the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 268 สงครามหมิ่นปะทุ
ที่มั่น 313 เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ คนที่ไม่คุ้นอาจจะหลงทางเอาได้
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับผู้ช่วยจางที่นำทางอยู่ว่า “อืม…ขอแผนที่หน่อยได้ไหม เราจะได้เลือกถูกว่าจะเราจะตั้งที่มั่นตั้งรับตรงไหน”
ผู้ช่วยจางหันกลับมาจ้องเขา “ผู้บัญชาการเลือกที่ตั้งให้พวกคุณทุกคนแล้ว หน้าที่คือป้องกันที่มั่นนี้ให้ดีก็พอ ทหารบนสนามรบรับแต่คำสั่ง ไม่ควรมีคำถาม”
เริ่นเสี่ยวซู่เบ้ปากไม่พูดอะไร ทว่าจริงๆ มันก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรสำหรับเขาหรอก ถังโจวแจ้งชิ่งเจิ่นไปแล้วว่าตนจะถูกส่งไปประจำการณ์ยังที่มั่น 313 สมาคมตระกูลชิ่งอาจจะโจมตีคนอื่น แต่ไม่ใช่ตนหรอก
ที่ถามออกไปเพราะอยากดูว่ามีตรงไหนเหมาะๆ จะลอบดอดออกจากค่ายไปติดต่อกับถังโจวต่างหาก
ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็พบว่าเฉินอู๋ตี๋เงียบไป เขาถาม “มีอะไร”
เฉินอู๋ตี๋ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินพวกคนในค่ายพูดว่าจะส่งพวกเราไปตาย”
“อ้อ อย่างนั้นหรอกเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “ไม่ต้องห่วง ต่อให้พวกเขาตายกันหมด พวกเราก็ยังไม่เป็นอะไรหรอก”
เฉินอู๋ตี๋ปลุกพลังหูตามลมมาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่เคยทดสอบกับเฉินอู๋ตี๋ และพบว่าเขาได้ยินเสียงตนแม้จะพูดกระซิบห่างเป็นกิโลเมตร
แต่พลังนี้มีผลกระทบต่อเฉินอู๋ตี๋ เพราะเขาจะได้ยิน ‘ความชั่วร้าย’ ของโลกนี้เข้า
คนโบราณให้ความสำคัญกับการสำรวมตนในรโหฐาน ดังคำว่าแม้อยู่ในที่ส่วนตัวก็ควรสำรวมตน
แต่คนส่วนใหญ่ไม่อาจประพฤติตัวเช่นนั้นได้ มนุษย์นิยมชมชอบนินทาลับหลังผู้อื่น เรื่องร้ายๆ ก็ถูกใส่ให้ร้ายกว่าเดิม ความคิดเห็นที่ไม่อาจแสดงในที่แจ้ง พลันถูกทวีในที่ลับ
และเฉินอู๋ตี๋สามารถได้ยินสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ได้พลังนั้นมา เขาคงไม่รู้สึกว่าเป็นภาระอะไรแน่นอน อย่างไรเขาก็ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อะไรอยูแล้ว
แต่เฉินอู๋ตี๋มิได้เป็นเช่นนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ถามเฉินอู๋ตี๋ ”ทำเป็นไม่สนใจไหวไหม”
“ไม่ไหว” เฉินอู๋ตี๋ส่ายหน้า “พวกเขาพูดว่าเขาส่งพวกเราไปป้องกันจุดที่อันตรายมากที่สุด ถ้าชิ่งเจิ่นยกทัพมาตีจริง เราจะเป็นพวกแรกที่ตาย”
“พวกเขาพูดอะไรอีก” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“พวกเราบอกว่าถ้าพวกเราตาย พวกเขาก็จะไม่ซวยไปด้วย” เฉินอู๋ตี๋คอตก “แต่พวกเราไม่ได้ต้องการมาเสียหน่อย พวกเราไม่เคยล่วงเกินอะไรพวกเขาเลยด้วย”
“อื้ม” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พวกเขาแหละผิด”
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะอัญเชิญพระไตรปิฎกจากสวรรค์ประจิมไปทำไม” เฉินอู๋ตี๋ถาม
เริ่นเสี่ยวซู่พิจารณาคำถามนี้อยู่ครู่หนึ่ง “เพื่อพวกเราจะมีชีวิตที่ดี?”
