the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 211 กองสืบสวน
เกลือที่มีอยู่ติดป้อมสังเกตการณ์แทบจะหมักเนื้อแพะได้ไม่หมด หลี่ชิงเจิ้งเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย
“นี่ใกล้ตรุษจีนแล้วนี่ ทุกบ้านรวมถึงครอบครัวของผู้อพยพคงจะฉลองสักสองสามวัน ในเมื่อเราได้เนื้อมาแบบไม่เสียอะไรเลย ตราบใดที่ราชาหมาป่าส่งเนื้อมาให้เราเรื่อยๆ แบบนี้ พวกเราก็ส่งขายในเมืองน้อยได้เรื่อยๆ นะ” หลี่ชิงเจิ้งพูดขึ้น หลังจากครุ่นคิดเช่นนี้เขาก็ฝันหวานว่าตัวเองกลายเป็นคหบดีในเมืองน้อยไปแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาไปพลางทาเกลือบนเนื้อไปพลาง “ถ้านายทำแบบนั้นสมาคมตระกูลหลี่จะไม่ลงมืออะไรเหรอไง”
“ฉันจะลอบขายเอา” หลี่ชิงเจิ้งหัวเราะ
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “รู้จักมักจี่กับร้านค้าในเมืองน้อยเหรอไง”
“ไม่อะ” หลี่ชิงเจิ้งว่า “แต่ว่าเนื้อหายากจะตาย ยังไงฉันก็ว่าขายออก”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ช่วงตรุษจีนนายได้กินเนื้อด้วยเหรอ ใครๆ เขาก็เอาแค่น้ำมันหมูมาทำอาหารแล้วเรียกว่าเป็นฉลองตรุษจีนแล้วต่างหาก เนื้อจะมีราคาก็ต่อเมื่อเอาไปขายในป้อมปราการเท่านั้น เดี๋ยวฉันแนะนำเพื่อนให้ เขาชื่อว่าหวังฟู่กุ้ย ด้วยฝีมือของเขา การจะรู้จักคนในป้อมปราการบ้างไม่ใช่เรื่องยาก”
หลี่ชิงเจิ้งตาเป็นประกาย “จริงเหรอ”
เขารู้ดีว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดไปนั้นไม่ผิดเลย จู่ๆ ป้อมสังเกตการณ์ก็พลันกลายเป็นตลาดค้าส่งเนื้อไป น่าเสียดายที่กำลังซื้อของเมืองน้อยนั้นต่ำเกินกว่าพวกเขาจะหากำไรได้ เนื้อคงขายออกยากยกเว้นจะลดราคาลง ดังนั้นการมีตัวแทนขายดีๆ นั้นสำคัญมาก
ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ยังต้องซ่อนตัวอยู่ในป้อมสังเกตการณ์ต่อรอโอกาสหานาโนแมชชีนเพิ่มด้วย…ดังนั้นจึงต้องให้หลี่ชิงเจิ้งออกหน้ารับ
มาเป็นคนกลางระหว่างหลี่ชิงเจิ้งกับหวังฟู่กุ้ยแบบนี้เขาจะได้เทียวไปเทียวมาระหว่างป้อมสังเกตการณ์กับเมืองน้อยได้สะดวกหน่อย
เรื่องพวกนี้เหล่าหวังถือว่าทำได้ไม่เลวเลย
แต่ตอนนั้นเองหลี่ชิงเจิ้งก็เผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย “นายเป็นนักเรียนจากในป้อมไม่ใช่เหรอ ทำไมรู้เรื่องชีวิตในเมืองน้อยเยอะจังเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบสายตา “ฉันก็เป็นผู้อพยพเหมือนกัน”
พอถึงวันที่เสบียงต้องมาส่ง หลี่ชิงเจิ้งก็สั่งให้ทุกคนซ่อนเนื้อหมักเกลือให้ดีกันพวกกุ๊ยขบวนส่งเสบียงเกิดโลภขึ้นมา “ทุกอย่างต้องซ่อนให้มิดชิด ไม่งั้นพวกเวรนั้นเห็นของต้องยึดไปเกือบหมดแหง”
รถบรรทุกขนพวกของต่างๆ กับเสบียงขับถนนบนภูเขาขึ้นมา แต่พวกเขาขนแค่ข้าวสารกับเส้นบะหมี่อย่างละกระสอบมาให้ ไม่มีเกลือเลยสักกะนิด หลี่ชิงเจิ้งตะลึงไป “เกลือล่ะ”
“มีข้าวกับบะหมี่ให้กินก็โชคดีถมเถแล้ว” ทหารสองนายว่าพลางอัดบุหรี่เข้าปอด “รีบๆ เซ็นชื่อ ไม่งั้นแม้แต่ข้าวกับบะหมี่ก็ไม่มีให้กิน”
“อย่างน้อยก็ให้เกลือเราหน่อยสิ” หลี่ชิงเจิ้งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“จะเอาไม่เอา ไม่เอางั้นพวกฉันเอากลับ” ทหารส่งเสบียงนายหนึ่งว่า
หลี่ชิงเจิ้งกัดฟันกรอด “เอา!”
