the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 21 จุดยืนในครอบครัว
ข่าวเรื่องอุบัติเหตุของวันนี้ยังคงแพร่ไปทั่ว ทำเอาทุกคนในเมืองตื่นตระหนกกันหมด คืนนั้นไม่มีใครอยู่เหย้าเฝ้าเรือน ต่างออกมาคุยกันถึงเรื่องนี้
ความจริงแล้ว เรื่องเครื่องกำเนิดไอน้ำระเบิดที่โรงงานไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงอะไรนัก เพราะอย่างไรเสียทุกปีก็มีเครื่องกำเนิดไอน้ำระเบิดมากกว่าหนึ่งครั้งเนื่องจากขาดการบำรุงดูแลอยู่แล้ว
แต่คราวนี้กลับต่างออกไป เมื่อก่อนฝูงหมาป่าคงไม่กล้าเข้ามาโจมตีโรงงานภายใต้การดูแลของมนุษย์แน่ แต่ละโรงงานมีคนทำงานอยู่พันกว่าคน หลังจากทำงานเสร็จก็จะออกมาบนถนนนอกเมืองอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
คนงานบางรายจะกลับมานอนในเมือง บางคนก็นอนที่หอพักของโรงงาน โดยโรงงานจะทำงานตลอด ยี่สิบสี่ชั่วโมง มีช่วงเวลาทำงานทั้งหมดสามกะ
มีฝูงหมาป่ากล้าบุกเข้ามาในอาคารของมนุษย์ข้างป้อมปราการงั้นเหรอ นี่นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างแท้จริง
ทหารที่อยู่กับพวกนักดนตรีเคยพูดว่าป้อมปราการ 113 ถูกป้อมปราการอื่นๆ ล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ และการที่มันอยู่ ‘วงใน’ นั้น ทำให้ป้อมปราการนี้ปลอดภัยกว่ามากถ้าเทียบกับป้อมอื่น แรกเริ่มเดิมทีป้อมปราการก็ส่งทหารมาเฝ้าโรงงานอยู่หรอก แต่พอทุกคนเห็นว่าไม่มีสัตว์ป่ามาโจมตีแล้ว พวกเขาจึงถอนทัพกลับเข้าป้อมปราการไปหมด เหลือไว้เพียงปืนไม่กี่กระบอกให้ผู้จัดการใช้ในกรณีฉุกเฉิน
คืนนั้นประตูป้อมปราการพลันเปิดออก ยามประตูเลื่อนเปิด ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นลั่น จากนั้นเหล่าทหารหลายร้อยนายแบกปืนเต็มสูบก็เดินขบวนออกมา
พวกนี้คือกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 113 หรือจะพูดให้ชี้ชัดกว่านี้ ก็คือกองกำลังส่วนตัวของสมาคมตระกูลชิ่งที่อยู่เบื้องหลังป้อมปราการ
จางจิ่งหลินอาจารย์ที่โรงเรียนเคยกระอึกกระอักยามพูดถึงกลุ่มคนที่เป็นผู้ปกครองแท้จริงของป้อมปราการตอนนี้ พวกเขามีพลังในการตัดสินความเป็นไปของมนุษย์ ครอบครองอาวุธที่สามารถใช้สู้รบกับอันตรายภายนอกได้ มีทั้งเงินตราทั้งอำนาจ จึงสามารถควบคุมทั้งป้อมปราการได้อย่างเบ็ดเสร็จ
เป็นครั้งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนเห็นทหารมากมายขนาดนี้ออกมาจากป้อมปราการ เหยียนลิ่วหยวนซ่อนอยู่ในกระท่อม แอบมองกองกำลังส่วนตัวเดินทัพออกจากเมืองไป เขาพึมพำ “พี่ ที่คนพวกนั้นแบกอยู่บนหลังคือปืนเหรอ”
ปืนสีดำทะมึนดูดุดันน่าพรั่นพรึง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่แปลกใจกับตัวเองเลยที่ตนเองรู้จักอาวุธพวกนี้ทั้งหมด
แถมที่สำคัญคือเขายังรู้สึกอีกว่า…ตราบใดที่ตนเองสามารถจับปืนได้ละก็ เขาก็สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิผลทันที
กองกำลังส่วนตัวไม่ได้เดินทัพออกไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หน้าสุดมีรถออฟโรดนำทาง แต่เหล่าทหารตามหลังกลับเละเทะจนเรียกว่าวุ่นวายก็ว่าได้ มีทหารนายหนึ่งจากกองกำลังส่วนตัวบ่น “ก็แค่มีคนตายที่โรงงานไม่ใช่เหรอไง พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยไปไม่ได้เหรอ ทำไมต้องออกมาฆ่าพวกหมาป่าตั้งแต่คืนนี้ด้วย”
