the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 25 ธง
“ถ้าไม่อยากได้ก็คืนมา ไม่เห็นต้องพูดให้ดูน่าแหวะขนาดนั้นเลยนี่” หวังฟู่กุ้ยพยายามจะฉกรังนกกลับไป
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ปิดฝากล่องรังนกอย่างมีความสุขแล้วเรียบร้อย จากนั้นค่อยโยนเข้าไปในกระท่อม “ปัดโธ่ แค่ล้อเล่นน่า ไม่ได้ตั้งใจให้ฟังดูน่าแหวะสักหน่อย”
เขามองไปยังฝูงคนด้านหลังเหล่าหวัง บอกตามตรงถ้าเรียกพวกเขาว่าคหบดีบ้านนอก ยังรู้สึกผิดต่อคำว่า ‘คหบดี’ เลย
คนเหล่านี้ต่างถือของขวัญกันมา ว่าตามตรงสำหรับเริ่นเสี่ยวซู่แล้วพวกเขาไม่ได้เป็นคนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอะไร เป้าหมายหลักที่มาก็เพื่อแสดงน้ำมิตรแก่เริ่นเสี่ยวซู่ เป็นการต้อนรับว่ายินดีสู่แวดวงของพวกเขา นับแต่นี้ไปถือว่าเป็นมิตรสหายกันแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่รีรอ เหยียนลิ่วหยวนยังนอนพักฟื้นอยู่ในกระท่อม ในเมื่อมียาบำรุงมาให้ ทำไมจะไม่รับล่ะจริงไหม
“เริ่นเสี่ยวซู่” เหล่าหวังดึงเขามาด้านข้างแล้วพูด “เธอต้องรีบย้ายไปพักในคลินิกให้เร็วที่สุด ด้านข้างคลินิกมีบ้านอีกสองหลังอยู่ติดกัน มันมีสวนหน้าบ้านด้วย พื้นที่หลายสิบตารางเมตร มีคนไม่น้อยกำลังเฝ้าจับตาอยู่!”
“อืม ได้ครับ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า เขายังพอเกรงใจหวังฟู่กุ้ยอยู่บ้าง
“แล้วก็เถ้าแก่หลัวให้คนส่งเวชภัณฑ์จากในป้อมมาให้แล้ว ของพวกนี้เป็นเงินไม่น้อยเลยนะ ฉันบอกให้พวกเขาไปส่งที่คลินิกเลย ที่ราคาแพงสุดก็ยาแก้อักเสบกับยาชาเธอต้องเก็บไว้ให้ดีล่ะ” หวังฟู่กุ้ยกระซิบเสียงแผ่ว “มีคนจำพวกที่จะมาขโมยยาชาไปใช้แก้ขัดเวลาลงแดงบุหรี่แล้วหาบุหรี่ไม่ได้ ฉันเสียหายไปหลายเพราะเรื่องนี้มานักต่อนักแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะไป ไม่คิดว่ายาชาจะมีฤทธิ์แบบนั้นได้ด้วย แต่อย่างไรเสียมีคนให้ของฟรีมาใช้ย่อมถือเป็นเรื่องดี เริ่นเสี่ยวซู่หวังว่าจะมีอะไรอีกจึงถาม “เขาส่งอะไรมาให้อีกไหม”
“มีธงด้วย”
……
ตอนเช้าเริ่นเสี่ยวซู่กับเสี่ยวอวี้เอาของตัวเองมาห่อรวมๆ กันแล้วตรงไปยังคลินิก อุตส่าห์มีบ้านอิฐที่หน้าต่างสว่างไสว โต๊ะสะอาดสะอ้าน ใครเล่าจะอยากไปจมปลักอยู่ในกระท่อมอีก
เขาวางแผนให้เหยียนลิ่วหยวนกับตนเองอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งข้างหลังคลินิก ส่วนอีกหลังก็ให้เสี่ยวอวี้อยู่ไป
เสี่ยวอวี้เดิมทีอาศัยอยู่ในบ้านอิฐ แต่ภายหลังย้ายมาอยู่ในกระท่อมเพื่อ ‘น้องชายทั้งสอง’ ตอนนี้เสี่ยวอวี้ได้กลับมาอยู่บ้านอิฐอีกครั้ง ถือว่าหนึ่งในความหวังของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นจริงแล้ว
แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ที่แบกเหยียนลิ่วหยวนไว้บนหลังเดินเข้าไปในคลินิกพลันต้องตะลึงไป
เขาเห็นธงสีฉูดฉาดบาดตาแขวนลงมากลางกำแพงคลินิก ‘มือมหัศจรรย์ ไม้ผลิกลับคืน หลัวหลาน’
