนสุดท้ายเขาก็จะไม่หลงเหลืออะไรเลย
เป็นความเดียวดายอย่างแท้จริง
…
วิดีโอที่สองเป็นบันทึกการรักษา นักสะกดจิตของโรงพยาบาลพยายามจะสะกดจิตชายหนุ่ม ในวิดีโอ เขาดูสบายดีกว่าเดิม
นักสะกดจิตพูดกับชายหนุ่มว่า “หลับตา…ผ่อนคลาย…ลองจินตนาการว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ และโลกรอบกายค่อยๆ มืดลง…”
“อุโมงค์นี้คุณรู้จักดี คุณวิ่งไปทางขวา ก่อนจะเห็นแสง ณ ปลายอุโมงค์ พอคุณเข้าหาแสงแล้ว…คุณจะไปถึงสถานที่ที่คุณต้องการอยู่ นับ 3… ”
“…2…”
“…1…”
ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น นักสะกดจิตถามอย่างประหลาดใจ “ลืมตาขึ้นมาทำไมน่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วตอบ “ผมวิ่งไปผิดทาง”
…
วิดีโอที่สามของบันทึกการรักษาด้วยการสะกดจิต
คราวนี้นักสะกดจิตกล่าวกับชายหนุ่มว่า “หลับตา…ผ่อนคลาย…จินตนาการว่าตัวเองถูกน้ำทะเลอันอบอุ่นโอบล้อมไว้ คุณล่องลอยไปตามผิวน้ำ ผ่อนลมหายใจ พอคุณจมไปยังก้นทะเล คุณก็จะพบสถานที่ที่คุณต้องการอยู่ นับ 3…”
“…2…”
“…1…”
แต่เหตุการณ์อันน่าตกตะลึงก็เกิดขึ้น รอบนี้เป็นนักสะกดจิตคนนั้นที่หลับไป!
และก็เห็นเป็นภาพชายหนุ่มที่เผยรอยยิ้ม