“เงียบ เบื้องบนสั่งมา” มีคนมองเขาตาขวาง
“จะกลัวอะไรนักหนา นายทหารที่กองพลไม่ได้ยินหรอก ตอนนี้คงนอนกกสาวกันอยู่แหละมั้ง” ชายผู้นั้นบ่นฮึมฮัมพลางจุดบุหรี่มวนเรียวเล็ก
เริ่นเสี่ยวซู่ได้กลิ่นบุหรี่อันไม่พึงประสงค์นี่อีกครั้ง เขาขมวดคิ้วแน่น ความเชื่อถือต่อกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการยิ่งลดทอนน้อยลงไปอีก
ตอนนั้นเองทหารที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ก็หันมาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนด้อมๆ มองๆ ปืนไรเฟิลอัตโนมัติของตน ก็สบถลั่น “เด็กเวรสองคนนี่มองอะไรวะ รู้จักหรือไงว่าคืออะไร เลิกจ้องได้แล้วโว้ย ต่อให้ฉันเอาให้พวกแกก็ใช้ไม่เป็นหรอก!”
เริ่นเสี่ยวซู่เอาม่านประตูลง ถึงเขาจะไม่เห็นด้วยกับประโยคหลังของเจ้าทหารนั่นก็ตามที
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาพลันสันนิษฐานว่าทักษะปืนของทหารรายนั้นไม่ได้ดีเด่อะไรเลย ตรงง่ามรักแร้ขวาที่เดิมทีสมควรรองรับแรงดีดของปืน ดูเหมือนไม่ได้ผ่านการฝึกยิงปืนมายาวนาน
แต่ความเป็นจริงที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทราบคือ ยุคสมัยนี้อาวุธปืนในป้อมล้วนเป็นทรัพยากรล้ำค่าไม่น้อย ปกติแล้วนายทหารกองกำลังส่วนตัวไม่ปล่อยให้พลทหารใช้กระสุนปืนอย่างเสียเปล่าหรอก ถ้าพวกเขามีงบขนาดนั้น คงเอาไปหาอะไรดื่มไม่ก็ไปหาผู้หญิงมาปรนเปรอดีกว่า
นอกป้อมปราการแอลกอฮอล์เป็นของหวงห้าม แต่ในป้อมไม่ได้เป็นเช่นนั้นด้วย
เหยียนลิ่วหยวนสงสัย “พี่ ทำไมเหมือนพี่รู้เรื่องปืนพวกเขาเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวนแล้วพูดขึ้น “อย่าถามเยอะ”
เหยียนลิ่วหยวนบ่นโอดครวญ “นี่ผมยังไม่มีจุดยืนในครอบครัวนี้อีกเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เลยตอบเสียงเรียบ “อย่าคิดเยอะน่า หน้าที่ของนายในครอบครัวนี้คือมีชีวิตรอดให้ได้”
เหยียนลิ่วหยวนพลันพูดไม่ออก
ยามเสียงเคลื่อนพลของกองกำลังส่วนตัวดังไกลออกไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่รีบลุกขึ้นยืนแล้วบอกเหยียนลิ่วหยวนว่า “คืนนี้ไปอยู่ที่กระท่อมของพี่สาวเสี่ยวอวี้ก่อนพักหนึ่ง พอฉันกลับมาแล้วค่อยกลับกระท่อม”
“พี่จะไปไหนน่ะ” เหยียนลิ่วหยวนถามอย่างงุนงง
พอเขาพูดจบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยกม่านประตูอย่างเงียบงันและเคลื่อนตัวออกไป บนถนนมีคนมุงมากมาย แต่ไม่มีใครสังเกตถึงเริ่นเสี่ยวซู่
ถ้าเป็นยามปกติคงไม่มีใครกล้าออกมายืนข้างนอกกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ทว่าวันนี้ทุกคนกลับออกมานอกบ้านราวกับกำลังฉลองงานปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่เดินฝ่าความมืด หลังจากออกมาจากเขตเมืองแล้ว ก็กระโจนพุ่งตรงออกไป แสงจันทร์คืนนี้ไม่ได้สว่างอะไรนัก แต่ด้วยช่วงหลายปีมานี้เริ่นเสี่ยวซู่ออกนอกเมืองเกือบทุกวัน ถ้าจำเป็นต้องหลับตาเดินยังทำได้เลย!
