the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 275 การทรยศและความภักดี
หลี่ชิงเจิ้งเหลือบมองบัญชีรายชื่อทหาร “เว่ยเจียงอวี่ ตามฉันมาที่เต็นท์อีกหลัง ฉันมีคำถามจะถาม”
ในเต็นท์ที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่อยู่มีทหารอาวุธครบมือมากกว่าสิบนายคอยเฝ้าอยู่ ถึงหลี่ติ้งติ่งจะพูดว่าตนมีคำถาม แต่จริงๆ คือต้องการคุมตัวพวกเขาไว้ที่นี่ต่างหาก อีกทั้งว่าทหารพวกนี้ต่างเป็นทหารนาโนแมชชีนกันหมดเลยด้วย
หลี่ชิงเจิ้งถามเสียงค่อย “เสี่ยวซู่ พวกเราจะถูกหักหลังหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัวอย่างสงบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าหลี่ติ้งติ่งกำลังสืบสวนเรื่องอะไร และก็ไม่รู้ด้วยว่าแม้ตนจะช่วยเหลือทุกคนมาตลอดขนาดนี้แล้วยังจะมีคนทรยศเขาหรือเปล่า
เว่ยเจียงอวี่ไปยังเต็นท์อีกหลังที่มีการนำโต๊ะเก้าอี้มาวางเรียบร้อย
หลี่ติ้งติ่งถาม “ช่วงที่ผ่านในหน่วยมีอะไรแปลกๆ หรือเปล่า”
เว่ยเจียงอวี่ส่ายหัว “ไม่มีครับ”
“ขอฉันย้อนความจำนายสักนิดนะ” หลี่ติ้งติ่งยิ้ม “ฝูงหมาป่า ทหารนาโนแมชชีน หลี่ชิงเจิ้ง เริ่นเสี่ยวซู่…”
ทันใดนั้นก็มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น หลี่ติ้งติ่งแค่ทดสอบโยนคำออกไปมั่วซั่ว แต่พอเขาพูดถึง ‘ฝูงหมาป่า’ รูม่านตาของเว่ยเจียงอวี่ก็หดลง พอพูดถึง ‘ทหารนาโนแมชชีน’ และ ‘หลี่ชิงเจิ้ง’ รูม่านตาเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม พอพูดถึง ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ รูม่านตาก็หดอีกครั้ง
ปกติรูม่านตาจะตอบสนองต่อแสง ถ้ามีแสงมาก รูม่านตาก็จะหดเพื่อลดการรับแสงเข้าเพื่อป้องกันตา
แต่รูม่านตาอาจเป็นผลกระทบจากอารมณ์ก็ได้ ถ้าคนผู้หนึ่งเกิดความกังวล รูม่านตาก็จะหดลง กลับกัน ถ้าคนผู้หนึ่งเกิดความตื่นเต้น รูม่านตาก็จะขยายยืดออกจนสุด ก็หมายความว่าคนผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว
ก็เป็นไปอย่างที่หลี่เสินถานเคยว่า จิตใต้สำนึกควบคุมความลับมากมายในร่างกายมนุษย์ แต่มนุษย์กลับไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกได้
หลี่ติ้งติ่งยิ้ม เปลี่ยนมาเป็นท่านั่งสบายๆ แล้วกล่าวกับเว่ยเจียงอวี่ว่า “เอางี้เป็นไง ลองวิธีนี้กัน ถ้านายบอกว่าในหน่วยของนายมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น ฉันจะให้รางวัลนายหนึ่งแสนหยวนพร้อมกับสถานะพลเมืองของป้อมปราการ ฉันจะหางานให้ด้วย นายจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีกไปตลอดชีวิต”
เว่ยเจียงอวี่ปิดปากไม่ยอมเอ่ยอะไร เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่หลี่ติ้งติ่งพูดเป็นความจริงหรือเปล่า
หลี่ติ้งติ่งเรียกให้คนเอากระเป๋ามาให้ “ฉันเตรียมเงินสดหนึ่งแสนหยวนและใบแสดงตนของป้อมปราการให้นายแล้ว ลองตรวจดูสิ”
เว่ยเจียงอวี่นิ่งไปพักหนึ่ง นี่มันของจริงนี่! คนผู้นี้น่าจะมีอำนาจไม่น้อยถึงทำใบแสดงตนได้!
