the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 245 ทิ้งรถเคลื่อนพลขึ้นเขาด้วยเท้า!
เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างเป็นมิตร “นายยศไหน ชื่ออะไร”
ทหารนาโนแมชชีนตอบ “ร้อยโท ต่งหมิงส้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่ตบบ่าเขาแล้วว่า “ดี ฉันยศร้อยเอก นายทำดีมาก รีบกลับไปพักเถอะ”
ทหารนาโนแมชชีนพยักหน้าอย่างเหม่อลอย เขาลอบจำหมายเลขทหารของเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ กะจะกลับไปตรวจตอนถึงเต็นท์ตัวเองแล้ว เขาอยากรู้ว่าคนผู้นี้มาจากกองสืบสวนพิเศษจริงๆ หรือเปล่า
ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการของฐานปฏิบัติการหน้ากำลังนิ่งอึ้งหลังจากเห็นกลุ่มคนถล่มที่โรงอาหาร ผู้ดูแลโพล่งกลางความเงียบงันว่า “ท่านครับ ผมว่ากองพันเทพยนต์นี้มีอะไรแปลกๆ แล้วนะ พวกเขาจะกินเก่งกันไปหรือเปล่า”
นอกจากจะกินกันเก่งแล้ว ตอนออกจากโรงอาหารไปยังจะเอาอาหารไปด้วย ทำเอาคนของโรงอาหารไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
ตอนที่กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่มา พวกเขาคิดว่าคนแค่สามสิบนายคงกินไม่เท่าไรหรอก อยากกินเท่าไหนก็กินไป แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุประหลาด ตอนแรกพวกเขามาทานอาหารกันเองไม่ใช่เหรอ ไฉนๆ ไปๆ มาๆ เพื่อนพวกเขาถึงต่างแห่กันมากินกันหมดเลยล่ะ
ทันใดนั้นก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาในโรงอาหาร ผู้บัญชาการฐานปฏิบัติการหน้าถาม “สรุปรู้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ทหารนายนั้นอึกอักไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมรายงานไปยังกองพันเทพยนต์กับกองสืบสวนพิเศษแล้วครับ แต่กลายเป็นว่าทั้งสองฝั่ง…บอกว่าพวกเราไม่สิทธิ์ถามว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น”
ถ้าพวกเขาบอกว่าพวกตนไม่อาจถามอะไรได้ เช่นนั้นก็ก้มหน้ารับไปแล้วกัน ถ้าคนที่มากินอาหารเป็นตัวปลอมจริงๆ เบื้องบนคงโหวกเหวกสั่งลงมาให้ตรวจสอบอย่างถ้วนถี่แล้ว
ผู้บัญชาการฐานปฏิบัติการหน้าไม่รู้เลยว่าทางกองพันเทพยนต์รู้ทันทีว่าคนที่มากินอาหารนั้นเป็นทหารกองกำลังส่วนตัว แต่เพื่อไม่ให้แผนแตก อย่างไรพวกเขาก็ได้แต่ยอมรับไปว่าคนพวกนี้เป็นคนของพวกเขาเอง
ส่วนหูชัว…เขาชินชาไปแล้วล่ะ
ที่จริงผู้บัญชาการของกองพันเทพยนต์ก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกว่าทหารกองกำลังส่วนตัวพวกนี้จะกินอะไรไป เพราะอย่างไรก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนโควตาอาหารของกองพันอยู่แล้ว ที่ทำให้พวกเขากังวลใจมากกว่าคือกองสืบสวนพิเศษกำลังสืบสวนหาตัวสายลับในค่ายต่างหาก
และหูชัวก็ชินกับเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ กลับเข้าเต็นท์มา ทุกคนต่างก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่โดนทำโทษ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามออกไป
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ใจดีมากแล้วที่มาบอกว่าพวกเขาสามารถไปกินอาหารได้ที่ไหน แต่พวกเขากลับตอบแทนด้วยการหักหลังเสียได้ นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกละอายใจนัก
เฉินอู๋ตี๋นั่งลงในเต็นท์ ถามเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ท่านอาจารย์ไม่กล่าวโทษพวกเขาเหรอ ท่านอุตส่าห์ช่วยให้พวกเขามีอะไรกิน แต่กลับไม่มีใครรุดออกมาพูดแทนท่านเลย”
