the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 192 หาทางลง
ข่าวป้อมปราการ 109 ถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของตัวทดลองแพร่สะพัดไปในสมาชิกกลุ่มพันธมิตรแห่งป้อมปราการ
ถ้าป้อมปราการถูกทำลายภายใต้น้ำมือแห่งธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์จะไปจัดการอะไรได้ล่ะก็ การราพณาสูรของป้อมปราการ 109 นั้นก็เป็นน้ำมือของอมนุษย์ที่กำลังท้าทายความอยู่รอดของมนุษยชาติ
ทว่าเพราะป้อมปราการ 109 ไม่ได้ถูกทำลายโดยธรรมชาติ แต่เป็นภัยที่มาจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่ดุร้ายมาก
ป้อมปราการต่างๆ ยืนยงคู่โลกนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ขณะที่บางจักรวรรดิทรงอำนาจในประวัติศาสตร์มนุษย์นั้นดำรงอยู่อย่างมากก็แค่สองร้อยปี ดังนั้นมนุษย์จึงเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในป้อมปราการแล้ว
แต่ตอนนี้ การปรากฏตัวของตัวทดลองทำให้มนุษยชาติได้มองโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง
ถนนจากป้อมปราการ 109 ไป ป้อมปราการ 111 นั้นเป็นพื้นราบ รถหุ้มเกราะหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงรถออฟโรดเร่งเครื่องผ่านแดนรกร้างอันกว้างใหญ่ หลังรถออฟโรดเห็นเป็นฝุ่นควันโขมงตามทาง มองจากไกลๆ แล้วดูยิ่งใหญ่ไม่น้อย
ชิ่งเจิ่นนั่งหลับตาคิดอะไรบางอย่างอยู่เบาะหลัง ที่ข้างๆ เขาคือหลัวหลานที่สวาปามไม่หยุด พร้อมคุยกับชิ่งเจิ่นบ้างเป็นพักๆ
“พวกเราจะกลับไปป้อม 111 ง่ายๆ งี้เลย ไม่ดิ้นรนอะไรหน่อยอะนะ?” หลัวหลานพูดอย่างขุ่นเคือง “ทางสภาคิดจะโม่แป้งเสร็จฆ่าลา[1]จริงๆ งั้นเหรอ พวกเราทำงานให้ตระกูลมาตั้งมาก พวกเขาจะจับกักบริเวณคุมขังพวกเราในบ้านง่ายๆ แบบนี้เลย?”
ชิ่งเจิ่นลืมตาขึ้นมามองหลัวหลาน “จะเรียกตัวเองว่าลาก็เรียกไป อย่าเอาฉันไปเอี่ยว”
“อ้อๆ ใช้คำพังเพยผิด” หลัวหลานแก้ตัว “แต่นายก็เข้าใจว่าฉันพูดถึงอะไรนี่”
“สมาคมตระกูลชิ่งเป็นบ้านของเรา ถ้าไม่กลับไปที่นั่นพวกเราจะไปไหนได้อีกล่ะ” ชิ่งเจิ่นพูดด้วยเสียงเนือยๆ “รอบนี้นายกลับมากับฉันด้วย นายจะปลอดภัยขึ้นมาก ให้นายไปอยู่ป้อมอื่น ไม่รู้จะไปสร้างปัญหาอะไรอีก”
“ฉันไม่ได้สร้างปัญหาเปล่าๆ เสียหน่อย” หลัวหลานบุ้ยหน้า “ผลงานวิจัยของสมาคมตระกูลหลี่ตกมาอยู่ในมือฉันแล้วไง ใครจะไปคิดว่านายจะมอบให้คนอื่นง่ายๆ แบบนั้นเฉยเลย พูดก็พูดเหอะ ทำไมนายเอามันให้ยัยเด็กนั่นจากสมาคมตระกูลหยางด้วย ต่อให้งานวิจัยนาโนไบโอติกส์ของพวกเราจะยังไม่สำเร็จ แต่ถ้าเกิดต่อไปพวกเราวิจัยสำเร็จขึ้นมาล่ะ คิดดูสิ ตอนนี้พวกเราก็แค่มนุษย์ธรรมดาสองคน แต่ถ้ามีเทคโนโลยีนาโนไบโอติกส์ล่ะก็ พวกเราก็จะสามารถกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษได้!”