ทันใดนั้นหลี่ติ้งติ่งก็คว้ากระเป๋าจากมือเว่ยเจียงอวี่กลับไป “นายโชคดีนะเนี่ย เพราะสอบปากคำคนแรกถึงได้โอกาสนี้ไป ถ้าบอกความจริงฉัน พวกที่หลังจากนายคงไม่โชคดีหรอก แต่ต่อให้นายไม่พูด ฉันก็มั่นใจว่าจะมีคนพูดอยู่ดี พอเป็นแบบนั้นนะ นอกจากนายจะไม่ได้เงินแล้ว อาจจะต้องไปอยู่คุกด้วย”
หลี่ติ้งติ่งเตรียมแครอทและแท่ง[1]ไม้ไว้แล้ว
เว่ยเจียงอวี่พูดเสียงต่ำ “ก็ได้ ผมยอมพูดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ลอบออกไปนอกป้อมสังเกตการณ์หลายรอบมาก หลังจากพวกเราถูกส่งมาประจำการณ์ยังที่มั่น 313 ทางเหนือ เขาก็มักจะออกไปยามค่ำคืนและกลับมาในตอนเช้า หวังอวี่ฉือกับนักเรียนคนอื่นๆ รู้จักกับเริ่นเสี่ยวซู่ตั้งแต่แรกแล้วเพราะหนีมาจากป้อมปราการ 109 ด้วยกัน เฉินอู๋ตี๋เป็นลูกศิษย์ของเริ่นเสี่ยวซู่…”
ณ เต็นท์อีกหลัง เฉินอู๋ตี๋พลันถอนหายใจ กระซิบพูด “ท่านอาจารย์ พวกเราถูกทรยศแล้ว”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ทำท่าว่านี่อยู่ในการคำนวณอยู่แล้ว
“ลงมือเลยไหม” เฉินอู๋ตี๋กระซิบถาม
“ยังก่อน”
ตอนนี้หลี่ติ้งติ่งกำลังฉีกยิ้มกว้าง จะบรรลุเป้าหมายกับพวกผู้อพยพนั้นง่ายมาก เงินและสถานะพลเมืองของป้อมปราการนั้นเป็นอาวุธที่ทำให้ได้เปรียบมากเวลาสอบปากคำคน!
เรื่องมาถึงเช่นนี้แล้ว เขาย่อมไม่กลัวคนจะไม่พูด
พอเว่ยเจียงอวี่ออกจากเต็นท์ไป หลี่ติ้งติ่งก็เรียกคนอื่นไปสอบปากคำ ผลคือเขาได้ข้อมูลมากกว่าเดิมอีก!
“ตอนพวกเราอยู่ที่ป้องสังเกตการณ์ พวกหมาป่าจะส่งอาหารมาให้เรา”
“ผมเห็นว่าคืนก่อนที่นายทหารทั้งสองจะหายตัวไป เริ่นเสี่ยวซู่แอบออกไปข้างนอกด้วย”
“ก่อนที่นายทหารทั้งห้าคนของกองพันเทพยนต์ที่นำกองกำลังส่วนตัวตาย เริ่นเสี่ยวซู่จะออกไปนอกค่ายตลอดๆ เลย”
“ก่อนที่สมาคมตระกูลชิ่งโจมตีเราเมื่อคืนก่อน เริ่นเสี่ยวซู่ออกจากที่มั่นตั้งรับที่เราต้องป้องกันด้วย”
ทุกคำพูดชี้ไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ผู้บัญชาการแห่งกองพันวีรบุรุษ หลี่ติ้งติ่งไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานอะไร เขาไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์
คนรอบๆ เริ่นเสี่ยวซู่และเฉินอู๋ตี๋ถูกเรียกไปทีละคน หลี่ติ้งติ่งมองหลี่ชิงเจิ้งตรงหน้า “คนอื่นๆ สารภาพหมดแล้ว นายก็ควรสารภาพด้วย ถ้านายยอม จะได้ทั้งเงิน…”
หลี่ชิงเจิ้งยิ้มประจบ “ได้เงินด้วย ท่านครับ ผมชอบเงินที่สุดเลย”
หลี่ติ้งติ่งยิ้มกว่าเดิม “ดี งั้นพูดเลย”
“แต่ผมไม่รู้อะไรเลย หน่วยเราไม่มีอะไรผิดปกติ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของพวกเขาเลยครับ” หลี่ชิงเจิ้งว่าอย่างไม่พอใจ
“ฉันเตือนนายแล้วนะ อย่าสุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์” หลี่ติ้งติ่งแค่นเสียง “คิดว่าฉันต้องการคำให้การของนายเหรอไง สงสัยคงอยากไปอยู่ในคุกตลอดชีวิตสินะ”
หลี่ชิงเจิ้งสูดลมหายใจสุดปอดและพูดเสียงเคร่งขรึม “แบบนั้นก็ไม่เลว อย่างน้อยก็มีอาหารให้กิน”
หลี่ติ้งติ่งปรบมือ “ในที่สุดก็ได้พบผู้กล้าแล้ว ไม่เลว ไม่เลว นายคงไม่รู้ว่าโชคชะตาอะไรกำลังรอนายอยู่ เอาตัวเขาไป แล้วพานักเรียนแปดคนมา”
ตลอดการสอบปากคำเริ่นเสี่ยวซู่ไม่หุบยิ้ม ส่วนเฉินอู๋ตี๋ก็จะกระซิบให้เขาฟังเป็นพักๆ แต่เฉินอู๋ตี๋ไม่ได้ยินดีนักเพราะนึกว่าทุกคนจะดีกว่านี้เนื่องจากเป็นสหายกันมานาน
หลังจากหลี่ชิงเจิ้งกลับเต็นท์มาแล้วก็นิ่งเงียบไป เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ถามอะไรเขา เพียงส่งยิ้มให้อย่างเดียว พอนักเรียนทั้งแปดคนกลับมา หวังอวี่ฉือยืนแค่นเสียงใส่คนอื่นๆ “ขนาดสุนัขยังภักดีกว่าพวกแก เจ้าพวกขยะ!”
