the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 262 นำทหารหลุดพ้นความยากลำบาก
หลังจากพวกทังว่านอี้ไปแล้ว เริ่นเสี่ยวก็หันไปกล่าวกับทุกคนในกองกำลังส่วนตัว “ฉันโชคดีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการของกองพันเหล็กที่สอง ฉันจะไม่ขอพูดอะไรกลวงๆ แต่บางคนก็น่าจะรู้ขีดความสามารถของฉันอยู่แล้ว ฉันเก่งสุดในด้านการเอาตัวรอดในแดนรกร้าง ถ้าทุกคนติดตามฉันจะไม่มีใครต้องอดตาย และจะไม่มีใครต้องถูกพืชพันธุ์ต้นไม้ฆ่าตายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย!”
ทุกคนมองหน้ากันเอง เพิ่งแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการก็มีวาจาเขื่องโขเลย ทุกคนต่างรู้กันหมดว่าเริ่นเสี่ยวซู่เคยเป็นแค่ทหารธรรมดาคนหนึ่ง ตอนนี้เขาได้รับการเลื่อนขั้นขนานใหญ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกรับไม่ได้
แต่เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครกล้าประท้วง ภาพเริ่นเสี่ยวซู่ลากคนฝ่าหิมะเมื่อไม่นานมานี้พวกเขายังจำติดตา ความอำมหิตของเริ่นเสี่ยวซู่ยังตราตรึง
แต่ถึงเขาจะเป็นคนอำมหิต ก็ใช่ว่าทุกคนต้องเชื่อคำพูดเขาเสียหน่อย
ทุกคนหิวโซกันมาหลายวันแล้ว ไหนจะยังมีภัยเถาหนามข้างนอกอีก มีคนคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลายมาเป็นผู้บัญชาการกองพันตอนนี้ก็ไม่ต่างกับหาเรื่องใส่ตัวเลย
คนจากกองร้อยคุ้มกันอดพูดเสียงเย็นไม่ได้ “พูดแบบนั้น พวกเราหิวมาหลายวันแล้ว นายจะช่วยพวกเราหาอาหารยังไง พวกเราจะเชื่อก็ต่อเมื่อนายหาอาหารและพาพวกเราเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่ได้”
เดิมทีคนของกองร้อยคุ้มกันเป็นลูกน้องของหลิวไท่อวี่ การเปลี่ยนผู้บังคับบัญชากะทันหันแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
แต่ถ้าความสามารถมากพอ ใครที่นี่ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้
มีคนเสริม “ใช่ พวกเราไม่กล้าเดินออกไปด้วยซ้ำ ถ้าพวกเราเจอเจ้าต้นนั่นอีกล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนี้ก็พูดกระตุ้น “ในเมื่อฉันให้คำสัญญากับทุกคนแล้ว ฉันย่อมจะพาทุกคนออกไปจากที่ให้ได้ เอางี้เป็นไง เดี๋ยวฉันจะนำหน้า ทุกคนก็ตามหลังฉันมา ถ้าฉันไม่เป็นไร พวกนายที่ตามหลังมาก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก คำพูดที่ว่าเริ่นเสี่ยวจะเป็นคนเดินนำเองทำให้มีคนไม่น้อยรู้สึกตื้นตันใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะใจกล้ามากขนาดนี้
ถ้ามันมีเจ้าต้นสยองขวัญพวกนั้นระหว่างทาง เริ่นเสี่ยวซู่ที่เป็นคนเดินนำต้องเจอเรื่องร้ายแน่ ถ้าหลิวไท่อวี่ยังอยู่ เขาต้องสั่งให้คนอื่นๆ นำเปิดทางแทนเขาแน่นอน ไม่มีทางมาทำตัวแบบเริ่นเสี่ยวซู่หรอก!
