the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 259 กองสืบสวนพิเศษปฏิบัติงาน
ตอนที่วิ่งไปทางเขา เริ่นเสี่ยวซู่ประมาณการคร่าวๆ ว่าถึงตนจะมีเวลาเก็บนาโนแมชชีนมาจากนายทหารกองพันเทพยนต์ได้แค่สิบสี่นาย แต่แค่นั้นก็มากกว่ากลุ่มของหลินชีแล้ว ถ้าเขาจะสร้างเกราะมาป้องกันตัวตอนนี้ ก็สามารถสร้างมาคลุมได้ทุกส่วนของร่างกายยกเว้นน่องข้างหนึ่ง
ในการต่อสู้ เขาย่อมไม่ใช้เกราะคลุมทั้งร่างอยู่แล้ว แต่เน้นแค่การป้องกันจุดตายให้มากที่สุด ซึ่งการประมาณการแบบนี้จะทำความเข้าใจว่าเขามีนาโนแมชชีนมามากน้อยเพียงไรได้ง่ายมากกว่า
ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่หนีออกจากสนามรบนั้น ในใจเขาก็คิดอะไรบางอย่างไปด้วย ระหว่างที่เพิ่งเก็บนาโนแมชชีนไป เขาเห็นศพนายทหารเทพยนต์ไม่น้อยบนพื้นหิมะ เขาลองนับดูและพบว่ามีอยู่หลายสิบศพ หากเป็นสไนเปอร์ฝีมือธรรมดา คงไม่อาจสังหารเช่นนี้ได้หรอก
อีกอย่างถ้าสไนเปอร์ยิงทหารนาโนแมชชีนพวกนี้มานัดหนึ่ง คนที่เหลือก็ย่อมหลบลี้หนีออกอย่างว่องไว ดูจากความเร็วที่นายทหารเทพยนต์มี มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าพวกเขามากขนาดนี้ ยกเว้นมือปืนสไนเปอร์นั้นฝีมือฉกาจมากน่ะนะ
ดูจากตำแหน่งการตายแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าพวกเขาพยายามโจมตีไปยังตำแหน่งที่อยู่ของสไนเปอร์ พวกเขาพยายามใช้ความเร็วหลบกระสุน จากนั้นก็พยายามระบุตำแหน่งและเข้าไปสังหาร ทว่ากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
ส่วนนายทหารเทพยนต์สองนายที่โชคดีไปได้คงเป็นเพราะบาดเจ็บหนักแต่แรก คนอื่นๆ จึงให้ถอยก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขารอดแต่ที่เหลือตาย!
อย่างไรพวกเขาก็เป็นทหารเทพยนต์ ต่อให้ขวัญทหารจะหายไปหลังดำเนินกลยุทธ์ผิดพลาดจนพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของสมาคมตระกูลชิ่ง พวกเขาก็ยังเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในสมาคมตระกูลหลี่ เหตุไฉนสไนเปอร์ถึงลงมือสังหารพวกเขานับร้อยขณะถอยทัพได้อย่างง่ายดายนัก
หรือว่าสไนเปอร์นี้มีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติเหมือนหยางเสียวจิ่น? แต่โลกนี้จะมียอดมือปืนมากขนาดนั้นเชียวหรือ…
พูดตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่มีลางสังหรณ์ว่าสไนเปอร์ผู้นี้น่าจะคือหยางเสียวจิ่น แต่ว่าหลักฐานกลับชี้ไปทางอื่น อีกอย่างหยางเสียวจิ่นไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่กลับไปดูเครื่องยิงมันฝรั่ง และเก็บมันฝรั่งตามโควตาประจำวันและกลับไปที่ค่าย