“พอแล้ว นั่งลงเถอะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดพร้อมรอยยิ้ม ที่เขายังชื้นใจได้อยู่เพราะนักเรียนของเจียงอู๋ยังแข็งแกร่งเช่นที่เห็นภายนอก การเสียสละของเจียงอู๋ไม่เสียเปล่าแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่และเฉินอู๋ตี๋เป็นสองคนที่ยังไม่ถูกสอบปากคำ หลี่ติ้งติ่งเหมือนตั้งใจจะสืบสวนพวกเขาเป็นคนท้ายๆ
หลี่ติ้งติ่งรู้อยู่แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ใด
ทันใดนั้น หลี่ติ้งติ่งก็ยกผ้าเต็นท์และเดินเข้ามา เขามองเริ่นเสี่ยวซู่และเฉินอู๋ตี๋แล้วว่า “เหลือแค่พวกนายสองคนแล้ว มีอะไรจะพูดไหม”
“รอสักหน่อย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“รออะไร” หลี่ติ้งติ่งนิ่งไป
พูดจบ เสียงหวีดแสบหูก็ดังไปทั่วอากาศ เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นพื้น
นี่เป็นเสียงยิงปืนใหญ่ การสู้รบเริ่มอีกครั้งในรุ่งสางของวัน! สมาคมตระกูลชิ่งกลับมาแล้ว!
พริบตานั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ลงมือด้วยการกระโจนไปหาหลี่ติ้งจิ่ง “ได้เวลาแล้ว!”
ถ้าเขาลงมือก่อนหน้า เสียงโหวกเหวกคงได้ดึงทหารที่คอยรักษาที่มั่น 313 มาแน่ เริ่นเสี่ยวซู่เลยรอโอกาสที่ไม่มีใครสนใจว่าที่นี่กำลังเกิดอะไรขึ้น และโอกาสนั้นก็คือตอนที่สมาคมตระกูลชิ่งเริ่มโจมตีอีกครั้ง!
ตอนนี้ทหารของที่มั่น 313 ยังดูแลตัวเองแทบไม่รอด จะเอาเวลาไหนไปสนอย่างอื่น
“ตาย!” เริ่นเสี่ยวซู่คำราม
พลันมีเกราะปรากฏคลุมตลอดร่างของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาคว้าคอหลี่ติ้งติ่งด้วยมือเดียว ก่อนจะกระแทกเขาลงกับพื้น!
ประกายแสงสีเงินสว่างโรจน์ออกจากเส้นเลือดตามร่างของหลี่ติ้งติ่ง เขาระวังตัวไว้อยู่แล้ว เพราะคาดว่าเริ่นเสี่ยวซู่น่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ!
แต่พอทั้งสองได้ประมือกัน หลี่ติ้งติ่งก็รับรู้ถึงความสิ้นหวัง ดูเหมือนว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะทรงพลังกว่าเขามาก!
[1] แครอทและแท่งไม้ (萝卜与大棒, Carrot and stick) เป็นการอุปมาถึงการใช้ทั้งผลประโยชน์และบทลงโทษมาล่อลวง ให้นึกภาพคนขี่ลาที่เอาแครอทผูกแท่งไม้ไว้หน้าลา ลาก็จะพยายามวิ่งไปข้างหน้าเพื่อกินแครอท ทว่าก็กินไม่ได้เพราะแท่งไม้จะนำอยู่ข้างหน้าลาตลอด