ทหารของป้อมปราการใช้ถนนสายหลัก ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ใช้ทางคู่ขนาน จะได้ไม่ต้องปะกัน
ที่ออกมาก็เพราะกำลังหาโอกาสอยู่ แต่เป็นโอกาสแบบไหน เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
ปืน!
เป็นอาวุธปืนนี่แหละที่ดึงดูดให้เริ่นเสี่ยวซู่ออกมา!
เริ่นเสี่ยวซู่เชี่ยวชาญทักษะการใช้ปืนระดับสูง เขารู้ดีว่ายุคสมัยนี้ปืนสำคัญมากเพียงไร กองกำลังส่วนตัวที่เคยออกไปกับวงดนตรีเคยพูดว่าถ้าพวกเขาถืออาวุธปืนอยู่ ต่อให้หมาป่าตัวไหนได้ยินเสียงปืนเข้าก็ต้องหนีกระเจิงหมด
เริ่นเสี่ยวซู่เคยเจอฝูงหมาป่ากับตัว เขาทราบดียิ่งว่าพวกมันน่าหวาดกลัวขนาดไหน แต่สัตว์ร้ายน่ากลัวเช่นนั้นยังกลัวเสียงปืน?
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เหมือนกันว่าหากพวกกองกำลังส่วนตัวนี้ปะทะเข้ากับฝูงหมาป่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้คิดจะฉวยปืนจากพวกนั้น เป้าหมายจริงๆ แล้วคือในโรงงาน ทุกคนในเมืองรู้กันหมดว่าผู้จัดการโรงงานนั้นมีอาวุธปืนในครอบครองอยู่
ตามที่คนหลบหนีออกมาจากโรงงานบอกมา คนที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังล้วนจบสิ้นกันหมดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่บ่าย พวกเขาบอกว่าหมาป่ากลัวเสียงปืนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผู้จัดการโรงงานถึงไม่ยิงปืนสักหลายๆ นัดเพื่อเป็นการไล่พวกมันออกไปล่ะ
บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทันคาดคิดว่าฝูงหมาป่าจะบุกมา เลยไม่อาจไปหยิบปืนออกมาได้ทัน หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกหมาป่าลอบจู่โจมคนถือปืนอยู่ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกหลายประการ แต่อย่างไรปืนก็น่าจะอยู่ในโรงงานแน่ๆ
เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปยังโรงงาน เขาคุ้นชินกับที่นี่มากกว่าพวกกองกำลังส่วนตัวนั่น แถมพวกทหารนั้นกำลัง ‘เดิน’ เคลื่อนพล ส่วนเขานั้นวิ่งมา
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังก้องในคืนรัตติกาล จากนั้นเสียงยิงปืนสนั่นลั่นโสตออกมาชุดใหญ่ ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของมนุษย์ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่พลันหันกลับไปตามทิศทางเสียง ดูแล้วพวกกองกำลังส่วนตัวน่าจะเจอกับฝูงหมาป่าเข้าแน่ แต่แม้พวกเขาจะลั่นไกไปแล้วก็ยังโดนจู่โจมอยู่ดี ไม่ใช่พวกเขาบอกว่าพวกหมาป่ากลัวปืนกันหรอกหรือ ไม่ใช่พวกเขาพูดว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าบอกให้พวกมันหนีออกไปจากอันตรายหรอกเหรอ
วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่แล้ว แม้พวกสัตว์นั้นจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พวกมันย่อมไม่สามารถต้านสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเองได้อยู่ดี กระต่ายยังคงกินหญ้า หมาป่ายังคงกลัวเสียงปืน
ทว่าทุกสิ่งได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว