the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 255 ร่วมมือกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 255 ร่วมมือกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
เถาหนามสีแดงก่ำทั้งดุร้ายทั้งน่ากลัว ทหารเทพยนต์ใช้พลังจากนาโนแมชชีนฉีกบ่วงรัดน่าพรั่นพรึงของเถาหนาม แต่ทุกครั้งที่หลุดออกจากบ่วงเถาหนามมาได้หนึ่ง ก็โดนอีกหนึ่งพันรัดเข้ามาอีกครั้ง หนามแหลมจากเถาทิ่มแทงลงบนเนื้อหนัง คิดจะดูดเลือดจากพวกเขาไปจนหยดสุดท้าย
ทหารกองกำลังส่วนตัวที่ตามมาเห็นไม่มีใครกล้ารุดไปช่วยพวกเขา พอเห็นเถาหนามพวกนั้นก็ถอยหนีกันจ้าละหวั่น บางคนถึงกับตกใจกลัวจนล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้นหิมะ
มีเพียงเริ่นเสี่ยวซู่ที่รู้ว่าเถาหนามไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เห็นภายนอก ถึงพวกมันจะดูดเลือดนายทหารกองพันเทพยนต์จนพวกเขาอ่อนแรงลงไป แต่พวกมันก็ไม่ได้มีเถาจำนวนนับอนันต์อยู่ดี
ตอนนี้เถาหนามต้นหนึ่งไม่เหลือสักเถาแล้ว
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ฝังสี่เมล็ดอยู่ที่เดียวกันเป็นการรับประกันเรียบร้อย…
ตอนที่นายทหารกองพันเทพยนต์เริ่มหมดแรง พวกเขาก็ตะโกนใส่ทหารกองกำลังส่วนตัว “มาช่วยพวกเรา!”
แต่พวกหัวมังกุท้ายมังกรอย่างกองกำลังส่วนตัวมีหรือจะเข้าไปช่วย มีแต่จะหนีเสียมากกว่า!
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นแบบนี้ก็โล่งอก เขาล่ะกลัวสุดขีดว่าจะมีทหารกองกำลังส่วนตัวเข้ามาช่วยพวกเขา เพราะไม่ว่าเถานามจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ต้านรับคนเกือบพันคอยรื้อถอนไม่ได้หรอก
นายทหารกองพันเทพยนต์ได้แต่ต้องโทษตัวเองแล้วเพราะตลอดทั้งการเดินทางพวกเขาไม่เคยช่วยกองกำลังส่วนตัวสักครั้งเดียว ดังนั้นยามพวกเขาเผชิญความยากลำบาก ทุกคนจึงเพียงแต่มองอยู่ด้านข้าง บางคนถึงกับหนีไปด้วยความกลัว
เริ่นเสี่ยวซู่กลืนเข้าไปในฝูงชนและมองพวกเขาอย่างเฉยเมย เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นการใช้ทดสอบพลังของเถาหนาม ถ้าเขาคิดใช้พวกมันรับมือกับทหารนาโนแมชชีนแบบหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว พบว่าเหมาะเหม็งมากทีเดียว
ถึงเถาหนามจะมีประโยชน์เฉพาะอยู่กับที่ และใช้ได้แค่เป็นกับดักเท่านั้น แต่ว่าก็นับว่าเป็นประโยชน์ที่คุ้มค่า สำหรับการใช้หนึ่งเหรียญคำขอบคุณเพื่อจัดการทหารนาโนแมชชีนนายหนึ่ง
ที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่แน่ใจคือ ไม่รู้ว่าในกองทัพสมาคมตระกูลหลี่มีทหารนาโนแมชชีนที่ทรงพลังกว่านี้หรือเปล่า
แน่นอน มันต้องมีอยู่แล้ว
ถ้าดูกันที่ยศ นายทหารทั้งห้าไม่ได้มียศสูงอะไร อย่างนั้นแสดงว่าต้องมีทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่ที่แข็งแกร่งกว่าแน่
ทันใดนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็กระซิบเสียงดังกลางฝูงชน “วิ่งเร็ว! กลับไปหาที่หลบในค่าย!”
