the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 197 สันถวไมตรีจากราชาหมาป่า
ด้วยร่างกายของเริ่นเสี่ยวซู่ แค่จักรยานล้มไม่บาดเจ็บอะไรหรอก เขายันตัวขึ้น ปัดฝุ่นกับหิมะออกจากร่าง “อู๋ตี๋ ต่อไปถ้าเห็นเรื่องอยุติธรรมอีกก็ให้ฉันจัดการนะ นายต้องมีสมาธิกับการขี่จักรยานสิ เข้าใจไหม”
“อ้อ ขอรับท่านอาจารย์!” เฉินอู๋ตี๋รีบยกจักรยานขึ้นมาให้เริ่นเสี่ยวซู่ซ้อนท้ายจากนั้นก็ถีบต่อตามคนอื่นๆ ให้ทัน
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองพวกหมาป่าที่อยู่บนเนิน หมาป่าขนขาวเห็นคนวิ่งหนีแล้วก็ยังยืนนิ่งเฉยกลางหิมะ ราวกับว่าที่พวกมันมาเพราะอยู่เบื่อๆ เลยออกมาชมทิวทัศน์อย่างไรอย่างนั้น เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่เข้าใจความต้องการของพวกมันเช่นกัน
เฉินอู๋ตี๋ที่อยู่หน้าเขากำลังถีบจักรยานอย่างมุ่งมั่นถาม “ท่านอาจารย์ ทำไมบนโลกถึงมีคนที่คิดแต่จะทำลายคนอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเองตลอดเลยล่ะ”
“เพราะมันคือสันดานอันต่ำช้าของมนุษย์น่ะสิ” เริ่นเสี่ยวซู่เสียงไม่ใส่ใจ
“แล้วพวกคนที่อยากได้ของบางอย่างโดยไม่ลงแรงเองล่ะ” เฉินอู๋ตี๋ถาม
“นั่นก็เป็นสันดานต่ำช้าของมนุษย์อีกอย่าง” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ
เสียงของเฉินอู๋ตี๋ฉับพลันฟังดูเศร้าเล็กน้อย “อาจารย์ ท่านว่าต่อไปในอนาคตข้าควรต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อหรือเปล่า บนโลกมีคนชั่วร้ายมากมายนัก ถ้าเกิดคนที่ข้าช่วยเหลือกลายเป็นคนชั่วขึ้นมาไม่ต่างกันเล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงความขัดแย้งภายในใจของเฉินอู๋ตี๋ ดูเหมือนว่าความฝันที่จะกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าของเขาจะสั่นคลอนเสียแล้ว ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ เขาก็ยังเห็นว่านิสัยของเฉินอู๋ตี๋นั้นน่านับถือจริงๆ
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ้านายอยากจะช่วยผู้อื่นต่อก็ทำต่อไปเถอะ แต่ถ้านายเห็นว่าคนที่ช่วยไปเป็นคนชั่ว นายก็อัดพวกนั้นให้ซี้แหงก็จบ”
“ขอรับ” เฉินอู๋ตี๋พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในฝูงชนที่วิ่งหนี หญิงคนหนี่งตะโกนว่า “มีคนวิ่งราวของฉันไป! ใครก็ได้ช่วยด้วย เขาขโมยกระเป๋าฉัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดออกจากจักรยานทันควัน พอเขามาถึงพื้น ก็เห็นเฉินอู๋ตี๋พุ่งไปหาหญิงที่ขอความช่วยเหลือแล้ว ปล่อยจักรยานไว้โล่ง ๆ ไม่มีคนขี่แบบนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ล่ะเศร้าใจนัก ถ้าเขาขี่จักรยานเป็นคงจะดีกว่านี้มาก เอาแต่พึ่งคนอื่นต่อแบบนี้ไม่ได้แล้ว หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เฉินอู๋ตี๋อัดคนเสร็จก็วิ่งกลับมา พอเห็นจักรยานนอนนิ่งอยู่กับพื้น เขาก็อึกอักพูดว่า “อาจารย์ ข้าขอโทษ ข้าลืมอีกแล้วว่าท่านอยู่บนจักรยานด้วย”
“ไม่เป็นไรๆ” เริ่นเสี่ยวซู่ได้แต่ยอมๆ ไป “มีคนตั้งเยอะแยะขนาดนี้ นายจะจัดการทุกอย่างคนเดียวไม่ได้หรอกมั้ง ฉันว่าถ้านายจัดการเรื่องเล็กน้อยทุกเรื่องแบบนี้นายคงได้เหนื่อยตายก่อน”
แถมนี่พวกเขาเพิ่งเริ่มหนีกันเอง ต่อไปเรื่องการกดขี่ข่มเหงผู้อื่นคงเกิดขึ้นไม่หยุด
“เช่นนั้นข้าจะจัดการพวกเขาไปทีละคนสองคน” เฉินอู๋ตี๋อึกอัก “ข้าปล่อยไปไม่ได้หรอก”
หลังจากหนีไปกันได้พักหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตะโกนเรียกกลุ่มตัวเอง “เอาล่ะทุกคนหยุดก่อน พวกหมาป่าไม่ได้ไล่ตามมา อีกอย่างถ้าคิดมาล่าพวกเราจริง คงไม่มีใครรอดหรอก”
เหยียนลิ่วหยวนและพรรคพวกหยุดลง ผู้หลบหนีคนอื่นๆ เห็นพวกเขาหยุด ก็ค่อยๆ รั้งฝีเท้าตาม ตอนนี้ทุกคนเหนื่อยจะตายแล้ว
เรื่องดีอย่างเดียวคือการได้ใช้แรงบ้างเลยไม่รู้สึกหนาวเหมือนเดิม