ตามที่หวังฟู่กุ้ยบอกมา ตราบใดที่ธงนี้ยังแขวนอยู่ในคลินิก ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเริ่นเสี่ยวซู่ แต่แน่นอนว่า ต้องอยู่ในกรณีที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ไปขัดผลประโยชน์ของหลัวหลาน
สำหรับพวกเขาแล้วมันจะทำหน้าที่เป็นยันต์กันภัย แม้จะทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ ก็เถอะ ไม่แน่ใจนักว่าหลัวหลานตั้งใจสั่งให้คนทำธงนี้ขึ้นมาไปตามปกติ หรือตั้งใจจะหยอกล้อเขาเล่นกันแน่
คงเป็นอย่างแรกแหละมั้ง อย่างไรเสียในสายตาของหลัวหลานแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็เป็นเพียงคนขายยานอกป้อมปราการเท่านั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยเหยียนลิ่วหยวนจัดของเข้าบ้าน เขาไม่ได้บอกเสี่ยวอวี้เรื่องอาการของเหยียนลิ่วหยวนเมื่อคืน เพราะกลัวว่าตนจะไปรบกวนการพักผ่อนของเธอเข้า เธอจึงเพิ่งมารู้เรื่องเมื่อเช้านี้นี่เอง ทำเอาตัวเธอรู้สึกแย่มาก
เหยียนลิ่วหยวนชอบที่ได้รับความห่วงใยอย่างเอาใจใส่จากเสี่ยวอวี้มาก พริบตานั้นเขาก็นึกถึงตอนที่ตนล้อเลียนเธอ จึงพูดเสียงค่อยว่า “พี่เสี่ยวอวี้ ขอโทษเรื่องที่ผมทำกับพี่เมื่อก่อนด้วยนะครับ”
เสี่ยวอวี้มองเขา “พวกเธอสองคนมันปีศาจตัวน้อย ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก ถ้าพวกเธอไม่โตกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน พวกเธอคงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้”
“แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะพี่ชายผมเจ๋งมากนั่นแหละ” เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะ
“สงสัยจริงๆ ว่าความลำบากที่เด็กคนนั้นผ่านมันมามากขนาดไหนกันนะ” เสี่ยวอวี้ทอดถอนหายใจ
“ความยากลำบากนับไม่ถ้วน” เหยียนลิ่วหยวนตอบเสียงนิ่ง
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังไปค้นๆ ตรวจสอบยาที่เหลือทิ้งไว้ในคลินิก และตรวจพวกเวชภัณฑ์ที่หลัวหลานสั่งมาให้ด้วย น่าจะมีคนไปบอกหลัวหลานว่าเขาเชี่ยวชาญการรักษาแผลภายนอกโดยเฉพาะ เลยส่งพวกยาชากับยาแก้อักเสบมาให้เยอะเชียว
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกยาลดไข้กับพวกยาต้านพิษในตู้ยาของคลินิกก็ยิ้มหวาน เขานำยาแก้อักเสบ ยาลดไข้ และยาต้านพิษไปให้เหยียนลิ่วหยวนกิน อาการป่วยของเหยียนลิ่วหยวนเกิดจากการที่ต่อมทอนซิลอักเสบเพราะมีความร้อนภายในมากเกินไป ไม่รู้ว่ายาที่ใช้เหมาะกับอาการไหม แต่น่าจะช่วยรักษาเหยียนลิ่วหยวนได้
ที่คลินิกยังมีพวกยาสมุนไพรอยู่บ้าง บางตู้มีฉลากชื่อสมุนไพรพร้อมเขียนคำแนะนำการรักษาอาการประเภทต่างๆ กำกับไว้ เริ่นเสี่ยวซู่อดเหยียดหยามอวี่ถงไม่ได้ว่าไม่รู้จักรักษาโอกาสอันดีของตนเองไว้เลยทั้งที่มีบิดาประเสริฐขนาดนี้
คืนนั้นไข้ของเหยียนลิ่วหยวนก็ลดลงแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่จึงโล่งอกได้ในที่สุด เขาพูดกับเสี่ยวอวี้ว่า “พี่ไปต้มไอ้ของบำรุงที่คนพวกนั้นให้มาได้เลย พี่กับลิ่วหยวนจะได้กินกัน”
“ได้” เสี่ยวอวี้พยักหน้า ตรงไปทำอาหารเย็น
ตอนนี้พวกเขาทั้งสามทำตัวสบายดั่งเป็นญาติสนิทชิดเชื้อแล้ว บางครั้งโชคชะตาก็มหัศจรรย์นัก ทั้งสามไม่คิดเลยว่าพวกตนจะมาลงเอยกันเช่นนี้ได้
พอเสี่ยวอวี้กลับมาพร้อมอาหาร เธอก็ตะโกนเรียกเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนให้ออกไปกิน เริ่นเสี่ยวซู่พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ “พี่เสี่ยวอวี้ ไหนๆ พี่ก็มาอยู่ข้างบ้านเราแล้ว เวลาแต่งงานก็ใช้ที่นั่นเป็นเรือนหอได้เลยนะ”
เสี่ยวอวี้ที่กำลังส่งชามข้าวให้เริ่นเสี่ยวซู่พลันสีหน้าแปรเปลี่ยน “พวกเธอเบื่อฉันเร็วแบบนี้เลย? ฉันกินมากเกินไปเหรอ หรือทำให้พวกเธอเปลืองเงินเกินไป”
เริ่นเสี่ยวซู่ตะกุกตะกัก “พี่เสี่ยวอวี้ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…”
“แล้วเธอหมายความว่ายังไงกันล่ะ” เสี่ยวอวี้ดึงชามข้าวกลับ พูดอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “เริ่นเสี่ยวซู่ เธอมันคนไร้หัวใจ กินข้าวที่ฉันทำแล้ว ยังจะไล่ฉันออกไปอีก ฉันเอาไปให้หมากินดีกว่าให้เธอกินอีก”
เสี่ยวอวี้ยัดชามใส่มือเหยียนลิ่วหยวน แล้วพูด “กินซะ”
เหยียนลิ่วหยวน “???”
พูดจบเสี่ยวอวี้ก็หัวเราะลั่น จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
เหยียนลิ่วหยวนพลันรู้สึกว่ายามเสี่ยวอวี้หัวเราะนั้นดูทั้งอ่อนหวานทั้งนุ่มนวลมาก น่าเสียดายที่…เธอเกิดมาผิดยุคผิดสมัย
“เสี่ยวซู่ ต่อไปเธอมีแผนจะทำอะไรต่อ” เสี่ยวอวี้ถามไปพลางกินข้าวของเธอไปพลาง
“ตอนนี้ยังไม่มีแผนการอะไร แค่ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า ที่เป็นห่วงที่สุดในปัจจุบันคือภารกิจให้อาวุธที่ยังไม่ปลดล็อกสักที
เดิมเริ่นเสี่ยวซู่เพียงหวังว่าตนเองและเหยียนลิ่วหยวนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่พอได้รู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษแล้ว ก็อดเกิดความปรารถนาอื่นเพิ่มไม่ได้
ตอนนี้ภารกิจต่อเนื่องก็ยังทำไม่ครบเลย เขาต้องรักษาผู้ป่วยให้ครบสิบคนแล้วแหละ
เขาไม่รู้ว่ารอบนี้รางวัลภารกิจจะเป็นอะไร ส่วนเครื่องหยอดเหรียญลึกลับนั่น จะให้ของอย่างอื่นนอกจากยาดำไหมนะ
เรื่อง ‘ไม่รู้’ เหล่านี้ยังต้องรอให้สืบเสาะต่อไป
เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยความคาดหวัง “พี่ พรุ่งนี้เราจะไปไหนดี ผมอยากไปช่วยรักษาคนอื่นด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “อะไรกัน หายดีแล้วเหรอไง”
“ใช่แล้ว” เหยียนลิ่วหยวนตอบ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็ดูคึกคักขึ้นมาทีเดียว “สบายดีหายห่วง!”
“อืมมม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ถ้าสบายดีแล้วก็ไปโรงเรียน”
“เอ่อ…”