the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 221 พลังที่แท้จริงของหูชัว
ภาพตรงกองไฟหน้าป้อมสังเกตการณ์ช่างแปลกประหลาด ฝั่งหนึ่งคนย่างเนื้อกินอย่างสบายอุรา ฝั่งหนึ่งคนห้าคนเข้าแถวคุกเข่าไม่กล้าขยับตัว
น่าสังเวช คนทั้งห้าช่างน่าสังเวชยิ่ง…
เริ่นเสี่ยวซู่ลงจากรถมาดู เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ คนทั้งห้าล้วนมีสัญลักษณ์บริษัทหัวจ่งปักอยู่บนเสื้อผ้า
ที่จริงบริษัทหัวจ่งออกมาตรวจสอบเช่นนี้ก็ไม่แปลกหรอก พวกเขาอนุมานว่าการหายตัวไปของทหารนาโนแมชชีนสองนายนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้มีพลังพิเศษ จึงออกมาเสี่ยงโชคดูหน่อยเผื่อเจอคนผู้นั้น และข้ออนุมานนี้ก็แม่นยำมากทีเดียว
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็คิดไม่ผิด หลังจากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหัวจ่งมาจากหลี่เสินถาน เขาก็รีบร้อนกลับมาคืนนั้นเลย ด้วยกลัวว่าของบริษัทหัวจ่งจะทำร้ายนักเรียนที่อยู่ในป้อมสังเกตการณ์ เรื่องนี้เขาก็คาดการณ์ได้ถูกต้องเช่นกัน
เรื่องน่าแปลกใจเดียวคือ บริษัทหัวจ่งกับเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทันคิดเลยว่าชายชราจะเก่งกาจขนาดนี้…
ที่หูชัวตกใจตอนเห็นหน้าเริ่นเสี่ยวซู่คือ ถ้าเขากลับแบบนี้แสดงว่าตนต้องกลับมาสอนเขาแล้วน่ะสิ ก็เหมือนกับพนักงานบริษัทที่ในที่สุดก็ได้วันลาพัก แต่จู่ๆ หัวหน้าก็มาสั่งงานล่วงเวลานั่นแหละ ทำเอาอารมณ์เสียหมด
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ผมคิดถึงทุกคนน่ะสิครับ พวกเราเลยรีบกลับมาที่นี่ไง ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
จริงๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้อยู่แต่แรกว่าหูชัวไม่ใช่คนธรรมดา ชายชราที่ไหนกันจะขึ้นเขามาสืบสวนคดีคนเดียวกลางดึก ไม่กลัวจะโดนโจรปล้นฆ่าหรืออย่างไร เขาต้องมีอะไรที่ทำให้มั่นอกมั่นใจอยู่แล้ว
แถมเฉินอู๋ตี๋ยังพูดด้วยว่าเขาเป็นเทพเจ้าที่ จากที่เริ่นเสี่ยวซู่พอตีความได้ คือเฉินอู๋ตี๋ต้องการสื่อว่าชายผู้นี้มีพลังพิเศษ
อาจเป็นเพราะผู้ป่วยจิตเวชมีญาณรับรู้พิเศษ ขอเพียงเฉินอู๋ตี๋ตั้งใจดู มองเพียงลักษณะภายนอกก็ทราบถึงเนื้อแท้ของผู้อื่นได้
หูชัวมองหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ ยิ้มเอ่ย “รีบมากินเนื้อ”
คนของบริษัทหัวจ่งทั้งห้าหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก หูชัวพูด “พวกเขามาจากบริษัทหัวจ่งน่ะ ฉันตามหาพวกเขามาพักใหญ่แล้วล่ะ แต่ก็ซ่อนตัวกันดีมาก ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องวุ่นวายอื่นพอดี ฉันเลยหาพวกเขาไม่เจอ ใครจะไปคิดว่าฉันแค่จะมาฉลองตรุษจีนที่นี่ ก็มาส่งตัวเองถึงหน้าประตูซะงั้น…”
เริ่นเสี่ยวซู่คิด คือมาที่นี่คิดฉลองตรุษจีนจริงๆ งั้นสิ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนนอกเลยสินะ!
เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปคิดเรื่องนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าหากคนส่วนใหญ่เจอบริษัทหัวจ่งมีแต่จะหวาดกลัวไม่ก็รังเกียจ แต่การเผชิญหน้าของหูชัวกับคนของบริษัทหัวจ่งทั้งห้าทำให้เขาเกิดความประหลาดใจจริงๆ
“พวกเขามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
หูชัวยิ้มลึกลับ “พวกเขาน่าจะเป็นตัวการที่แท้จริงที่ลงมือสังหารนายทหารสองรายของสมาคมตระกูลหลี่”
พอคนของบริษัทหัวจ่งได้ยินแบบนั้นก็ตระหนก “พวกเรากำลังสืบสวนเรื่องนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่ฝีมือพวกเรานะ!”
“ฉันบอกตอนไหนว่าให้พูดได้” หูชัวจ้องพวกเขาเขม็ง
คนของบริษัทหัวจ่งหุบปากในบัดดล เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบถามคนอื่นๆ “มีใครเห็นตอนสู้กันบ้าง”
พวกนักเรียนส่ายหน้า “มีแค่พี่ใหญ่อู๋ตี๋ที่อยู่ข้างนอกตอนนั้น พวกเราทุกคนกำลังอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน”
เริ่นเสี่ยวซู่จึงหันไปถามเฉินอู๋ตี๋ “เพิ่งเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม” เขาจะใช้คำถามนี้ลองประมาณดูว่าหูชัวแข็งแกร่งขนาดไหน
พอเฉินอู๋ตี๋นึกภาพตอนสู้กัน เขาก็ได้แต่พูดว่า “สุดตีน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ “???”
เริ่นเสี่ยวซู่รอเขาเล่าต่อ แต่ก็เห็นว่าเฉินอู๋ตี๋ก้มหน้าลงกินอาหารต่อไปแล้ว
คือเฉินอู๋ตี๋สรุปการต่อสู้ง่ายๆ ว่า ‘สุดตีน’ ?
ขอคำพูดแบบปัญญาชนกว่านี้หน่อยได้ไหม!
เริ่นเสี่ยวซู่ล่ะเศร้าใจ อธิบายแค่นั้นเขาจะประมาณการณ์ความแข็งแกร่งของหูชัวได้อย่างไร จากข้อมูลน้อยนิดที่ได้มาคือ ยามหูชัวลงมือ พลังของเขาทำให้เฉินอู๋ตี๋ตะลึงไปเลย
“เขาแข็งแกร่งกว่านายเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถามเฉินอู๋ตี๋”
เฉินอู๋ตี๋คิดพักหนึ่ง “หาได้แข็งแกร่งกว่าข้าไม่”
“นายนี่มั่นใจในตัวเองไม่เบานะ” เริ่นเสี่ยวซู่เบ้หน้า ถามเรื่องจริงจังกับเฉินอู๋ตี๋ไป มีแต่จะทำให้ตัวเองสับสนเอาเปล่าๆ
ช่วงที่ผ่านมา เขาเห็นหูชัวตื่นแต่เช้ามารำมวยไทเก๊กตลอด วิชาหมัดนั่นทรงพลังขนาดนั้นเลย?
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปถามหูชัวว่า “พวกเขาฆ่านายทหารสองคนนั้นเหรอครับ”
หูชัวพูดตามตรง “ใช่แล้ว ตระกูลให้เส้นตายการสืบสวนคดีถึงพรุ่งนี้ พวกเราทำงานหนักกันมาก ตั้งใจตามหาฆาตกรอย่างมุ่งมั่น แต่ก็ตามจับใครไม่ได้เลย พวกเขาต้องเป็นผู้ลงมือแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ ตอนอยู่ที่นี่หูชัวเคยทำงานอย่างหนักด้วยเหรอ เขาแค่มาพักผ่อนกินเนื้อเฉยๆ ไม่ใช่หรืออย่างไร ชายชราผู้นี้ไม่เคยตั้งใจออกตามหาฆาตการเลย!