ชิ่งเจิ่นคร้านจะพูดต่อ “ฉันไม่ชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน”
“แต่ฉันเห็นนายต่อสู้ฆ่าฟันอยู่ตลอด” หลัวหลานว่า “ใครๆ ก็คิดว่านายเทพเรื่องนี้กันทั้งนั้น”
“ฉันปลูกดอกไม้เก่งต่างหาก” ชิ่งเจิ่นพูดเสียงเข้ม “ฉันขอเตือนนะ พอกลับไปอย่าริอาจแตะดอกไม้ที่ฉันปลูกไว้เด็ดขาด”
“จ้าๆ” หลัวหลานเบ้ปาก “ให้ฉันไปแตะดอกไม้นาย ฉันขอไปแตะสาวดีกว่าไหม แต่เอาฮาร์ดไดรฟ์ให้สมาคมตระกูลหยางไปน่าเสียดายจะตาย”
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “ไม่น่าเสียดายหรอก หนึ่งในป้อมของสมาคมตระกูลหลี่ถูกทำลาย ผลงานวิจัยถูกขโมยไป กว่าจะจัดการปัญหาภายในได้ พวกเขาต้องหาฝ่ายอื่นมากล่าวโทษ และสมาคมตระกูลหยางก็จะตกเป็นเป้าหมายไป เพื่อนบ้านเราสองฝ่ายต่อสู้กัน พวกเราจะได้พักสบายๆ ไง”
“อย่างกับพวกเขาจะสู้กันง่ายๆ งั้นแหละ สงครามจริงๆ จังๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว” หลัวหลานเอ่ย
ชิ่งเจิ่นมองออกนอกหน้าต่าง พูดเสียงนิ่ง “นั่นแหละคือปัญหา มนุษยชาติไม่มีสงครามมานานมากแล้ว ถ้ามนุษย์เรายังไม่เริ่มก่อสงคราม พวกเรายังเรียกว่ามนุษย์โลภมากได้อยู่เหรอ”
“ดูนายสิ มองมนุษย์แย่อะไรขนาดนั้น อืม ฉันก็ไม่ชอบสงครามเหมือนกัน แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ” หลัวหลานว่า “ผู้ก่อจลาจลเจอฐานลับของนายแล้ว นายควรเพิ่มการป้องกันหน่อยนะ”
ชิ่งเจิ่นพูดเสียงเรียบ “พวกเขายังไม่เจอ แต่เดาได้เฉยๆ ว่ามี”
“นายมั่นใจได้ไง” หลัวหลานผงะ
“ดูจากลักษณะปฏิบัติการของผู้ก่อจลากล” ชิ่งเจิ่นหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “ถ้าพวกเขารู้ว่าสถานีทดลองนิวเคลียร์อยู่ไหนป่านนี้คงโดนระเบิดทิ้งไปแล้วล่ะ”
จู่ๆ หลัวหลานก็ตะโกน “อะ ดูข้างหน้าสิ”
ข้างหน้ามีรถหุ้มเกราะขบวนหนึ่งตั้งขวางทางไปป้อมปราการ 111 ไว้ บนรถต่างมีสัญลักษณ์ใบแปะก๊วย หลัวหลานหัวเราะ “เหมือนทางสภาจะมองนายไว้สูงเลยนะ”
ชิ่งเจิ่นรอรถจอดสนิทถึงค่อยออกไป ชายในชุดสูทสวมแว่นตาดำเดินเข้ามาหาเขาจากขบวนรถฝั่งตรงข้าม “ชิ่งเจิ่น คุณรู้ตัวใช่ไหมว่าตัวเองกำลังถูกคุมขังอยู่ในบ้านน่ะ”
ชิ่งเจิ่นพูดอย่างสัตย์จริง “เลขาโจว ขอฉันอธิบายก่อน พวกคุณทุกคนคิดจะจับเจ้าอ้วนหลัวหลานมาคุมขังที่บ้านเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง ฉันจัดการให้แล้ว!”