ตอนนี้พวกเขาหนีมาจุดใหม่แล้ว ต้องสร้างกองไฟใหม่ทั้งยังต้องหาฟืนมาเผาอีก บางคนก็ขี้เกียจจะทำเรื่องนั้นอีกจึงเอนนอนลงกับพื้นหิมะ ส่วนพวกเหยียนลิ่วหยวนนั้นไม่เหนื่อยจะทำกองไฟใหม่
“พี่” เหยียนลิ่วหยวนสงสัย “พี่รู้สึกว่าพวกหมาป่ามันมีอะไรแปลกๆ หรือเปล่า”
“นายก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“อืม” เหยียนลิ่วหยวนพูด “ผมรู้สึกว่าราชาหมาป่าคอยจับตามองผมจากไกลๆ ผมสัมผัสได้ถึงสายตามันตลอดเวลาเลย”
นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจขึ้นมา เขาไม่เห็นรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องเลย
พอตกดึก เริ่นเสี่ยวซู่เห็นคนรอบๆ หลับลงไปแล้ว เขาเตือนให้เฉินอู๋ตี๋กับเหยียนลิ่วหยวนที่เฝ้าเวรยามอย่าประมาท เขาต้องออกไปข้างนอกชั่วครู่
เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าแดนรกร้างมาพร้อมกับความข้องใจ เขากำลังมุ่งไปทางที่หมาป่าปรากฏตัวขึ้นมา
หิมะหนามาก ตั้งแต่เกิดภัยพิบัติ อุณหภูมิในฤดูหนาวก็เย็นยะเยือก ปริมาณหิมะที่ตกลงมาก็เพิ่มขึ้นมาก
เขาเดินฝ่าหิมะในแดนรกร้างไปอย่างยากลำบาก ผู้หลบหนีบางรายเห็นว่ามีคนกล้าบุกฝ่าเข้าไปในแดนรกร้างยามนี้ก็ตะลึงไป
“ข้าศึกบุกหรือไงนะ”
“คงงั้นมั้ง เขาเป็นคนที่ฝ่าแดนรกร้างมาหาพวกเราคนเดียวนี่”
“ดูจากที่กลุ่มเขาเตรียมพร้อมขนาดนี้ คงรู้อยู่แล้วแหละมั้งว่าจะเกิดอะไรขึ้นในป้อมปราการ”
“พวกเขารู้ได้ยังไง!”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ซ่อนใบหน้าอยู่หลังผ้าพันคอคอยแอบมองเงาร่างของเริ่นเสี่ยวซู่ที่ห่างออกไป ทันใดนั้นเองคนผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เธอก็อุทาน “คุณคือ…ฟางอวี้จิ้ง?”
ถึงเธอจะซ่อนตัวเองอย่างดี ก็มิวายมีคนจำเธอได้ คงผู้นั้นพูดอย่างมีความสุขว่า “เป็นคุณจริงๆ ด้วย! ผมเป็นแฟนคลับคุณ ได้ยินว่าอีกสองวันคุณจะเข้าร่วมเทศกาลดนตรีนี่ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ฟางอวี้จิ้งฝึนยิ้ม “พวกเรารอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว”
เธอหันกลับไปดูเริ่นเสี่ยวซู่ ก็เห็นว่าเขาหายลับสายตาไปแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้ามองเนินเขาเล็กๆ และต้องแปลกใจที่เห็นลูกหมาป่ากำลังเล่นคลุกหิมะกันอยู่ หมาป่าตัวเมียหลายตัวมีลูกหมาป่าตัวน้อยเป็นสิบข้างกาย พวกลูกหมาป่ามองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไร้ความหวาดกลัว
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ กลัวว่าจู่ๆ จะมีหมาป่ากระโจนเข้ามาโจมตี
เขาอยากรู้ว่าพวกหมาป่าคิดทำอะไรอยู่ แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องมั่นใจก่อนว่าพวกหมาป่าไม่เห็นเขาเป็นเหยื่อ
ฝูงหมาป่าตัวผู้ที่แข็งแกร่งทรงพลังยืนมองเขาบนพื้นหิมะ จากนั้นมันก็หลบทางให้ราชาหมาป่าที่คาบกระต่ายตัวโตเยื้องย่างเข้ามา ตัวกระต่ายยังมีเลือดอุ่นๆ หยดลงมาอยู่เลย
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนนิ่ง เขาอยากรู้ว่าหมาป่ามีแผนจะทำอะไร ดาบทมิฬในพระราชวังคำรามหึ่งๆ
เจ้ากระต่ายตัวใหญ่ราวล้อจักรยาน เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่ามันกินอะไรลงไปถึงตัวโตได้ขนาดนี้ เขาเห็นเลือดอุ่นของมันหยดลงหิมะเป็นน้ำ
ราชาหมาป่าหยุดอยู่ไม่ไกลจากเริ่นเสี่ยวซู่นัก จากนั้นมันก็วางร่างกระต่ายบนพื้น เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ให้ฉันเหรอ”
แต่ราชาหมาป่าไม่ตอบ เพียงหันหลังและจากไปพร้อมฝูง เริ่นเสี่ยวซู่ได้แต่มองพวกมันจากไป
นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่สับสนกว่าเดิมอีก พวกหมาป่านี่เป็นมิตรขนาดมอบอาหารให้มนุษย์แล้วเหรอ แถมที่เขาตะลึงยิ่งกว่าคือจำนวนหมาป่าเพิ่มขึ้นเยอะมาก ดูเหมือนว่าราชาหมาป่าจะรับหมาป่าตัวใหม่เข้าฝูงไม่หยุด