the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 214 ทักษะการพลิกแพลงของเฉินอู๋ตี๋
หลังจากราชาหมาป่าเล่นสนุกมาหลายวัน เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าภายในสองเดือนฝูงของมันคงขยายใหญ่ขึ้นมาก
ตอนที่หมาป่าออกล่าวันนี้ เขาพบว่าจำนวนมันน้อยกว่าปกติ หมาป่าตัวเมียน่าจะหายหน้าไปหมดเลย
จากกระบวนการตั้งครรภ์ที่เขารู้ หลังจากหมาป่าตัวเมียตั้งครรภ์ ก็จะใช้เวลาราวๆ หกสิบสามวันก่อนคลอด ช่วงเวลานี้สำหรับมนุษย์ถือว่าเร็วมาก แถมยังไม่รู้ด้วยว่าการพัฒนาการของพวกหมาป่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรธรรมชาติอะไรหรือเปล่า
เขาตามรอยเท้าของหมาป่าขึ้นเขาไป เริ่นเสี่ยวซู่อนุมานว่ารังหมาป่าไม่น่าอยู่ห่างจากป้อมสังเกตการณ์ไปไกลนัก เสียงหอนที่ได้ยินตอนกลางคืนฟังดูดังมาจากบริเวณใกล้เคียง
แต่ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะได้เดินเข้าไปลึก ราชาหมาป่าก็พลันปรากฏตัวมาบังทางอยู่ที่สุดถนนบนภูเขา
เริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกว่าราชาหมาป่าตั้งใจออกมาตามหาตน
ราชาหมาป่าครางเสียงต่ำ เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “นายตามหาฉันเพราะอยากให้ฉันไปช่วยรักษาแผลฝูงของนายเหรอ”
สัตว์ป่ายามออกล่านั้นจะระวังตัวมากถึงมากที่สุดเพราะแค่แผลเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ติดเชื้อถึงตายได้ ต่อให้เป็นสายพันธุ์ทรงพลังก็ยากจะรอดพ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แบคทีเรียได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ต่อให้โลกจะผ่านวัฏจักรการถูกทำลายและเกิดใหม่หลายครั้ง แบคทีเรียบางชนิดก็ยังอยู่ยั้งยืนยงมาได้
เริ่นเสี่ยวซู่พูดจบ ราชาหมาป่าก็พยักหน้าจริงๆ
เริ่นเสี่ยวซู่หยิบยาดำออกมา “เจ้ายานี่รักษาแผลได้ ฉันรู้ว่าลูกฝูงนายบางตัวบาดเจ็บ ฉันจะช่วยรักษาเอง”
ราชาหมาป่าเผยสีหน้างุนงงราวต้องการสอบถามว่า “เจ้านี่ใช้รักษาบาดแผลได้ด้วยเหรอ!”
ก่อนหน้าที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังคิดอยู่เลยว่ามนุษย์ใช้นิ้วทายาบนแผลได้ แต่พวกหมาป่าล่ะจะทำอย่างไร ปกติหมาป่าจะรักษาแผลด้วยการเลีย แต่ถ้าหมาป่าใช้ลิ้นทายาดำมันจะไม่เกิดปัญหาขึ้นเหรอนั่น
ราชาหมาป่าเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังนำเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นเขาไป
พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงหุบเขาใต้ลมแห่งหนึ่ง ก็เห็นลูกหมาป่าหลายสิบตัวกำลังนอนกลิ้งอยู่บนพื้น เพราะเคยเห็นเขามาก่อนตอนที่กำลังหนีออกจากป้อมปราการ พวกมันเลยไม่กลัวเริ่นเสี่ยวซู่ ตอนนี้จำนวนลูกหมาป่าเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ช่วงที่ผ่านมานี้พวกหมาป่าคงไม่ได้อยู่เฉยๆ
แน่ล่ะว่าเริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจดี อย่างไรพวกหมาป่าก็มีแหล่งอาหารพร้อมพรัก แถมยังอ่านหนังสือไม่เป็น เล่นไพ่ไม่ได้ หรือกิจกรรมสันทนาการอื่นก็ไม่มี
พอบรรดาหมาป่าเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ค่อยๆ หลบทางให้เขา เริ่นเสี่ยวซู่เดินผ่านฝูงหมาป่าไปใจสั่นไป แต่ก็กัดฟันต่อความหวาดผวาและเดินหน้าต่อ
เขามันช่างไม่กลัวตายเสียจริง ถ้าเป็นคนอื่นๆ คงไม่กล้าฝ่าเข้ามาในรังหมาป่าลึกเช่นนี้ ถึงว่าทำไมพึ่งเพียงการล่าสัตว์อย่างเดียว เริ่นเสี่ยวซู่ถึงสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายอุราในเมืองน้อยได้
เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ ก็เห็นหมาป่าเจ็ดตัวนอนหอบร่อแร่อยู่บนพื้น รอบๆ มีแต่กลิ่นคาวเลือด
ถึงกระสุนที่ยิงผ่านกล้ามเนื้อพวกมันไปจะไม่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ความเจ็บปวดที่ไม่จางหายและเลือดที่ไหลไม่หยุดก็ค่อยๆ นำพาพวกมันไปสู่หุบเหวลึกอยู่ดี
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบสายตาไปมองราชาหมาป่าที่อยู่ด้านข้าง “ฉันต้องเอากระสุนออกมาก่อน ซึ่งจะเจ็บมากแน่ๆ ฝากบอกพวกมันหน่อยว่าอย่ากัดฉัน…”
ราชาหมาป่าสะบัดหัวไปทางหมาป่าที่บาดเจ็บเหมือนจะพูดว่า “รีบๆ หน่อย!”
