the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 169 สอนสั่งตงฟู่หนาน
ช่วงเช้าตรู่ของวัน เริ่นเสี่ยวซู่ตรวจสอบกับพระราชวังและเห็นว่าภารกิจช่วยเหลือผู้ทุกข์ตรมที่กำลังหลบหนีนั้นสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
[ภารกิจสำเร็จ รางวัลพละกำลัง 1.0 แต้ม]
ในที่สุดรางวัลเพิ่มสมรรถภาพทางร่ายกายที่รอมานานก็มาเสียที ช่วงที่ต่อสู้กับก่อนอรุณเมื่อคืน เริ่นเสี่ยวซู่ยิ่งได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของการมีร่างกายที่ดี
ระหว่างการต่อสู้สิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคือพละกำลังและความเร็ว ถ้าเขามีพละกำลังและความเร็วเหนือกว่าคู่ต่อสู้อย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายก็จะไม่มีโอกาสได้ใช้พลังพิเศษ
อีกทั้งร่างแยกเงาเองยังมีพลังเท่ากับสองเท่าของตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองด้วย มีความเร็วและพละกำลังเป็นเท่าทวี ยิ่งร่างกายของเริ่นเสี่ยวซู่ดีเท่าไร ก็หมายความว่าร่างแยกเงาจะเร็วและแรงมากขึ้นเท่านั้น! ถ้าพละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่เพิ่มขึ้นหนึ่ง ร่างแยกเงาก็จะเพิ่มขึ้นสอง
ตอนนี้พละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่มีอยู่ 8.5 แต้ม ส่วนความคล่องแคล่วมีอยู่ 5.1 แต้ม ถ้าเจอผู้มีพลังพิเศษของก่อนอรุณสองคนนั้นเวลานี้ ทุกอย่างน่าจะง่ายขึ้นมาก
แต่เขาจำได้ ตอนที่เพิ่งแยกกับสูเสี่ยนฉู่เมื่อวานนั้นภารกิจยังไม่สำเร็จเลย ดูเหมือนว่าสูเสี่ยนฉู่จะออกจากป้อมปราการ 109 ไปได้แล้ว พระราชวังจึงให้ผ่านภารกิจ
ทว่าก่อนหน้านี้เขาแค่แสดงทัศนคตินิดหน่อยภารกิจก็สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมรอบนี้ถึงไม่เหมือนเดิมล่ะ หรือว่าพระราชวังเองก็รู้สึกผิดที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำให้สูเสี่ยนฉู่เป็นแพะมาตลอดเหมือนกัน
และที่เริ่นเสี่ยวซู่ยินดีคือแม้เหยียนลิ่วหยวนจะใช้พลังขอพร แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บป่วยอะไร ที่จริงเมื่อคืนเหยียนลิ่วหยวนก็อธิษฐานตามปกติ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่จะไปห้ามปรามอะไรได้ด้วย เพราะเหยียนลิ่วหยวนทำไปเพราะเป็นห่วงเขาจริงๆ
เมื่อคืนตอนอยู่ในตรอกเริ่นเสี่ยวซู่จะลองหลบกระสุนแทนที่จะใช้ร่างแยกเงามาบังก็ได้ แต่เขากลัวว่าโชคจะส่งผลกระทบต่อเหยียนลิ่วหยวน เขาเลยไม่เสี่ยงดีกว่า ในเมื่อเหยียนลิ่วหยวนยังปกติดี แสดงว่าที่หยางเสียวจิ่นปรากฏตัวในการต่อสู้นั้นไม่ใช่เรื่องโชคลาภนำพา
เริ่นเสี่ยวซู่มองตงฟู่หนานที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าจะรับมือผู้หญิงคนนี้อย่างไร