เฉินอู๋ตี๋นิ่งไปพักหนึ่ง “ท่านอาจารย์พูดจริงหรือ ไม่ใช่เพื่อโปรดสัตว์แก่สรรพชีวิตหรือ”
เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ แนะนำ “จะช่วยผู้อื่นต้องช่วยตนเองก่อน ดังคำว่าอย่าเอาใจเราไปวัดใจผู้อื่นไง พูดง่ายๆ คือ นายควรจะร่ำรวยก่อนถึงพาผู้อื่นร่ำรวยไปด้วย ต้องทำแบบนั้นก่อนถึง…”
เฉินอู๋ตี๋กุมขมับ พูดขัด “อาจารย์หยุดสักครู่ได้หรือไม่ ขอข้าคิดตามก่อน…”
…
คืนเดียวกันที่เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงที่มั่น 313 หลัวหลานก็ลอบมาถึงสมาคมตระกูลที่ป้อมปราการ 88 แถมยังเก็บงำตัวมากแบบผิดปกติ เขาพาทหารรับใช้มาแค่สองนายเท่านั้น
เบื้องบนของสมาคมตระกูลหยางจะมาคุยกับหลัวหลานเป็นการลับแล้ว โลกภายนอกไม่มีใครรู้ว่าหลัวหลานมาที่นี่และก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันไป
เที่ยงคืนวันนั้น กองพลยานเกราะและกองพลทหารราบสองกองของสมาคมตระกูลหลี่พลันออกเดินทางลงใต้ และคาดว่าจะถึงแนวหน้าของสมาคมตระกูลหลี่ที่เขาชิงเซิ่งในอีกสองวัน พวกเขาตั้งใจจะเป็นคนเปิดม่านสงครามนี้
กองพลยานเกราะของสมาคมตระกูลหยางออกจากแนวหน้าที่เขาผิงซานเป็นตัวนำขบวน ขณะเดียวกันกองพลทหารราบก็ตีลงมาปิดล้อมเขาชิงเซิ่งจากทางเหนือด้วยคิดกดดันอำนาจการยิงของศัตรู ตราบใดที่แนวป้องกันนี้แตกออก การป้องกันทางตะวันตกของสมาคมตระกูลหลี่ก็จะใช้การไม่ได้อีกต่อไป
ขณะเดียวกันฝั่งสมาคมตระกูลชิ่งก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ราวกับพวกเขานัดกันไว้แล้ว กองพลราบยานเกราะของพวกเขาก็เคลื่อนตัวลงมาจากทางเหนือ
แถวทหารราบยานเกราะยืดยาวคดเคี้ยวตามทางภูเขา แสงจากตัวรถดั่งคบเพลิงฉายกลางรัตติกาล ระหว่างเดินทางกองพันทหารช่างหลายกองรีบสร้างสะพานและปูถนน ความเร็วในการปฏิบัติงานสูงมาก
ขณะเดียวกันหน่วยรบพิเศษก็ถูกส่งไปลาดตระเวนหาศัตรู
ทหารของสมาคมตระกูลหลี่บางส่วนกำลังจัดทัพอยู่ในฐานปฏิบัติการหน้า แต่พวกเขาทุกคนจะถูกส่งไปแนวหน้าในตอนเย็น
ที่มั่นตั้งรับสิบสามแห่งบนเขาชิงเจิ้งสว่างไสว สปอร์ตไลท์ขนาดใหญ่ส่องทั่วทั้งค่ายจนสว่าง ขณะเดียวกันก็มีเสียงนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่คำรามด้วยเพลิงโทสะก้องค่าย
มีรถบรรทุกทหารขับมา ทหารกระโดดลงมาจากหลังรถ และเข้าประจำการตามจุดที่ได้รับมอบหมาย