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งลงข้างหมาป่าตัวผู้ที่บาดเจ็บตัวหนึ่ง จากนั้นก็ควักคีมออกมาจากช่องเก็บของ ฆ่าเชื้อโดยไม่ต้องคิด เพราะอย่างไรเสียพวกหมาป่าก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการฆ่าเชื้อคืออะไร
พูดตามตรง นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้ลองทำอะไรแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ใช้คีมแทงเข้าไปในรูกระสุน พร้อมสายตาจับจ้องไปที่หมาป่าเผื่อมันเจ็บจนเผลอหันมากัดเขา
เริ่นเสี่ยวซู่ต้องประหลาดใจที่แม้สายตามันจะกลอกไปมาด้วยความเจ็บปวด แต่กระนั้นมันก็ไม่ส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
“เป็นหมาป่าใจเด็ดจริงๆ” เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเช่นนี้ก็เกิดสะเทือนอารมณ์ขึ้นมาหน่อยไม่ได้ เขาใช้คีมควานหากระสุน เขาพบว่ากระสุนนั้นอยู่ตื้นกว่าที่คิดมาก แสดงว่ากล้ามเนื้อของหมาป่าพวกที่มีมวลหนายิ่งว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เริ่นเสี่ยวซู่โยนกระสุนที่ดึงออกมาได้ไปที่หินก้อนหนึ่งจนเกิดเสียงดังกริ๊ก จากนั้นก็ทายาดำบนบาดแผล
เมื่อเริ่นเสี่ยวซู่ทายาดำลงบนแผลแล้ว ก็เห็นว่ากล้ามเนื้อที่กระตุกเพราะความเจ็บปวดนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายลง
สายตาของราชาหมาป่าที่มีต่อยาดำแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน!
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่รักษาแผลให้หมาป่าทั้งเจ็ดตัวเสร็จแล้ว เขาก็ตัวเปียกโชกไปหมด ไหนจะต้องกัดฟันสู้ความกลัวต่อพวกหมาป่าอีก เริ่นเสี่ยวซู่เช็ดเหงื่อแล้วออกปาก “พวกมันดีขึ้นแล้วอย่าลืมส่งเนื้อมาให้พวกเราด้วยล่ะ พวกเรากะจะส่งเนื้อไปขายในป้อมปราการหาเงินเสียหน่อย ช่วงตรุษจีนจะได้ฉลองกัน ถึงเวลาต้องซื้อชุดใหม่ให้พี่เสี่ยวอวี้กับลิ่วหยวนแล้วด้วย…”
ราชาหมาป่าที่อยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่ฟังเขาบ่นอย่างเงียบๆ ไม่พยายามขัดจังหวะแม้แต่น้อย หนึ่งมนุษย์หนึ่งหมาป่าเดินออกจากรังไป
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะเดินเข้ารังหมาป่าได้ตามใจแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่กี่เดือนก่อนเขากับหมาป่ายังเป็นศัตรูกันอยู่เลย
“นายไม่ต้องมาส่งฉันหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่พูดแล้วเดินออกไปด้านนอก “อย่าลืมนะว่าห้ามพวกเขากินอาหารเผ็ด หัวหอมใหญ่ ขิง กระเทียม…”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดไปได้ครึ่งทางก็ชะงัก เขาเหม่อมองไปยังแดนหิมะขาวโพลนของแดนรกร้าง รำพึงรำพันว่าตนเป็นมืออาชีพเกินไปแล้ว หมาป่าที่ไหนมันกินอาหารเผ็ดกัน!