“เสี่ยวซู่กลับมาแล้ว?” หลี่ชิงเจิ้งรับมันฝรั่งในอ้อมแขนของเริ่นเสี่ยวซู่ไปอย่างมีความสุข “ตอนทำอาหารต้องระวังตัวกันหน่อยแล้ว ได้ยินมาว่าพวกเต็นท์อื่นๆ อาหารหมดกันเรียบร้อย บางคนหิวโซจนยอมออกไปหาอาหารแม้ใจจะหวาดกลัวก็ตาม”
“ควรทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ปัดหิมะตามเสื้อผ้า “ตอนนี้พละกำลังกับพลังงานอยู่จุดต่ำสุด แม้แต่แรงจะออกหาอาหารยังไม่มีเลยมั้ง”
เฉินอู๋ตี๋เข้ามาช่วยเริ่นเสี่ยวซู่ปัดหิมะตามจุดที่เขาเอื้อมไม่ถึง เขาถึงกับส่งมันฝรั่งร้อนๆ หัวหนึ่งมาให้ “ท่านอาจารย์ กินมันฝรั่ง”
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้ามองท้องฟ้าข้างนอก “พวกเราตั้งค่ายที่นี่มาสี่วันแล้ว นอกจากเรา ฉันกลัวว่าคนอื่นๆ น่าจะอาหารไม่เหลือกันแล้ว ถ้ายังเสียเวลาที่นี่ต่อ ทุกคนได้ตายแน่”
“ไม่ใช่พวกเราหรอก” หลี่ชิงเจิ้งถอนหายใจแล้วเอ่ย “ที่นี่พวกเรามีกันแค่พันคน แต่ทั่วทั้งสนามรบมีทหารกองกำลังส่วนตัวต้องทนหิวมากกว่าสองหมื่นนาย ต่างถูกผู้บัญชาการกองกำลังส่วนตัวเคี่ยวเข็ญกันหมด ถ้าทุกคนมีอะไรตกถึงท้อง ก็คงทนไหวโดยไม่ยากลำบากนักหรอก แต่ว่าสถานการณ์ไม่เหมือนเดิม หลังจากพายุหิมะหมด ต้องมีคนหิวตายหลายพันคนแน่นอน”
ทันใดนั้นในค่ายก็เกิดเสียงโหวกเหวก เริ่นเสี่ยวซู่ยกผ้าเต็นท์ขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขามองไม่เห็นอะไรเพราะมีเต็นท์อื่นบังสายตา
“ทุกคนอยู่ในเต็นท์ไปก่อน ขอฉันออกไปดูหน่อย” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เดินออกจากเต็นท์ไป เขาเห็นว่าคนอื่นๆ ในค่ายเองก็ต่างออกมาจากเต็นท์ตัวเองเช่นกัน ดูเหมือนความวุ่นวายที่ว่าจะเกิดขึ้นทางทิศใต้สุดของค่ายทหารที่อยู่หลังพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” มีคนถาม
“ไม่รู้สิ ได้ยินเสียงโหวกเหวกก็เลยออกมา ตรงนู้นเขาทะเลาะกันหรือยังไง”
มีคนพูดอย่างเฉยชา “หิวท้องกิ่วขนาดนี้ยังมีเวลามาทะเลาะกันอีก”
เริ่นเสี่ยวซู่เมินพวกเขาไปและเดินลงใต้ต่อ พอใกล้ถึงสุดขอบค่ายทหาร ก็เห็นคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทหารกองกำลังส่วนตัว
หน่วยรบลักษณะต่างออกไปยืนสอบสวนอยู่ที่สุดเขตค่าย พอเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงพูดคุยว่า “ทำไมทุกคนถึงประจำการณ์กันอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่ไปจุดยุทธศาสตร์ตามเวลานัดหมาย ผู้บังคับบัญชาอยู่ไหน สั่งให้เขาออกมาตอบคำถามพวกเรา”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง คนพวกนี้ไม่ได้ใส่เครื่องแบบทหาร แต่เป็นเครื่องแบบของกองสืบสวนพิเศษ!