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งมองพวกเขาจากเนินเขาแห่งหนึ่ง จุดที่กองพันเขาได้รับมอบหมายอยู่ทางเหนือสุดของที่มั่น 313 ก็อย่างที่เฉินอู๋ตี๋ได้ยินมา พันเอกพิเศษหมาข่ายตั้งใจส่งพวกเขามาป้องกันที่นี่จนตัวตาย
พวกเขามีปืนกลหนักสี่กระบอก ไม่มีเครื่องยิงจรวดด้วยซ้ำ ปืนครกอะไรก็ไม่มี ด้วยอาวุธแค่นี้ ตั้งรับได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว
ดังนั้นตอนที่ทหารของที่มั่น 313 เห็นเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวก พวกเขาอย่างกับมองคนตายอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีใครคิดว่าเขาจะรอดได้
เฉินอู๋ตี๋นั่งลงข้างเริ่นเสี่ยวซู่ เขากล่าวกับเฉินอู๋ตี๋ว่า “ถ้าได้ยินอะไรผิดปกติบอกฉันทันทีเลยนะ พวกเราต้องระวังชิ่งเจิ่นกลับคำไว้ด้วย”
“ครับ” เฉินอู๋ตี๋ว่าอย่างขะมักเขม้น
จุดที่เขานั่งอยู่สูงไม่เลว เริ่นเสี่ยวซู่มองเห็นได้ลางๆ ว่าพวกทหารที่ค่ายวิ่งไปวิ่งมาตรงจุดที่ห่างพวกเขาราวๆ กิโลเมตรหรือสองกิโลเมตร มีทหารใช้กระบองสีแดงโบกทางให้รถ มีคนเข้าออกศูนย์บัญชาการที่ตั้งอยู่ด้านหลัง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ที่เห็นเต็นท์หลังโตสามหลังตั้งโด่อยู่ในค่ายก็รู้สึกแปลกๆ เต็นท์อื่นๆ มีคนเข้าๆ ออกๆ ไม่หยุด แต่เต็นท์พวกนั้นยังนิ่งสนิทไม่มีใครสนใจ รอบๆ ไม่มีทหารอยู่ใกล้ด้วยซ้ำ
อะไรกันล่ะนั่น พื้นที่หวงห้ามของสมาคมตระกูลหลี่เหรอ
ตอนนั้นเอง หลี่ชิงเจิ้งก็เดินมาพร้อมปืนไรเฟิลอัตโนมัติสะพายไหล่ “เสี่ยวซู่ ฉันรู้สึกใจไม่ค่อยดีเลย…”
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรให้กังวล” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “อย่างมากพอตระกูลชิ่งเริ่มโจมตีใส่เราก็วิ่งเลยไง”
“พูดง่ายไปแล้ว พวกเราจะหนีไปแบบนั้นได้ยังไง” หลี่ชิงเจิ่นยักไหล่ นั่งลงข้างเริ่นเสี่ยวซู่แล้วกระซิบ “มีพลลาดตระเวนเพิ่งถูกส่งมาแถวนี้ ได้ยินพวกเขาพูดว่าทหารของสมาคมตระกูลชิ่งกำลังมาล้างแค้นที่นี่”
เริ่นเสี่ยวซู่หน้านิ่วคิ้วขมวด แผนเปลี่ยน?
เขาหันไปมองค่ายข้างหลัง ทันใดนั้นก็รู้สึกเลือนรางว่าคนในค่ายกำลังหันมามองตนเช่นกัน
สงครามใกล้ปะทุแล้ว ทุกคนในค่ายต่างไม่พอใจ กองพัน ‘วีรบุรุษ’ ขนาดทหารกองหลังที่เพิ่งมาถึงที่มั่น 313 ได้ยินว่ากองพันวีรบุรุษอยู่ที่นี่ด้วยก็อดรู้สึกผวาไม่ได้ ทุกคนล้วนคิดกันหมดว่าสมาคมตระกูลชิ่งต้องเปิดการโจมตีที่นี่แน่นอน
ถึงยากบอกกล่าวว่าสงครามนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่มีใครคิดว่ากองพันวีรบุรุษจะรอดได้ในสงครามนี้