เขาเพิ่งเป็นหมอมาได้ไม่กี่วันเอง ตอนนี้กลับนึกว่าตัวเองเป็นหมอจริงๆ ไปเสียแล้ว…
ย้อนกลับไปตอนอยู่เมืองน้อยนอกป้อมปราการ 113 เวลานั้นที่นั่นมีเขาเป็นหมอเพียงคนเดียว มันทำให้ราวกับเป็น ‘ความหวังเดียวของหมู่บ้าน’ อย่างไรอย่างนั้น
แต่ไฉนยิ่งรักษาไปเรื่อยๆ เขายิ่งกลายเป็นเหมือนสัตวแพทย์ไปแล้วล่ะ…
“แล้วก็หมาป่าที่บาดเจ็บควรกินเนื้อแพะให้น้อยที่สุด ต้องฟังคำแนะนำของหมอนะเข้าใจไหม” พูดจบเริ่นเสี่ยวซู่ก็สูดลมหายใจสุดปอด จ้องไปที่ราชาหมาป่า แล้วว่า “อย่าลืมส่งไก่ป่าที่มีหางเขียวมาเยอะๆ ด้วย เจ้านั่นอร่อยกว่าเนื้อแพะเยอะเลย แบบโคตรอร่อยแนะ!”
ราชาหมาป่าเริ่มคร้านฟังเริ่นเสี่ยวซู่พล่ามต่อ มันหันหลังกลับเข้ารัง
ระหว่างทางกลับ เริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการได้รับสายตาเย็นชาจากคนในป้อมปราการมาก
แต่ขณะที่เริ่นเสี่ยวซู่จะถึงป้อมสังเกตการณ์แล้วนั้น เขาพลันได้ยินเสียงผิดปกติในป้อมสังเกตการณ์ ตอนนี้ทุกคนน่าจะหลับหมดแล้วสิ ทำไมถึงยังมีกองไฟลุกโชนอีก
พอเข้าไปดู ก็เห็นทุกคนนั่งย่างเนื้อรอบกองไฟกันอยู่ ในหมู่พวกเขาชายชราผมสีดอกเลาดูโดดเด่นมากที่สุด
พอชายชราเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาแล้ว เขาก็ยิ้มพูด “เธอคือเริ่นเสี่ยวซู่สินะ พวกเขาบอกว่าเธอท้องเสีย กว่าจะหมดท้องคงใช้เวลาไปนานเลยนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่สั่งเฉินอู๋ตี๋ว่าถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันให้ด้นสดไปก่อน เขาจะพูดว่าเริ่นเสี่ยวซู่ท้องเสียหรืออะไรก็ได้และพยายามอย่าพูดอะไรที่มันขัดกันจะดีที่สุด
ตอนนี้ดูแล้วเฉินอู๋ตี๋จะพลิกแพลงหาข้ออ้างเก่งขึ้นแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่เรียกเฉินอู๋ตี๋มาหา “ฉันไป ‘ถ่ายท้อง’ นานแค่ไหน”
เฉินอู๋ตี๋นับนิ้ว “หกชั่วโมง”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
เขาไม่รู้เลยจะพูดอะไรต่อดี ถามเฉินอู๋ตี๋ต่อว่า “แล้วนั่นใครน่ะ”
เฉินอู๋ตี๋คิดพักหนึ่งแล้วบอกว่า “เทพเจ้าที่!”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ไปถามเรื่องจริงจังกับเฉินอู๋ตี๋…
ตอนนั้นเองหลี่ชิงเจิ้งเห็นเริ่นเสี่ยวซู่แล้วก็รีบเข้ามาพาเขาไปนั่งด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ลอบกระซิบไปด้วย “เขามาจากสมาคมตระกูลหลี่ แล้วก็พยายามสืบสวนการหายไปของนายทหารทั้งสองคนเหมือนกัน พวกเราไม่ได้พูดเรื่องเห็นหมาป่า นายก็อย่าโพล่งปากออกไปล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้ว ชายชราผู้หนึ่งกล้ามาสืบสวนเรื่องนี้คนเดียว?