มีแต่คนเชื่อว่าในแดนรกร้างไร้คนดี แต่ตัวอย่างคนดีแบบนั้นก็อยู่ตรงหน้าพวกตนแล้วไม่ใช่หรือ
เริ่นเสี่ยวซู่พูดวาทะชอบธรรม “ทุกคน เก็บของและเต็นท์ให้ไว พวกเราจะออกเดินทางในอีกหนึ่งชั่วโมง ฉันจะเดินนำ ส่วนพวกนายเดินตาม ฉันจะพาทุกคนไปหาอะไรกินกัน!”
ทหารกองกำลังส่วนตัวเป็นการร่วมกลุ่มกันของผู้อพยพ ไม่ใช่ปัญญาชนที่ไหน ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าคนยิ่งรู้น้อยเท่าไร ก็น้อยที่จะตั้งคำถามต่อผู้คนและสิ่งรอบกาย ถ้าพร้อมใจหลงเชื่อแล้ว ก็ทำตามอย่างหน้ามืดตามัว
พวกเขาคิดไม่ออกหรอกว่าเจ้าต้นพืชพวกนั้นเป็นเริ่นเสี่ยวซู่เองที่ไปปลูกน่ะ…
ถ้าเป็นคนอื่นๆ นำทาง พวกเขาอาจจะเจอปัญหากับเจ้าต้นเถาหนามจริงๆ ก็ได้ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมไม่เป็นไร
หลังจากเริ่มเดินทัพ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พาพวกเขาขึ้นเหนือและคอยหลบเลี่ยงเถาหนามทั้งหมด เถาวัลย์หนามบางเถาจู่ๆ ก็แทงทะลุหิมะขึ้นมาและเคลื่อนไหวอย่างน่ากลัวใส่เริ่นเสี่ยวซู่ แต่ว่าเขายืนอยู่นอกระยะโจมตี
แต่ในสายตาของทหารกองกำลังส่วนตัวนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต่างไปเทพยดาอำนวยพร!
มีคนข้างหลังเขาตะโกนให้ระวัง แต่เริ่นเสี่ยวซู่เพียงหันกลับมาด้วยความเมตตาปราณี “เพื่อนำทางทุกคนไปสู่ที่ปลอดภัย การเสียสละของฉันไม่นับว่าเป็นอะไรได้หรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตนเองช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เขาพาทหารกองกำลังส่วนตัวออกไปจากความลำบากที่เขาเป็นคนสร้างเองได้!
คนข้างหลังเริ่นเสี่ยวซู่น้ำตารื้อชื้น “ขอบคุณครับผู้บัญชาการกองพัน”
“ขอบคุณครับผู้บัญชาการกองพัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่เดินทางต่อพลางนับเหรียญคำขอบคุณที่เพิ่มพูนไปด้วย ดีแท้ ได้เหรียญคำขอบคุณเพิ่มมาหน่อย ทหารกองกำลังส่วนตัวขอบคุณเขาหลายสิบนาย แต่มีหยิบมือที่มาจากใจจริง
มีคนจากกองคุ้มกันพูดขึ้น “เขาดูมีความสามารถจริงๆ ช่วงเวลาแบบนี้ติดตามผู้นำที่ดีแบบเขาเป็นความคิดที่ดี”
ผู้กองพูดเสียงนิ่ง “จับตาดูสถานการณ์ไปก่อน แค่พาพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันจะยอมก็ต่อเมื่อเขาพาเราหาอาหารได้”
ในความเป็นจริง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจหรอกว่าตนจะหว่านล้อมพวกเขาได้หรือเปล่า ตั้งแต่แรกเขาก็ไม่คิดจะทำอยู่แล้วด้วย ความสำคัญลำดับแรกคือการพาพวกเขาไปยังจุดที่นัดหมายกับถังโจวไว้ต่างหาก
พวกคนข้างหลังขอบคุณอย่างไม่จริงใจเลย ช่วยหาวิธีแอบไปกินอาหารที่ฐานปฏิบัติการหน้า ก็โดนหักหลังทันควัน เฉินอู๋ตี๋ที่จิตใจดีงามช่วยเหลือผู้ได้ยาก สุดท้ายก็โดนเรียกเป็นไอ้เอ๋อ
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เห็นอกเห็นใจคนพวกนี้ และก็ไม่คิดจะเป็นสหายร่วมรบที่แท้จริงกับพวกเขา
ตอนนี้พวกเขาออกมาจาก ’ไร่’ เถาหนามแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่หันไปกล่าวกับทุกคน “ต้นเถาหนามเหมือนจะโตเป็นกระจุกๆ แค่ตรงนั้น ไม่ต้องกลัวอีกแล้วล่ะ”
ทุกคนถอนหายใจโล่งอกยกใหญ่ มีคนว่า “งั้นพวกเราพักได้แล้วเหรอ”
มีคนเตรียมจะนั่งลงกับพื้นหิมะแล้ว กองกำลังส่วนตัวก็ขี้เกียจเช่นนี้ล่ะ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “พวกเรายังพักไม่ได้ ฉันสัญญาแล้วว่าจะหาอาหารให้ทุกคน ดังนั้นมาเอาชนะความยากลำบากตรงหน้ากันก่อนดีกว่า อีกอย่างฉันก็มีแผนแล้วด้วย!”
