the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 249 ปกป้องเฉินอู๋ตี๋
ตอนบ่ายทุกคนพบเนินใต้ลมแห่งหนึ่งจึงพักชั่วคราวที่นั่น หมั่นโถวที่ทุกคนเอามาแข็งไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น วิถีในแดนรกร้างก็เป็นเช่นนี้
ตามที่เหล่าทหารกองกำลังส่วนตัวเคยว่าไว้ มีหมั่นโถวให้กินก็ดีถมเถแล้ว
ขณะที่พวกทหารกำลังกินเสบียงกันอยู่นั้น ก็มีคนบ่นออกมาว่า “พวกเขาโหดร้ายเกินมนุษย์มนาแล้ว ให้พวกเราเดินทัพกลางอากาศโหดร้ายแบบนี้!”
“แล้วทำอะไรได้เหรอไง” ทหารนายหนึ่งกัดหมั่นโถวแช่แข็ง “ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อคืนเก็บหมั่นโถวไว้บ้าง วันนี้คงได้ตายระหว่างทางแล้ว เดินทางกลางอากาศแบบนี้โดยไม่มีอาหารนี่เป็นไปไม่ได้เลย”
“เหอๆ ดูพูดเข้าสิ แต่เห็นหลิวไท่อวี่สภาพงั้นแล้วฉันโคตรสะใจ” มีคนว่า “เบี้ยเลี้ยงพวกเราเข้ากระเป๋าไอ้เวรหลี่ไท่อวี่ไปหมดแล้ว!”
“แต่แค่นี้ไม่พอหรอก ทำไมพวกนายทหารเทพยนต์ไม่กระทืบเขาให้ตายไปเลยวะ” ทหารคนหนึ่งพูดอย่างโมโห
“อีกตั้งหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงเขาเทียนโถวที่ใกล้ที่สุด เขาเฟิ่งอี๋แล้วก็เขาชวงหลงยิ่งอยู่ไกลออกไปอีก ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าหิมะตกหนักขนาดนี้พวกเราจะไปถึงที่หมายหรือเปล่า” มีคนพูดอย่างสิ้นหวัง “แถมตอนนี้ไอ้พวกกองกำลังคุ้มกันยังเริ่มจับตาพวกเราแล้วด้วย ยังไงก็หนีไม่ได้แน่”
“เลิกคิดเหอะ” อีกคนว่า “หนีเนี่ยนะ? จะเข้าเขาไปโดดๆ กลางอากาศแบบนี้เพื่อไปตายนี้ต้องกล้าหาญไม่น้อยเชียว ถ้าอยู่ด้วยกันยังพอมีโอกาสรอดอยู่ แต่ถ้ากลายเป็นทหารหนีทัพล่ะก็ ได้ตายแน่นอน”
“ขอฉันแนะนำอะไรหน่อยสิ” มีคนหัวเราะ “เดี๋ยวพอเราออกเดินทางอีกรอบก็แกล้งเป็นลมไง พอเป็นลมแล้วเดี๋ยวไอ้เอ๋อเฉินอู๋ตี๋ก็เข้ามาแบกเอง แบบนั้นจะได้ไม่ต้องเดินให้ลำบากด้วย!” ทว่าพอพูดจบ เขาก็สันหลังชาวาบ อากาศหนาวเหน็บเย็นเยียบกว่าเดิม พอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าทุกอย่างปกติ แปลกจัง มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังลอบตัดเนื้อหมักเกลือแบ่งให้เฉินอู๋ตี๋กับพวกนักเรียน
เฉินอู๋ตี๋กระซิบ “อาจารย์ ข้าเพิ่งฟื้นพลังหูตามลม[1]”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไป “แต่ฉีเทียนต้าเซิ่งไม่มีพลังนี้นะอู๋ตี๋”
เฉินอู๋ตี๋ตอบ “แต่ฉีเทียนต้าเซิ่งฉบับของข้ามี”
“อืม…” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า อยากทำอะไรทำโลด บอกตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้แล้วว่าเฉินอู๋ตี๋เป็นฉีเทียนต้าเซิ่งฉบับไหนกันแน่
สามารถเอาฉบับต่างๆ มา ‘มัด’ รวมกันแบบนี้ช่างสุดยอดจริงๆ…
“อาจารย์” เฉินอู๋ตี๋พูดอย่างเศร้าหมอง “ข้าไม่อยากช่วยพวกเขาแล้ว”
“ทำไมล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ไปได้ยินอะไรมา”
“พวกเขาบอกตอนเดินทางอีกรอบจะแกล้งเป็นลมให้ไอ้เอ๋อเฉินอู๋ตี๋แบก”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่นทันที “ใครเป็นคนพูด”
เฉินอู๋ตี๋ไม่บอกว่าเป็นใคร “ถ้าข้าบอกไป แล้วท่านลงมือสังหารคนล่ะ”
“แค่ฆ่าคนมันจะเท่าไหร่กันเชียว” เริ่นเสี่ยวซู่แค่นเสียง
“อาจารย์…” เฉินอู๋ตี๋ว่า “ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนบนโลกช่างชั่วร้ายนัก”
“คนชั่วย่อมได้รับผลชั่ว” เริ่นเสี่ยวซู่พูดพลางมองไปยังทหารกองกำลังส่วนตัวรอบๆ ด้วยใบหน้าอึมครึม เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เขาคิดอยากฆ่าคน
ช่วงบ่ายพวกเขากลับไปเดินทางต่อ เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปกับทุกคนด้วยความเงียบขรึม ทันใดนั้นเองก็มีทหารห้านายล้มพับไปพร้อมกัน เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ เดินไปหาพวกเขา ระหว่างนั้นเขาแสร้งเผลอเหยียบหลังมือของคนผู้หนึ่งไปด้วย ชายผู้นั้นเจ็บจนตัวสั่น แต่ก็ยังแสร้งเป็นยังไม่ได้สติ ไม่ว่าเกิดอะไรก็ไม่ลืมตาขึ้นมา
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูดกับหลี่ชิงเจิ้ง “หยิบเชือกมาให้ที ที่เป้สนามมีอยู่”
“ได้” หลี่ชิงเจิ้งไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะเอาเชือกไปทำไม แต่ก็ยังหยิบให้อยู่ดี
เขามองเริ่นเสี่ยวซูเอาเชือกมัดขาคนทั้งห้าที่นอนอยู่กับเพื่อน จากนั้นก็ลากพวกเขาไปในพื้นหิมะ!