หลัวหลานพูดจากด้านข้าง “ใช่ๆ เพราะฉันไม่ยอม เขาเลยต้องพยายามตั้งมากแน่ะกว่าจะจับฉันกลับมาได้”
เลขาโจวในชุดสูทที่อยู่ในชุดสูทผงะไป เขานึกว่าตัวเองจะได้สู้กับสองพี่น้องนี่เสียคำรบหนึ่งเสียอีกถึงได้พากองกำลังมามากขนาดนี้ ใครจะไปนึกว่าชิ่งเจิ่นจะยกเหตุผลแบบนั้นขึ้นมาเฉย ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
เลขาโจวแค่นเสียง “อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ว่าคุณไปป้อม 109 ทำไม กองกำลังของคุณหายไปไหนผมแล้ว ชิ่งเจิ่น ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคม คุณกล้าเลี้ยงดูกองกำลังส่วนตัวได้ยังไง!”
ชิ่งเจิ่นพูดเสียงเศร้า “กองกำลังพวกนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้วตอนตามจับหลัวหลาน”
หลัวหลานส่งเสียงตาม “ใช่ๆ คิดเหรอว่าจับฉันจะง่ายขนาดนั้นน่ะ”
เลขาโจวโกรธจัด “แสดงละครตลกอะไรกันอยู่!
ใบหน้าของชิ่งเจิ่นเรียบนิ่ง “ฉันหาทางลงให้แล้วก็รับไป”
ชั่วลัดนิ้วนั้น ขนที่หลังคอของเลขาโจวก็ลุกซู่ราวกับเขากำลังเผชิญกับพยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่งก็มิปาน ต่อให้ชิ่งเจิ่นยืนเฉยๆ ก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ร้ายที่ทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ชิ่งเจิ่นเข้าไปถอดแว่นตาดำของเลขาโจวมาใส่ให้ตัวเอง “แดดแรงจริง แต่ไม่มีแว่นกันแดดแฮะ เลขาโจว โทษทีนะแต่ฐานะของคุณยังไม่พอมาถามฉันเรื่องกองกำลังพวกนั้นหรอก ทางสภาต้องมาถามฉันด้วยตัวเอง”
เลขาโจวกลับขึ้นรถตัวเอง “หลังถึงป้อมแล้วคอยดูว่าใครกันแน่ที่ยังวางท่าได้อยู่!”
จากนั้นขบวนรถก็ขับตรงไปยังป้อมปราการ 111 เลขาโจวนั่งอยู่ในรถ มือสั่นไม่หยุด
…
ขณะเดียวกัน อาการบาดเจ็บของเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นก็ดีขึ้นมากแล้ว พวกเขาเดินทางขึ้นเหนือต่ออย่างไม่รีบเร่งฝีเท้ามากนัก
หยางเสียวจิ่นเงยหน้ามองอาทิตย์แผดเผาบนท้องฟ้า ถามว่า “พวกเราคงไม่ได้หลงทิศอยู่ใช่ไหม ทำไมถึงยังไม่เห็นลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ อีกล่ะ”
“ไม่หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ความสามารถในการระบุทิศทางเป็นทักษะพื้นฐานในการเอาตัวรอดในแดนรกร้าง แต่ในส่วนที่ว่าพวกเหยียนลิ่วหยวนจะไปผิดทางหรือเปล่าฉันบอกไม่ได้เหมือนกัน”
“ไม่น่าเป็นแบบนั้น เมื่อวานพวกเราสุมไฟตั้งเยอะนี่ ดูเหมือนมีคนไม่น้อยเลยหนีออกจากป้อม 109 มาได้ พวกเขาน่าจะเข้าร่วมกับผู้หลบหนีคนอื่นๆ” หยางเสียวจิ่นว่า
[1] 过河拆桥、卸磨杀驴ข้ามแม่น้ำเสร็จรื้อสะพาน โม่แป้งเสร็จฆ่าลา ความหมายเหมือนกับ เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล, นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน, กระต่ายตาย ฆ่าสุนัขล่าเนื้อ