the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 233 สงครามใกล้แตกหัก
ทั้งวันนี้หูชัวอารมณ์ไม่เลวเลย ฝึกไทเก๊กตอนเช้าก่อนไปสอนเหล่าเด็กหนุ่ม พอเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่ปุ๊บ ให้ตายเถอะ ช่างเป็นวันดีจริงๆ
และก็อย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ไว้ หูชัวจะส่งคนไปรับเหยียนลิ่นหยวนและคนอื่นๆ ถ้าทำแบบนั้นคงช่วยไปได้เยอะเลย แต่แน่ล่ะ ที่ทำแบบนี้แทนเพราะเขามีจุดประสงค์อื่นอยู่
ถ้าเขาพาเหยียนลิ่วหยวน หวังฟู่กุ้ย และคนที่เหลือมาเอง เขาจะหาข้ออ้างไหนส่งเริ่นเสี่ยวซู่ออกไปล่ะ
ถ้าไม่นับเหตุผลอื่น ให้ตำแหน่งนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่แล้วสามารถส่งเริ่นเสี่ยวซู่ออกนอกป้อมสังเกตการณ์ไปทั้งวัน ถือว่าคุ้มมาก
และก็เป็นดังนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ยุ่งเกือบทั้งวัน แค่เดินทางกลับเมืองน้อยก็ใช้เวลาไปหกชั่วโมงแล้ว แถมถ้าเจออุปสรรคระหว่างทางอาจจะเป็นแปดชั่วโมงเลยก็ได้
นี่มันแจ่มอย่างกับได้วันลาเพิ่มแน่ะ!
ใครจะคิดว่าตอนบ่ายจะมีคนเอาโทรศัพท์ดาวเทียมมาให้เขา กล่าวว่าผู้บัญชาการของกองตรวจสอบโทรมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ตอนแรกหูชัวยังงงๆ อยู่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่หลังจากรับสายแล้ว เขาก็ได้รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไปยุ่งเรื่องการตรวจสอบการค้าของเถื่อนในเมืองน้อย! ทุกอย่างมีระบบอยู่ แต่ละกองมีหน้าที่แยกกันชัดเจน ถ้าไปล่วงล้ำเขตอำนาจของผู้อื่นล่ะก็ ไม่อาจรับได้เด็ดขาด
หูชัวฟังเขาพูดแล้วก็ตะลึง กลับเมืองน้อยไปรับครอบครัวมาไม่ใช่เหรอ ไปไงมาไงถึงไปยุ่งเรื่องการตรวจสอบการค้าของเถื่อนได้!
เขาวางสายเสร็จ ก็หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ “เธอไปตรวจสอบการค้าของเถื่อนมางั้นสิ”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ผมแค่ช่วยกองงานของท่านบุกเบิกหน้าที่ใหม่ ผมเจ๋งไหมล่ะ”
หูชัวพูดอย่างขมขื่น “ฉันไปขอให้เธอบุกเบิกหน้าที่ใหม่ตอนไหน งั้นไม่ไปทำงานของกองดูแลความสงบเรียบร้อยด้วยเลยล่ะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ใคร่จะพอใจ “ท่านพูดเองไม่ใช่เหรอครับว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ ก่อนจะเดินทาง ผมถามท่านว่ายังไงนะ ผมถามว่าไม่กลัวผมจะใช้อำนาจในทางที่ผิดเหรอ ท่านบอกเองว่าผมจะไปทำอะไรได้”
แววตาของหูชัวแทบจะลุกเป็นไฟด้วยความโมโหแล้ว แต่ตอนนั้นเอง เหยียนลิ่วหยวนก็รุดหน้าขึ้นมาและพูดอย่างเฉลียวว่า “สวัสดีครับคุณปู่หูชัว ยินดีที่ได้รู้จัดครับ”
พอหูชัวเห็นเหยียนลิ่วหยวนหน้าตาสะอาดสะอ้านมาคุยด้วย เขาก็รั้งความโมโหไว้และยิ้มพูด “สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ครับ” เหยียนลิ่วหยวนว่า “ผมได้ยินเรื่องของท่านมาจากพี่แล้ว เขาบอกว่าท่านเป็นมหาบุรุษที่ตอบได้ทุกคำถามในชั้นเรียน ตอนผมโตแล้ว ผมอยากเรียนกับท่านครับ!”