เฉินอู๋ตี๋เตรียมจะสู้หลบหนีพร้อมกับเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายเริ่นเสี่ยวซู่ก็ใช้ตัวตนกองสืบสวนพิเศษมาคลี่คลายสถานการณ์
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “กล่าวโทษน่ะแน่อยู่แล้ว แต่ฉันก็คาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วเหมือนกัน”
“แต่อาจารย์ ข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธจากท่านเลยนะ” เฉินอู๋ตี๋พูดเสียงค่อย “ข้าโมโหนัก และก็ยังโมโหอยู่ และในอนาคตถ้าคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็จะโมโห เรื่องพวกนี้เมื่อก่อนก็เคยมี และเจ้าพวกคนชั่วพวกนั้นด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว”
“อืม” เฉินอู๋ตี๋พยักหน้า “อาจารย์เข้านอนเถอะ ข้าจะเฝ้ายามกะแรกของคืนให้เอง”
“ได้” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้านอน มีเฉินอู๋ตี๋คอยเฝ้า เขาจึงไม่กลัวจะโดนโจมตี เต็นท์หลังนี้ เขาเชื่อใจแค่เฉินอู๋ตี๋และนักเรียนทั้งแปดคน แม้กระทั่งหลี่ชิงเจิ้งเขาก็ไม่เชื่อใจ
ความเชื่อใจระหว่างเขา เฉินอู๋ตี๋ และนักเรียนทั้งแปดนั้นค่อยๆ สะสมกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกจากป้อมปราการ 109 มา ไม่มีใครทรยศเขาสักคนเดียว และแน่นอนคนที่เขาเชื่อใจที่สุดยังคงเป็นเฉินอู๋ตี๋
หลี่ชิงเจิ้งและคนอื่นๆ หันมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยความสงสัยว่าทำไมเขายังคงใจเย็นได้ขนาดนี้ คืนนี้เกิดสถานการณ์ตั้งมาก แต่เขากลับหลับลงได้อย่างรวดเร็ว
เฉินอู๋ตี๋นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่ปรามไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ เขาไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้ามาใกล้เริ่นเสี่ยวซู่
พอรุ่งสาง นายทหารจากกองพันเทพยนต์ก็เดินทางไปพร้อมกับกองพันกองกำลังส่วนตัวราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แนวหน้าที่เขาเฟิ่งอี๋ เขาเทียนโถว และเขาชวงหลงนั้นอยู่ลึกมาก ถ้าสงครามเริ่มระเบิด มันจะมีทางภูเขาที่สามารถบุกจู่โจมใจกลางของสมาคมตระกูลหลี่ได้โดยตรงเลย ดังนั้นสมาคมตระกูลหลี่จึงส่งทัพทหารกองกำลังส่วนตัวไปทำหน้าที่เป็นตัวรับกระสุน คอยอุดช่องโหว่แนวป้องกันที่นั่น
ในช่วงฤดูร้อน ทั่วทั้งบริเวณในที่แห่งนี้จะมีหมอกปกคลุม ทั้งยังมีฝนตกอยู่เนืองๆ ตามวัฏจักรของอุทกวิทยา
โชคดีที่ว่าตอนนี้เป็นหน้าหนาว อากาศหนาวเย็นลงทุกวัน ทำให้พวกสายธารเล็กๆ หลายแห่งแข็งเป็นน้ำแข็งไป
แต่พอออกเดินทาง พวกเขาก็เจอปัญหาใหม่
กองพันเทพยนต์ที่แท้จริงขับรถบรรทุกทหารไปหมดแล้ว พวกเขาคิดแต่จะสลับรถกันโดยลืมไปว่าทหารกองกำลังส่วนตัวไม่ได้ผ่านการฝึกขับรถมาก ทหารที่ขับรถเป็นก็มีเพียงส่วนน้อย
ระหว่างที่เดินทางด้วยรถบรรทุกนั้น รถคันเดียวก็จุได้สามสิบคนแล้ว ถ้ามีอีกคนที่ขับรถเป็นขึ้นมาด้วย พวกเขาก็สลับกันขับได้
แต่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนมาใช้รถออฟโรดแล้ว…จึงมีพลขับรถไม่เพียงพอ
นายทหารคนหนึ่งของกองพันเทพยนต์ยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้ารถออฟโรดมากมาย ทำไมแผนการพวกเขาถึงเละไม่เป็นท่าอยู่เรื่อยเลยล่ะ
แต่นายทหารจากกองพันเทพยนต์ผู้นี้เป็นคนเด็ดขาด ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดว่า “ทิ้งรถ พวกเราจะเดินทางขึ้นเขาด้วยเท้า อย่าใช้ทางเส้นหลัก ทำเหมือนว่าเรากำลังตั้งใจปิดบังร่องรอย!”