คนผู้หนึ่งในกลุ่มห้าคนสัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติ เขาก็อยากลุกขึ้นมาบอกว่าตัวเองได้สติแล้ว แต่พอยันตัวปุ๊บก็โดนเริ่นเสี่ยวซู่ถีบเข้าที่อก ทำเอาเขากระอักเลือดคาที่!
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ทุกคนหันมองแผ่นหลังของเขา เกล็ดหิมะลอยล่องรอบตัว จิตสังหารเต็มเปี่ยม
เขาพูดเสียงนิ่ง “ฉันบอกให้ลุกได้แล้วเหรอ”
คนผู้หนึ่งลุกขึ้นมาเป็นการตอบโต้ พร้อมคำรามว่า “ถ้าโดนลากไปตามหิมะแบบนี้พวกเราได้ตายแน่ สู้!”
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ลุกดี ก็โดนเริ่นเสี่ยวซู่ถีบกลับไปนอนกับหิมะ ตอนที่เท้าถีบตรงอก พวกเขารู้สึกเพียงว่าฝ่าเท้านี้ไม่ต่างจากเหล็กกล้า คนอื่นๆ ที่มองอยู่ไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเริ่นเสี่ยวซู่ออกเท้าเร็วแค่ไหน คิดแค่ว่าหิมะตกทำให้มองเห็นไม่ชัด
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปส่งยิ้มให้คนอื่นๆ “ต่างโตๆ กันหมดแล้ว หวังว่าจะเดินกันเองเป็นเนอะ?”
เฉินอู๋ตี๋มองเริ่นเสี่ยวซู่ผู้ยืนอยู่กลางหิมะอย่างเหม่อลอย “ท่านอาจารย์…”
องคาพยพของชายหนุ่มกลางพายุหิมะบนขุนเขาช่างลางเลือน เขายิ้มให้เฉินอู๋ตี๋แล้วว่า “อาจารย์จะช่วยนายระบายความขุ่นข้องใจเอง”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ดึงเชือกลากพวกเขาทั้งห้าไปตามทุ่งหิมะ หลี่ชิงเจิ้งรุดเข้าไปหา “เดี๋ยวฉันช่วยลาก”
นักเรียนของเจียงอู๋ทั้งแปดก็เข้าไปหาด้วย “หัวหน้าห้อง พวกเราจะช่วยด้วย”
ตอนนี้ไม่มีใครในกองทัพกล้าพูดแทนกลุ่มชายห้าคน คนที่จับเส้นสายความเป็นมาได้แล้วพอเดาออกว่าเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะรู้แล้วว่าทั้งห้าคนนี้คิดฉวยโอกาสจากความใจดีของเฉินอู๋ตี๋
บางครั้ง ก็มีคนบางจำพวกที่โดดเด่นเหนือคนมากมายดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะเปิดเผยตน ทุกคนก็คิดเพียงว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เอง ความดุร้ายของเขาได้ทำให้ทุกคนหวาดผวาแล้ว พวกเขารู้ทันทีว่าเริ่นเสี่ยวซู่คิดลากเจ้าห้าคนนั้นผ่านหิมะจนตายไปเอง!
ตอนที่นายทหารกองพันเทพยนต์ที่อยู่หน้าสุดของขบวนทัพเห็นภาพนี้ เขาก็งุนงงไปบ้าง “ได้ยินมาว่าในกองสืบสวนพิเศษมีคนดุร้ายไม่น้อย ตอนแรกไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วล่ะ”
นายทหารกองพันเทพยนต์อีกคนพึมพำ “หลังสงครามจบแล้วไปเจอคนอื่นๆ เตือนพวกเขาด้วยนะว่าอย่าไปหาเรื่องคนของกองสืบสวนพิเศษ วิธีการลงมือของพวกเขาอำมหิตโคตรเลย…”
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่เคยเปิดปากยอมรับความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กับเฉินอู๋ตี๋เลย อย่างไรเขาก็ไม่เคยสอนอะไรเฉินอู๋ตี๋มาก่อน แถมเขาเข้ามาเป็นศิษย์อย่างประหลาดยากอธิบายด้วย
แต่เริ่นเสี่ยวซู่นิยมชมชอบที่เฉินอู๋ตี๋เรียกตนว่าอาจารย์จริงๆ เฉินอู๋ตี๋เป็นดั่งอัญมณีกระจ่างใสไร้ราคี ใครล่ะจะไม่ชอบคนแบบนนี้
ดังนั้นในใจของเริ่นเสี่ยวซู่จึงรับความเป็นศิษย์อาจารย์มานานมากแล้ว
แต่วันนี้เขาไม่ได้ต้องการออกหน้าปกป้องเฉินอู๋ตี๋อะไรหรอก
เขาเพียงอยากช่วยให้เฉินอู๋ตี๋ยังกอบกุมประกายแสงสุดท้ายนั้นได้
[1] หูตามลม (顺风耳) หมายถึงหูทิพย์ ปกติอยู่คู่กับคำว่า ตาพันลี้ (千里眼)