“ฮ่าๆๆๆ อย่างงั้นเลยเหรอ” โทสะหูชัวหายไปในบัดดล “เจ้าเด็กนั่นพูดงั้นจริงสิ”
“ใช่ครับ” เหยียนลิ่วหยวนว่า “อย่าโมโหไปเลยนะครับ เขาไม่ได้ตั้งใจ”
“งั้นช่างมันแล้วกันเนอะ ฉันไม่โกรธแล้ว” หูชัวยิ้มกว้าง “เอาสัมภาระไปเก็บไว้ในบ้านเร็ว เดี๋ยวพวกเราเตรียมอาหารสำหรับทุกคนให้ โอ้ มีคุณหนูมากเลยทีเดียว”
“ขอผมขอบคุณท่านก่อนแล้วกันนะครับคุณปู่หูชัว” เหยียนลิ่วหยวนหันมาขยิบตาให้เริ่นเสี่ยวซู่ เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่เหยียนลิ่วหยวนไปตีสนิทกับพวกผู้หญิงในเมืองน้อยได้นั้นเป็นบทพิสูจน์ความสามารถนี้แล้ว
หูชัวหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “น้องเธอนี่ฉลาดกว่าเธอแยะ ไปทำความสะอาดบ้านไป ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ!”
ขณะเดียวกันนั้น เฉินอู๋ตี๋ก็พาพวกเสี่ยวอวี้เยี่ยมชมรอบๆ ป้อมสังเกตการณ์ ที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร หลังจากเสี่ยวอวี้เห็นสภาพบ้านทั้งหมดแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมในบ้านมันสกปรกจังล่ะ หนุ่มตัวโตแบบพวกนายทำความสะอาดไม่เป็นกันหรือยังไง”
เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “ช่วงนี้พี่เสี่ยวอวี้หมกมุ่นกับความสะอาดมาก พวกเราทุกคนที่บ้านหวาดๆ กันมากเลยล่ะ ไม่กล้ากินอาหารโดยไม่ล้างมือก่อนด้วยซ้ำ ขนาดลุงฟู่กุ้ยยังหวาดๆ เลย…”
“เอาล่ะสาวๆ ไปหาอุปกรณ์ทำความสะอาดมา พวกเราจะทำความสะอาดบ้านพวกนี้กันก่อน” เสี่ยวอวี้สั่งพวกนักเรียนหญิงราวกับหัวหน้าแม่บ้าน พวกนักเรียนหญิงเองก็เชื่อฟังเธอดีมาก
ป้อมสังเกตการณ์นี้มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นอดีตผู้อพยพที่ไม่เคยผ่านการฝึกทหาร มโนทัศน์ด้านรักษาความสะอาดของบ้านอะไรแบบนั้นไม่มีหรอก แต่ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ตลอดทั้งป้อมก็ดูสะอาดสะอ้านอีกครา ขนาดหลี่ชิงเจิ้งกับคนของเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี้เป็นที่พักของตน
เสี่ยวอวี้และพวกนักเรียนหญิงถึงกับทำความสะอาดกระจกหน้าต่างให้ด้วยซ้ำ ทำให้ในบ้านดูสว่างมากขึ้น ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ นับวันเสี่ยวอวี้ยิ่งเหมือนแม่บ้านที่อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนเข้าไปทุกที
ตอนที่พวกหลี่ชิงเจิ้งเห็นผู้หญิงเดินเข้าๆ ออกๆ เพื่อทำความสะอาดบ้านตัวเอง พวกเขาก็ละสายตาไปไหนไม่ได้เลย
ขณะเดียวกันยามพวกนักเรียนหญิงเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวน พวกเธอก็จะส่งยิ้มหวานไปให้พวกเขา
พวกผู้ชายนั่งย่างเนื้อกันอยู่รอบกองไฟ หลี่ชิงเจิ้งรำพึงรำพัง “สหายเสี่ยวซู่ช่างเก่งกล้าสามารถนัก!”