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจคำตัดสินนี้ดี การเดินทางผ่านแดนรกร้างกลางขุนเขาจะเกิดเป็นความลึกลับประการหนึ่ง ถ้ามีสายลับมาเจอกองทัพในเครื่องแบบเทพยนต์ที่ตั้งใจเคลื่อนไหวอย่างปกปิดร่องรอยในแดนรกร้างกลางขุนเขาแทนที่จะใช้ถนนเส้นหลักล่ะก็ พวกสายลับคงเกิดความคิดจะติดตามแน่ว่าจะไปที่ไหนกัน
แต่เขาเพิ่งเรียนวิธีขับรถมาไม่ใช่เหรอ ทว่าตอนนี้ต้องทิ้งรถไว้ข้างถนน ไม่ได้ใช้งานอีกแล้วน่ะนะ?
แถมดูจากสมรรถภาพร่างกายของทหารกองกำลังส่วนตัวพวกนี้แล้ว ถ้าเดินทางฝ่าป่าเขาแบบนี้ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งแน่ที่ไม่อาจไปถึงปลายทาง
ตอนนั้นเอง เฉินอู๋ตี๋ก็ถาม “ถ้าพวกเราเข้าไปในป่าเขาแล้วพวกสายลับไม่เจอพวกเราล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เกือบจะปรบมือ “เป็นคำถามที่ดี”
พวกสายลับไม่จู่ๆ ก็เดินทอดน่องในป่าเขาหรอก พวกเขาเดินทางโดยใช้เส้นทางหลักกับกองทัพหลักอยู่แล้ว ดังนั้นมีความเป็นได้ว่าสายลับจะไม่รู้เลยว่าบนป่าเขานี้มีกองกำลังหนึ่งลอบเดินทัพอยู่
ร่องรอยพวกเขาถูกปกปิดดีเกินไป…
นายทหารกองพันเทพยนต์เงียบไปพักหนึ่ง “ทำตามที่ฉันพูดก็พอ!”
ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่มาจากกองสืบสวนพิเศษ เขาก็ไม่มีอำนาจไปแทรกแซงแผนการของกองพันเทพยนต์ได้ หน้าที่เขาคือการหาสายลับ ส่วนคำสั่งบนสนามรบพวกเขามีอำนาจเด็ดขาด!
ถึงกองพันเทพยนต์ไม่อยากผิดใจกับกองสืบสวนพิเศษ แต่ถ้าเกิดมีอะไรบางอย่างทำให้แผนล่มล่ะก็ ใครกันล่ะที่เป็นผู้รับผิดชอบ กองสืบสวนพิเศษหรือกองพันเทพยนต์?
แต่เรื่องของเรื่อง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจหรอกว่ากองสืบสวนพิเศษจะโดนโยนความผิดใส่หรือเปล่า