แต่ได้คนของบริษัทหัวจ่งมาเป็นแพะเช่นนี้ เริ่นเสี่ยวซู่มีแต่จะยินดี ตราบใดเขาไม่ใช่คนที่ถูกจับกุม เขาก็ยินดีหมดนั่นแหละ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่พอมีลางสังหรณ์อยู่ว่าที่จริงหูชัวพบเบาะแสอะไรไปแล้ว พวกเขาต่างไม่ใช่คนโง่ ตอนหูชัวมาถึงตอนแรก เรื่องที่เขาไปถ่ายท้องหกชั่วโมงรวดเป็นเรื่องโคตรจะเชื่อไม่ลง แถมราชาหมาป่าก็ส่งสัตว์ที่ล่ามาให้แบบนี้ ขนาดคนปัญญาอ่อนยังรู้เลยว่าป้อมสังเกตการณ์นี้กับหมาป่ามีความเกี่ยวข้องกัน
เริ่นเสี่ยงซู่ไม่คิดไปเองหรอกว่าตัวเองโชคดีอะไรแบบนั้น เป็นเพราะพวกเขาสองคนตอนนี้มีข้อตกลงเป็นนัยๆ กันแล้วต่างหาก
เริ่นเสี่ยวซู่คิดแล้วก็พลันสงสัยจริงๆ ว่าหูชัวมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เป็นเพราะเขาจะได้กินเนื้อแบบสบายใจอย่างนั้นเหรอ แบบนั้นเป็นไปได้ด้วยเหรอ!
“แต่มันน่าจะมีการสอบปากคำใช่ไหมครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ถ้าพวกเขายอมตายแต่ไม่ยอมรับผิดล่ะ”
“ถ้าพวกเขาตายก็ยอมรับผิดไม่ได้แล้ว” หูชัวพูดเสียงนิ่ง “สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘ยอมตายดีกว่ายอมรับผิด’ ก็หมายความว่าอย่างงี้ไม่ใช่เหรอ”
พอทหารของบริษัทหัวจ่งได้ยินแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าตนหมดทางรอดแล้ว! พวกเขาที่ครอบครองพลังเหนือคนทั่วไป จะยอมรอความตายอยู่ได้อย่างไร!
พริบตานั้นเอง คนทั้งห้าก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหนีลงเขาไป พวกเขาไม่มีความคิดจะสู้กับหูชัวและเริ่นเสี่ยวซู่เลย แค่สู้หูชัวคนเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้มีตัวแปรไม่ทราบที่มาอย่างเริ่นเสี่ยวซู่อีก ทางเดียวจะรอดได้คือต้องหนีไป
ขณะที่คนของหัวจ่งวิ่งหนีนั้น หูชัวกลับนั่งไม่เคลื่อนไหว เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าหูชัวยังไม่ลงมือ เขาจึงอยู่เฉยด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ไม่ตามพวกเขาไปเหรอครับ”
หูชัวหัวเราะ “ร่างกายแก่ๆ นี่จะตามไปไหวได้ไง เธอไม่ตามพวกเขาไปแทนล่ะ”
“คนของบริษัทหัวจ่งต่างเป็นผู้มีพลังพิเศษ ผมเป็นแค่คนธรรมดา จะไปตามล่าพวกเขาได้ไงล่ะครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มตาหยี
พวกเขามองคนของบริษัทหัวจ่งหนีออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสองคนยังคงนั่งโดยไม่ออกไล่ตาม คนของบริษัทหัวจ่งหันมาเห็นภาพนี้ก็ยินดีสุดๆ น่าแปลกใจมากที่พวกตนไม่โดนตามล่า!
แต่พอพวกเขาวิ่งลงเนินไป กอหญ้าตรงทางภูเขาก็ถูกแหวก ชั่วพริบตานั้นทหารครบหน่วยก็ผุดขึ้นมาจากใต้เงาของร่มไม้ กระสุนกราดยิงขึ้นมาจากสนามเพลาะ คนทั้งห้าที่กำลังเหนื่อยอ่อนไม่ทันตั้งตัว!
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากเนินเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั่นตั้งที่ซุ่มโจมตีไว้ตอนไหน