ดวงตาพวกเขาทอประกายด้วยความอิจฉา
ตอนนี้เสี่ยวอวี้กำลังยืนพ่นลมหายใจอยู่หน้าประตู “ทำความสะอาดเสร็จแล้ว”
เธอหันไปมองยังกองไฟและพูด “ทุกคนกินแต่เนื้อย่างอย่างเดียวได้ยังไงกัน เดี๋ยวฉันผัดผักให้”
หวังฟู่กุ้ยยิ้มพูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ “ตอนนี้ทั้งบ้านเราผูกติดกับเสี่ยวอวี้แล้ว ถ้าไม่มีเธอล่ะก็ทุกอย่างได้อลหม่านแน่ เสี่ยวซู่ สมาคมตระกูลหลี่เตรียมจะก่อสงครามแล้ว พวกเราจะได้รับผลกระทบหนักเลยหรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “เจอหรือยังว่าป้อมปราการ 88 อยู่ทางไหน”
“ยังเลย” หวังฟู่กุ้ยส่ายหน้า “ทำไมไม่ถามผู้เฒ่าคนนั้นล่ะ ดูเหมือนเขาจะมีความรู้มากเลยนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปดูหูชัว เขากลัวว่าถ้าถามออกไปหูชัวจะมองเขาเป็นศัตรู อย่างไรเสียหูชัวก็เป็นนายทหารระดับสูงของสมาคมตระกูลหลี่ เขาต้องอยู่กับสมาคมอยู่แล้ว แต่ยิ่งเริ่นเสี่ยวซู่ได้รับข้อมูลมาพิจารณาตัวเขามากขึ้น ก็คิดว่าตนเองสามารถถามหูชัวแบบไม่เสี่ยงภัยได้แล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่เรียกทุกคนให้มานั่งที่กองไฟ จากนั้นเขาก็ไปนั่งข้างหูชัวแล้วถามว่า “ท่านรู้หรือเปล่าครับว่าป้อมปราการ 88 อยู่ไหน”
“ป้อมปราการ 88 ของสมาคมตระกูลหยางน่ะนะ” หูชัวจ้องเริ่นเสี่ยวซู่ “ถามไปทำไม”
“ผมไม่อ้อมค้อมนะครับ ตอนแรกพวกเรากะจะไปป้อมปราการ 88 แต่โดนเรียกเกณฑ์ทหารและมาลงเอยที่นี่เสียก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบาย
“ฉันแนะนำว่าอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ดีกว่า” หูชัวว่า “ป้อมปราการ 88 อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของป้อมปราการ 108 ซึ่งทางนั้นมีกองทัพใหญ่ของสมาคมตระกูลหลี่และหยางประจำการณ์อยู่ ระหว่างป้อม 88 กับ 108 มีป้อมปราการอื่นตั้งอยู่อีกสามแห่ง ถ้าคิดจะไปที่นั่นคนเดียว เธออาจจะทำได้ก็ได้ แต่พรรคพวกคนอื่นๆ ของเธอล่ะ พวกเขาจะไปถึงที่นั่นได้ยังไง พึ่งเพียงตัวตนคนของกองสืบสวนพิเศษไม่พอหรอกนะ”
“มันจะมีสงครามจริงๆ เหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ขนาดสมาคมตระกูลชิ่งยังส่งกองกำลังมาประชิดชายแดนสามสมาคมแล้วด้วย” หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “สมาคมตระกูลหลี่พยายามรับมือกับตัวทดลองในป้อม 109 อยู่ แต่สงครามใหญ่ก็ใกล้แตกหักแล้ว ถ้าอยากจะข้ามสนามรบไปจนถึงป้อมปราการ 88 ให้ได้ล่ะก็ ก็ต้องเตรียมใจเลยว่าต้องมีสหายล้มตายจากกระสุนปืนน้อยใหญ่บนสนามรบไร้นัยน์ตา ไม่มีใครสนใจหรอกว่าใครคือใคร
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น “แล้วอยู่ที่ป้อมสังเกตการณ์จะปลอดภัยเหรอครับ พวกเราสามารถซ่อนตัวกันที่นี่จนสงครามจบได้เหรอ”
หูชัวถอนหายใจ “สมาคมตระกูลหลี่มีทหารไม่พอ เลยได้แต่ส่งทหารในกองกำลังส่วนตัวออกมารับกระสุนในแนวหน้าที่ป้อมสังเกตการณ์ต่างๆ”