ถึงเขาจะไม่ได้ตะโกนดังนัก แต่คำว่า ‘วิ่ง’ ดูจะมีพลังงานพิเศษอะไรบางอย่าง ทำให้ทุกคนวิ่งกลับค่ายทหารอย่างเร็วรี่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ก็เถอะว่าไปซ่อนที่นั่นแล้วจะปลอดภัยจริงหรือเปล่า
เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่รีรออยู่ต่อ พอตกดึกแล้วเขายังมีเวลาอีกเหลือเฟือมาเก็บนาโนแมชชีน ตอนนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้ามีคนรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาจะแย่เอาได้
ส่วนอุปกรณ์จีพีเอสกับโทรศัพท์ดาวเทียมนั้นก็อยู่ในการครอบครองของนายทหารกองพันเทพยนต์นายหนึ่ง เขาค่อยมาหยิบทีหลังพร้อมกับเก็บนาโนแมชชีนไปด้วย จากนั้นค่อยเอาไปให้ถังโจว
ตอนที่กลับมาถึงเต็นท์ หลี่ชิงเจิ้งกำลังอยู่ในอาการตกใจ “เสี่ยวซู่ แม่*คืออะไรวะนั่น โคตรน่ากลัวเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่หอบแฮกๆ “ใช่ ฉันเกือบตกใจตายแน่ะ!”
“คิดว่าพวกกองพันเทพยนต์จะรอดไหม” หลี่ชิงเจิ้งถาม
“คิดว่าไม่น่าหรอก ตอนที่ฉันวิ่งกลับมาที่นี่ ฉันหันไปดูรอบหนึ่งและเห็นว่าพวกเขาหมดแรงกันแล้ว ไม่มีทางออกมาจากเถาวัลย์พวกนั้นได้หรอก” ลูกหน่วยคนหนึ่งว่า
ตอนนี้ทุกคนไม่ได้เป็นห่วงหรอกว่านายทหารกองพันเทพยนต์จะรอดไหม หรือจะพูดให้ถูกว่าคนส่วนใหญ่ต่างอยากให้นายทหารกองทัพเทพยนต์ตายภายใต้เถาหนาม เดิมทีความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ย่ำแย่ตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว แถมถ้านายทหารพวกนั้นรอดกลับมาได้ ต้องคาดโทษพวกตนแน่ว่าทำไมไม่เข้าไปช่วย
ทุกคนในค่ายราวกับนกกระจอกเทศเอาหัวซุกทราย พอถึงเวลากลางคืน ทหารคุ้มกันก็มาเยือนยังเต็นท์ทุกคนเพื่อสร้างเรื่องราวให้เป็นแนวเดียวกัน
ตอนที่ทหารกองกำลังคุ้มกันมายังเต็นท์ที่ของหน่วยเริ่นเสี่ยวซู่ ก็ขู่ว่า “ตอนที่นายทหารกองพันเทพยนต์ไล่ตามกระต่ายไป พวกเขาไปไวมากจนพวกเราตามไม่ทัน พอพวกเราไปถึงพวกเขามันก็สายไปแล้ว”
พวกเขากลัวว่าจะโดนสมาคมตระกูลหลี่ลงโทษ เพราะอย่างนั้นจึงตัดสินใจจะสร้างเรื่องราวใหม่กับทหารเกือบพันคนนี้ นอกจากนั้นทหารคุ้มกันยังขู่ต่อด้วยว่า “ถ้ามีใครหลุดปากเรื่องนี้ไปแม้แต่คำเดียว ทุกคนที่นี่ไม่มีจุดจบที่ดีแน่ ดังนั้นถ้ามีสมองก็หุบปากไว้ซะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่อยากจะขอบคุณพวกทหารจากกองกำลังคุ้มกันจริงๆ
นายทหารกองพันเทพยนต์ที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเริ่นเสี่ยวซู่ว่าเป็นคนในกองสืบสวนพิเศษนั้นตายไปแล้ว ส่วนทหารกองคุ้มกันนั้นไม่รู้เรื่องเลย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่กล้ามาพูดขู่แบบนี้หรอก
คืนเดียวกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ลอบไปยังจุดที่ทหารกองพันเทพยนต์ตายลง นาโนแมชชีนที่เขาเก็บเกี่ยวได้คราวนี้เยอะกว่าที่เขาคาดไว้มาก แค่จากพวกเขาห้าคน นาโนแมชชีนก็พอจะก่อเป็นเกราะแขนสองข้างได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ทหารทั่วไปของกองพันเทพยนต์เทียบไม่ได้กับกลุ่มตัวรับกระสุนอย่างพวกหลินชีจริงๆ ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่มุ่งไปทางเหนือพร้อมโทรศัพท์ดาวเทียม ถังโจวกำลังรออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว สิ่งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดตอนเจอหน้าถังโจวคือการเตือนเขาว่า “ติดต่อกับกองบัญชาการได้แล้วพูดแค่เฉพาะเรื่องกองพันเทพยนต์เท่านั้นนะ อย่าเอ่ยอะไรเกี่ยวกับฉัน ถ้าสมาคมตระกูลหลี่วางตัวสายลับไว้ทางฝั่งของสมาคมตระกูลชิ่งนายฉันต้องเจอปัญหาหนักแน่”
“ได้ๆ” ถังโจวพูดอย่างยินดี “ฉันไม่เปิดเผยเรื่องนายเด็ดขาด ฉันยังจำหลักการการปกป้องสายลับได้อยู่”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าคำพูดเขามีอะไรเหม่งๆ เขาไปเป็นสายลับของสมาคมตระกูลชิ่งตอนไหนเนี่ย
เขาเตือนอีกรอบ “ฝากบอกกองบัญชาการของนายด้วยว่าอย่าสังหารทหารเทพยนต์จนหมด ไม่อย่างนั้นการร่วมมือของเราจบกันตรงนี้เลย”
เริ่นเสี่ยวซู่รับมือทั้งกองพันเทพยนต์ด้วยตัวคนเดียวไม่ไหวหรอก อย่างไรฝ่ายนั้นก็คนพันนาย ดังนั้นถ้าเขาอยากได้นาโนแมชชีนมากกว่านี้ อันดับแรกคือใช้ความช่วยเหลือจากสมาคมตระกูลชิ่งทำลายกองพันเทพยนต์ให้เสียขบวนก่อน
นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เขาร่วมมือกับถังโจว ส่วนที่ว่าในอนาคตพวกเขายังร่วมมือกันอีกได้ไหมนั้น ก็อยู่ที่ว่ารอบนี้สมาคมตระกูลชิ่งร่วมมือดีหรือเปล่า
ทันใดนั้นถังโจวก็พูดอย่างลังเลว่า “นายก็รู้ว่าฉันถูกส่งมาตายที่นี่ ชิ่งอวิ่นอาจจะไม่เชื่อคำพูดของฉันก็ได้ เขาไม่ได้ต้องการอะไรไปกว่าล้างบางทหารเทพยนต์ตลอดทั้งกองพันหรอก ยังไงนั่นก็เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่มันเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้รับความเชื่อถือในกองทัพด้วย”
“งั้นโกหกเขาสักหน่อยได้ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “บอกพวกเขาไปว่ากองพันเทพยนต์มีทหารแค่ร้อยนาย”
ถังโจวส่ายหน้าแล้วว่า “ถ้าฉันพูดไปแบบนั้น สมาคมตระกูลชิ่งคงได้ตายอย่างสูญเปล่าแล้ว ทหารพวกนั้นไร้ความผิด ถ้าเถ้าแก่หลัวกับท่านชิ่งเจิ่นรู้เรื่องนี้ล่ะก็ พวกเขาไม่ปล่อยฉันไว้แน่”
เริ่นเสี่ยวซู่คิด ก่อนจะเอ่ย “งั้นนายบอกมาพวกกองพันเทพยนต์จะถูกจัดการที่ไหน”
ถังโจวงุนงง “นายจะรู้ไปทำไม”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “ในฐานะที่เป็นเพื่อนทหาร ฉันต้องไปไว้ทุกข์เสียหน่อย”
ถังโจว “???”
พูดบ้าอะไรอยู่เนี่ย ไว้ทุกข์ให้เพื่อนทหารหลังจากเป็นคนส่งพวกเขาไปตายน่ะนะ?
ถังโจวไม่เชื่อคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่สักนิด เขาไม่ได้โง่นะ!