เขานึกออกทันทีว่าคนพวกนี้อาจจะมาสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดกับกองพันเทพยนต์ เรื่องที่กองพันเทพยนต์ถูกซุ่มโจมตีนั้นทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ในเมื่อเป็นกลุ่มกองกำลังส่วนตัวที่แลกเปลี่ยนรถและเครื่องแบบกับกองพันเทพยนต์ พวกเขาย่อมเป็นผู้ต้องสงสัยหลักของกองสืบสวนพิเศษ
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ไขเส้นสายความเป็นมาออกแล้ว เขาก็ถอยกลับไปผสมกลืนเข้าในฝูงชน ไม่คิดจะติดต่ออะไรกับกองสืบสวนพิเศษตอนนี้
ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันของหลิวไท่อวี่ก้าวออกมาพร้อมเอ่ย “ผู้บัญชาการของเรายังไม่รู้สึกตัวเต็มที่เพราะถูกนายทหารเทพยนต์เตะครับ พอได้สติมาแล้วก็ไข้ขึ้นสูง และก็การที่เราตั้งค่ายที่นี่ก็เป็นการตัดสินใจของทางกองพันเทพยนต์ด้วย”
ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันตั้งใจผลักภาระทั้งหมดไปกองพันเทพยนต์ อย่างไรคนตายก็พูดไม่ได้
คนจากกองสืบสวนพิเศษขมวดคิ้วมุ่น “พวกเทพยนต์หายไปไหน ให้พวกเขาออกมารับการสอบสวน”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนั้น ก็คิดว่าน้ำเสียงของกองสืบสวนพิเศษผู้นี้ดูจะหยิ่งผยองเกินไปแล้ว เขาตะโกนสั่งกองพันเทพยนต์อย่างกับสั่งลูกน้องตัวเอง ก็ว่าทำไมตอนเขาใช้ตัวตนของกองสืบสวนพิเศษไปหาเรื่องคนอื่นถึงไม่มีใครรู้สึกผิดปกติเลย…
แต่ผู้กองอธิบายว่า “นายทหารของกองพันเทพยนต์ตามล่ากระต่ายอย่างโง่ๆ ไปเมื่อตอนเช้าของสองวันก่อน สุดท้ายก็โดนพืชไม่ทราบสายพันธุ์โจมตี นายทหารเทพยนต์ทั้งห้าเสียชีวิตแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็เชิญถามคนอื่นได้เลยครับ”
คนจากกองสืบสวนพิเศษมองรอบๆ ด้วยความสงสัย ทหารกองกำลังส่วนตัวรอบๆ รีบพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเราพยายามไล่ตามแล้วแต่ก็ไม่ทัน พอไปถึงก็เห็นว่าพวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว”
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมความรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ได้พยายามช่วยนายทหารพวกนั้น
หัวหน้าหน่วยจากกองสืบสวนพิเศษขมวดคิ้ว “พาฉันไปหาผู้บัญชาการพวกนาย จากนั้นพาไปที่ที่พวกนายทหารเทพยนต์ตาย!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตระหนกแม้กระนิด มีทหารกองกำลังส่วนตัวมากมายรอบตัวพยายามปิดบังให้ เขาจะมีอะไรมากลัวอีก
ผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันพากองสืบสวนพิเศษพิเศษเข้าค่าย อันดับแรกคือไปดูอาการของหลิวไท่อวี่ ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบพยักหน้าให้หัวหน้าหน่วย แล้วว่า “เขามีไข้ขึ้นสูงจริง หลังจากโดนเตะจนมีเลือดออกมาก ร่างกายเลยน่าจะมีอาการอักเสบครับ”
หัวหน้าหน่วยแห่งกองสืบสวนพิเศษพูดกับผู้บังคับกองร้อยคุ้มกันว่า “ส่งบัญชีรายชื่อทหารกองกำลังส่วนตัวมาให้ฉัน ตอนนี้พวกเราจะไปยังจุดเสียชีวิตของนายทหารเทพยนต์ต่อ”