ตอนพวกเขาได้ยินว่าจะมีอะไรให้กิน ก็พลันตื่นเต้นกันขึ้นมา อาหารของกองร้อยคุ้มกันก็หมดไปตั้งแต่เมื่อวาน ทุกคนหิวจนสมองเบลอไปหมดแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่มุ่งขึ้นเขาไป แต่ก่อนที่จะทันออกก้าวที่สอง ก็เห็นโพรงบนต้นไม้สูงข้างกายเขา เขาปืนต้นไม้ขึ้นไปดูโพรงนั้นทันที
ทุกคนสงสัยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ทำอะไร แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ชักมือออกมาจากโพรง ก็มีกระรอกตัวปุกปุยกระโจนหนีไป ส่วนในมือของเริ่นเสี่ยวซู่มีลูกสนและผลไม้แห้งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่เต็ม!
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ทุกคนตามหาโพรงบนต้นไม้แบบนี้ มันน่าจะพอให้ทุกคนประทังท้องกันได้บ้าง แล้วถ้ามีคนเจอถ้ำหรือร่องหินก็มาบอกฉันด้วย ที่นั่นมีมื้อเย็นที่เราจะกินกันคืนนี้!”
“ในถ้ำมีอะไรเหรอ” มีคนถามด้วยความสงสัย
เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดลงมาจากต้นไม้ ยัดลูกสนเข้าปาก แล้วเอ่ย “หลังจากพวกงูเก็บไขมันในร่างจนพอแล้วพวกมันก็จะเข้าสู่ภาวะจำศีลสำหรับฤดูหนาว ถึงเวลานั้นมันจะมีค่าต่อมนุษย์มากทีเดียว อีกอย่างพวกมันจะจำศีลกันเป็นฝูง ถ้าพวกเราหาถ้ำเจอ ก็จะเจอรังงูด้วย คืนนี้ก็จะได้กินงูย่างกัน!”
ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้มีอสรพิษ แมลง และมดจำนวนมาก ในอดีต ทุกครั้งที่เริ่นเสี่ยวซู่เข้าแดนรกร้าง เขาก็จะระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
แต่งูในภาวะจำศีลส่วนใหญ่จะกลายเป็นอาหารไป และการที่งูชอบจำศีลกันเป็นฝูงยิ่งทำให้เรื่องมันง่ายกว่าเดิมอีก พวกมันจะพันรัดกันเอง ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและลดการสูญเสียน้ำในร่าง
หนึ่งในสามของงูที่ไม่จำศีลเป็นฝูงจะไม่สามารถอยู่รอดพ้นฤดูหนาว
ในช่วงหน้าหนาว ผู้อพยพที่ใจกล้าหน่อยจะขึ้นเขาไปหารังงู ถ้าเจอเข้าก็ถือว่าเก็บเกี่ยวได้ครั้งใหญ่ ตลอดหน้าหนาวนั้นก็จะมีชีวิตสบายขึ้นมาก
และเริ่นเสี่ยวซู่ก็เป็นผู้ที่กล้าหาญที่สุดในหมู่ผู้อพยพ