“เรื่องมากชะมัด รู้ไหมว่ามีผู้อพยพมากน้อยขนาดไหนที่ไม่มีอะไรให้กินน่ะ” พูดจบพวกเขาก็ขึ้นรถบรรทุกไป หลี่ชิงเจิ้งไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้า
พอรถบรรทุกขับออกไปแล้ว เขาก็สบถดังลั่น “ไอ้พวกเวรนั่นแม่*ยักยอกอาหารส่วนพวกเราไปแน่ ให้พวกเราขุดผักป่ารากไม้กินเป็นกับข้าวกับบะหมี่เหรอไง”
พอเปิดกระสอบข้าวกับบะหมี่ออกดูก็ต้องตะลึง ในนั้นมีทรายผสมอยู่ด้วย!
“แม่*ไม่เห็นพวกเราเป็นคนแล้ว” มีคนกล่าวอย่างไม่พอใจ
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจกล่าวกับพวกนักเรียน “นี่คือโลกที่พวกนายไม่เคยได้สัมผัสยังไงล่ะ”
หลังจากรถขนเสบียงขับออกไปแล้ว รถบรรทุกทหารอีกคันก็ขับขึ้นเขามา ทุกคนมองรถที่ขับเข้ามาจอดอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าพวกเขามาทำไมกัน
จากนั้นพวกเขาก็เห็นทหารหน่วยหนึ่งลงรถมาพร้อมอาวุธครบมือ เป็นกองกำลังจากสมาคมตระกูลหลี่ หลี่ชิงเจิ้งปลอบใจตัวเองแล้วปั้นหน้ายิ้ม “สวัสดีครับท่าน ไม่ทราบว่ามาที่ค่ายพวกเราทำไมเหรอครับ”
นายทหารที่เป็นผู้นำแค่นเสียง “ไม่กี่วันก่อนมีคนมาตรวจที่ป้อมสังเกตการณ์นี้หรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นเต้น หลายวันมานี้ตนรอคนพวกนี้มาสืบสวนเรื่องนั้นตลอด ในที่สุดก็มาสักที!