หวังฟู่กุ้ยถามเริ่นเสี่ยวซู่ “ตอนพวกเธอไปโรงเรียนกันหมด เฉินอู๋ตี๋จะอยู่ได้ไหมเนี่ย”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนถามว่า “กลัวว่าเขาจะฆ่าเธอเข้าใช่ไหม”
หวังฟู่กุ้ยหัวเราะ “ช่างเถอะ”
หลังกินข้าวเช้ากันเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็นั่งรถรางไปโรงเรียนคนเดียว ส่วนหวังต้าหลงกับเหยียนลิ่วหยวนนั้นขี่จักรยานไปด้วยกัน ตอนเช้าเริ่นเสี่ยวซู่สั่งให้หวังฟู่กู้ไปหาซื้อจักรยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่ากำไรยาดำของสัปดาห์นี้ขายได้ราคาสูงมาก อีกอย่างคือทุกคนต่างอยากลองเรียนวิธีขี่จักรยานด้วย
วันแห่งการหลบหนีจะมาวันไหนก็ไม่รู้ ถึงเวลานั้นจักรยานต้องมีประโยชน์แน่
นอกจากซื้อจักรยานแล้ว ต้องซื้อพวกอะไหล่จักรยานกับที่ปะยางด้วย เผื่อจักรยานพังหรือใช้งานไม่ค่อยได้ตอนหนีขึ้นมา
แค่เริ่นเสี่ยวซู่นึกภาพคนกลุ่มหนึ่งขี่จักรยานหลบหนีก็ตื่นเต้นแล้ว
…
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงห้องเรียน เขาก็เห็นหยางเสียวจิ่นนั่งประจำที่แล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “เมื่อวานนอกจากสู้กับพวกก่อนอรุณแล้วมีอะไรแปลกๆ อย่างอื่นอีกไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “หมายความว่าไง”
“เมื่อวานจู่ๆ พวกสมาคมตระกูลชิ่งก็เพิ่มรางวัลตามจับลั่วซินอวี่เฉยเลย” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนิ่ง “แต่สมาคมตระกูลชิ่งไม่ปรับรางวัลโดยไม่มีเหตุผลแน่ มันต้องมีเรื่องบางอย่างที่เราไม่รู้”
“อ๋อ…” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ฉันแค่ช่วยสูเสี่ยนฉู่อย่างเดียว ตอนแรกเป็นหลัวหลานตามล่าเขา แต่สุดท้ายก็ตามไม่ทัน”
หยางเสียวจิ่นเงียบไปพักหนึ่ง เธอก็ไม่คิดหรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะตอบคำถามออกมาดีๆ เพียงแต่เธอกับลั่วซินอวี่ยังมีเรื่องบางอย่างไม่เข้าใจก็เท่านั้น
“ขอบคุณนะ” เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวขอบคุณเธอจากใจจริง ไม่ว่าเขาจะปราบก่อนอรุณได้ด้วยตัวคนเดียวหรือไม่ เขาก็ยังต้องขอบคุณหยางเสียวจิ่นที่รุดมาช่วยเขาอยู่ดี
หยางเสียวจิ่นรับคำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “นายช่วยสูเสี่ยนฉู่ทำไม วางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดตามสัตย์จริง “มีผงมีแผนการอะไรที่ไหน เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกันต่างหาก ตอนอยู่เขาจิ้งซานก็เดินทางด้วยกัน ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทีมกันอยู่ ถ้าเธอเกิดเรื่อง ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิต ฉันก็จะไปช่วยเธอ!”
หยางเสียวจิ่นหรี่ตามอง “อืม”
ถือว่าจบตามนี้ เริ่นเสี่ยวซู่โล่งอก นับวันยิ่งมีคนต้องเป็นแพะแทนเขาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลยแฮะ
หยางเสียวจิ่นถาม “คิดจะทำยังไงกับตงฟู่หนานต่อไป”
ตอนที่หยางเสียวจิ่นพูดเรื่องตงฟู่หนานกับเริ่นเสี่ยวซู่ก่อนหน้านี้ เธอก็ได้รู้ว่าเขาไม่กลัวตงฟู่หนานแม้แต่น้อย ตอนนั้นเธอยังสงสัยอยู่เลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ดูแล้วเขาคงมีความลับเยอะกว่าที่เธอคิดมาก แถมเฉินอู๋ตี๋เองก็น่าจะแข็งแกร่งมากไม่ต่างกัน
“กำลังคิดอยู่” พูดถึงเรื่องนี้แล้วเริ่นเสี่ยวซู่พูดอะไรไม่ค่อยออกนัก “ให้ตงฟู่หนานอยู่กับพวกเราตลอดไปไม่ได้หรอก”
“งั้นสนใจจะส่งเธอให้พวกฉันไหมล่ะ” หยางเสียวจิ่นเอ่ยถาม
“ทำไม พวกเธอก็ศึกษาวิจัยผู้มีพลังพิเศษเหมือนกันงั้นสิ” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ บอกตามตรง เขารู้สึกไม่ดีกับองค์กรที่ทดลองกับผู้มีพลังพิเศษเท่าไร
“พวกเราไม่ได้ศึกษาวิจัยผู้มีพลังพิเศษ” หยางเสียวจิ่นพูดช้าๆ “พวกเราทำให้พวกเขากลับตัว”
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในภวังค์ พวกเขากลับตัวกลับใจได้ด้วย? แล้วพวกเธอจะไปสอนสั่งพวกเขายังไงมิทราบ บังคับให้กายภาพบำบัดงั้นสิ เขาพูด “ฉันส่งตงฟู่หนานให้พวกเธอได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” จากนั้นก็นับนิ้ว “ขอเวลาสี่วัน”
“ได้” หยางเสียวจิ่นรับคำ
เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่อยากถามหยางเสียวจิ่นอยู่หรอกว่าว่าขายตงฟู่หนานให้แล้วมีค่าตอบแทนสักหน่อยไหม แต่พอนึกไปถึงเรื่องที่หยางเสียวจิ่นมาช่วยเขาเมื่อคืน เขาก็ไม่ได้พูดเรื่องเงินๆ ทองๆ อีก
ตอนนั้นเองเจียงอู๋ก็เดินเข้าห้องมา เธอมายืนที่แท่นสอนแล้วเอ่ย “สอบปลายภาคจะเริ่มพรุ่งนี้ เดี๋ยวครูจะประกาศห้องสอบกับเลขที่สอบให้ เลขที่สอบจะเรียงตามนามสกุลนะ พรุ่งนี้ไม่มีเรียน สามารถตรงไปห้องสอบได้เลย ขอให้ทุกคนโชคดีในการสอบ”
ตลอดเวลามานี้ ทุกคนในชั้นต่างตั้งใจเรียนมาก ยกเว้นเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นที่ไม่ค่อยฟังอาจารย์สอนนัก นอกห้องเรียนก็มีประเด็นอยู่ตลอด โดยเฉพาะเรื่องเจียงอู๋ที่ถูกทางคณาจารย์พูดวาจาส่อเสียดอยู่บ่อยๆ
ดังนั้นพวกนักเรียนที่รอดจากความตายมาได้กลุ่มนี้จึงทุ่มสุดชีวิตในการต่อสู้เพื่อตัวเอง
จะว่าไปก็ตลกไม่น้อย นักเรียนทุกคนในห้องต่างเป็นนักเรียนที่ดีกันหมด ยกเว้นหัวหน้าห้องกับคณะกรรมการนักเรียนห้องที่ดูไม่ตั้งใจเรียนเลย
เจียงอู๋ที่ยืนตรงแท่นสอนพูด “มีคนมาถามครูว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยมีเกณฑ์อะไรบ้าง ครูเลยไปสอบถามกับทางมหาวิทยาลัยในป้อมปราการ 109 มา…”
ทั้งชั้นเงียบไป ยุคสมัยนี้ ถ้าเป็นเด็กตั้งใจเรียนชั้นเยี่ยม ก็คงเกิดความทะเยอทะยานอยากเข้ามหาวิทยาลัยขึ้นมา เพราะการได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นตัวการันตีถึงความรู้ ยศฐา และเงินทอง