ตอนแรกเขายังคิดอยู่เลยว่าเหตุการณ์นี้จะล่อพวกที่มีนาโนแมชชีนสักสองสามคนมาป้อมสังเกตการณ์ได้ไหม ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะฉลาดขนาดส่งคนมาครบหน่วยแบบนี้
แต่เรื่องเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียสมาชิกระดับสูงของสมาคมก็หายตัวไปอย่างลึกลับ พวกเขาย่อมต้องระวังเป็นพิเศษอยู่แล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่านายทหารคนนี้น่าจะมีนาโนแมชชีนกับตัวด้วย แต่ตัวเขาเสี่ยงเปิดโจมตีตอนนี้เลยไม่ได้หรอก
หลี่ชิงเจิ้งพูด “ใช่ครับพวกเขามาที่นี่ เป็นนายทหารหนุ่มสองนาย แต่เขาอยู่ที่นี่แค่สิบนาทีก็กลับออกไปครับ”
“แค่นั้นเองเหรอ” นายทหารกวาดตามองหน้าป้อมสังเกตการณ์ จากนั้นก็โพล่ง “ฉันได้กลิ่นเลือด มีการต่อสู้เกิดขึ้นเหรอไง”
ทุกคนผงะ ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะจมูกดีขนาดนี้ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วตั้งแต่พวกเขาแล่เนื้อสัตว์กัน กลิ่นมันน่าจะจางไปหมดแล้ว
ทหารทุกนายที่อยู่หลังนายทหารยกปืนเล็งมาที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่โดยฉับพลัน หลี่ชิงเจิ้งฉีกยิ้ม “พวกเราใช้ปืนล่าสัตว์กันน่ะครับ พวกเรายังไม่มีเวลาเอาเนื้อหมักเกลือมาตากแห้งเลย”
จากนั้นหลี่ชิงเจิ้งก็รีบไปเปิดประตูห้องครัว เผยให้เห็นบรรดาเนื้อหมักเกลือบนเตา
นายทหารเลิกคิ้ว “ถึงว่าทำไมได้กลิ่นคาวแพะ” จากนั้นนายทหารก็เอ่ย “ค้นค่ายพวกเขา”
ทหารห้านายคงกำลังไว้ ส่วนที่เหลือกระจายกำลังออกไปค้นตามบ้านเรือน พวกเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่กล้าขยับ
ผ่านไปพักหนึ่ง ทหารก็กลับมารายงาน “ไม่พบอะไรผิดปกติครับ”
นายทหารพูดเสียงเย็น “นี่เป็นแค่การตรวจตามตาราง เพื่อนทหารทุกคนอย่าถือสา”
จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าป้อมสังเกตการณ์นี้มีอะไรผิดปกติหรอก ป้อมสังเกตการณ์อื่นๆ เองก็ล่าสัตว์เหมือนกัน ผิดแต่ว่าที่อื่นๆ ล่าไม่ได้เยอะเหมือนที่นี่
เขาสนใจเรื่องการหารถ ศพ และสิ่งของของนายทหารทั้งสองเป็นหลัก อย่างไรพอฆ่าพวกเขาไปแล้ว การเอารถไปซ่อนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามีคนคิดขโมยของของนายทหารทั้งสองที่หายไป อย่างไรก็ต้องทิ้งร่อยรอยบางอย่างไว้
ระหว่างทางมาเขาไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้หรือซากรถเลย เขาจึงลดความระแวงสงสัยลง
จากตารางลาดตระเวนประจำของนายทหารทั้งสองนายแล้ว พวกเขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ ป้อมสังเกตการณ์ไม่กี่ป้อมแถวๆ นี้ตอนเกิดเรื่อง แต่ว่าเขาก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ
ขณะไล่สอบปากคำทหารของป้อมสังเกตการณ์ทีละคน ที่ข้างกายเขาก็มีคนคอยจดรายละเอียดอยู่ตลอด แต่ระหว่างการถามก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติอยู่ดี
หลังจากสอบปากคำไปพักใหญ่ ก็พบว่าคนที่นี่ไม่เป็นนักเรียนชั้นดีที่ลี้ภัยมา ก็เป็นอดีตผู้อพยพและอดีตนักเลง พวกเขามีเครื่องแบบกับอาวุธไม่พอใช้ด้วยซ้ำไป จะฆ่าทหารชั้นยอดสองนายได้อย่างไร
นายทหารพูดเสียงเย็น “ไปป้อมสังเกตการณ์ที่ต่อไป” เขาตัดสินใจจะไปดูป้อมสังเกตการณ์อื่นใกล้ๆ นี้ก่อน
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยื่อนาโนแมชชีนตัวโตจากไปด้วยสายตาละห้อย
แต่เขารู้ดีว่าการสืบสวนไม่ได้จบลงง่ายๆ หรอก เขาต้องกลับมาสืบสวนอย่างละเอียดกว่านี้แน่ เพราะคนที่ตายไปทั้งสองนั้น…เป็นคนของตระกูล
แต่ตอนที่รถบรรทุกทหารเริ่มขับลงภูเขาไปนั้น ทุกคนก็เห็นหมาป่าบางตัวเคลื่อนไหวอยู่ในป่า ดูเหมือนว่าพวกหมาป่าคิดจะตามรถบรรทุกไป
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ พวกหมาป่าคิดจะจัดการกองกำลังสมาคมตระกูลหลี่หรือ?