the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 278 เงินสมาคมตระกูลชิ่งเสื่อมค่า
ข้างหลังของที่มั่น 313 เป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ หลังขโมยรถบรรทุกเสร็จก็ขับดิ่งลงใต้กลับป้อมปราการ 108 โดยไร้ซึ่งปัญหาใด
ก่อนหน้านี้พวกเขาลองไปอีกทาง แต่ก็กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะยืนยันตัวได้ ตอนนี้ทหารต่างถูกส่งมาที่แนวหน้าจนหมด ข้างหลังเหลือเพียงทหารยามเฝ้าคลังแสงสบงเสบียงคอยกันสายลัยลอบดอดเข้ามา
แต่ทว่าหัวหน้าสายลับของสมาคมตระกูลหลี่กลับกำลังหลบหนีเสียฉิบ ไม่มีแม้กระทั่งเวลาไปแจ้งถังโจว
บนรถบรรทุกเงียบกริบ เริ่นเสี่ยวซู่เหยียบคันเร่งตลอดทาง ส่วนเฉินอู๋ตี๋และหวังอวี่ฉือไม่พูดอะไรเลย
ระหว่างทางกลับป้อมปราการ 108 พอมาถึงจุดตรวจเหงื่อเย็นเยียบก็รินไหลด้วยกลัวว่าจะถูกทหารที่นี่รั้งตัวไว้
แต่พอเขาแสดงใบแสดงตนของกองสืบสวนพิเศษ ก็ไม่มีใครกล้ารั้งตัว
เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าหมายจับตัวเองยังไม่ถูกปล่อยออกมา ไม่อย่างนั้นหลี่ติ้งติ่งคงไม่สืบสวนเขาเป็นการลับ
ที่เขาอยากทำตอนนี้คือรีบกลับป้อมปราการก่อนที่สมาคมตระกูลหลี่จะออกคำสั่งล่าตัวเขา เขาต้องรีบหาโอกาสพาเหยียนลิ่วหยวนและคนอื่นๆ หนี
ส่วนที่ว่าจะที่ไหนนั้น พวกเขาค่อยคิดทีหลัง
ตอนนี้ไฟสงครามลามไปตามถนนทางเหนือที่นำไปยังป้อมปราการ 88 ของสมาคมตระกูลหยาง ถึงกองพลยานเกราะสมาคมตระกูลหยางใช้เวลาช่วงกลางคืนเดินทางไปถึงเขาชิงเซิ่งของแนวหน้าแล้ว ทว่ากลับถูกกลุ่มทหารลึกลับตัดการเชื่อมต่อกับแนวหลัง จึงไม่ทันสร้างความความเสถียรภาพให้กับสนามรบ ตอนนี้พวกเขาทำให้สนามรบชะงักงันกว่าเดิมอีก
ดังนั้นต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่มุ่งขึ้นเหนือ ก็ไม่ง่ายที่จะไปสมาคมตระกูลชิ่งหรือตระกูลหยาง
แต่พวกเขาก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คงให้ทุกคนไปซ่อนตัวกันในแดนรกร้างก่อน ถึงสัตว์ป่าและแมลงพิษจะมีอยู่ทั่วในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ ทว่าตอนนี้เขามีเถาหนามอยู่ ซึ่งในอนาคตเขาอาจจะซื้อเมล็ดพันธุ์แบบอื่นได้ด้วย พอเป็นแบบนั้นแล้ว การอาศัยอยู่ในแดนรกร้างก็คงไม่โหดร้ายมากนักหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เวลาเพียงสี่ชั่วโมงเพื่อถึงป้อมปราการ ถ้าไม่ใช่ว่าภูมิประเทศภูเขามีสูงมีต่ำเดินทางลำบาก เขาคงขับเร็วกว่านี้อีก
พอถึงประตูป้อมปราการเริ่นเสี่ยวซู่แสดงใบแสดงตน จับตาดูสีหน้าของยามเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ทว่าทหารรักษาการณ์ไม่เอ่ยอะไร พวกเขาดูสุภาพมากและปล่อยเริ่นเสี่ยวซู่ผ่านไป ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติ
ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจโล่งอกได้ สมาคมตระกูลหลี่คงไม่ทันคาดคิดว่าว่าคนที่พวกเขาอยากจับนั้นกลับมาถึงป้อมปราการแล้ว
แต่อยู่ที่นี่พวกเริ่นเสี่ยวซู่ต้องระมัดระวังให้มากกว่าเดิม เกิดสมาคมตระกูลหลี่รู้ตัวเข้า พวกเขาคงไม่มีทางให้หนี
หลังจากเข้ามาในป้อมปราการได้แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็จอดรถบรรทุก “เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพักผ่อนกันเสียหน่อย ฉันจะหาวิธีตามหาพวกเหยียนลิ่วหยวน”
เฉินอู๋ตี๋ออกมาจากรถบรรทุกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แหวะ!”
“อู๋ตี๋ เป็นอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างประหลาดใจ
“อาจารย์ ข้าไม่เป็นไร…แหวะ!” เฉินอู๋ตี๋ผู้อ้างว่าตัวเองเป็นฉีเทียนต้าเซิ่งมากลับชาติมาเกิดผู้ไม่เคยกลัวอะไร ตอนนี้กำลังกลัวทักษะขับรถของอาจารย์ตนเป็นที่สุด!
พวกกระสงกระสุนเป็นแค่การโจมตีทางกายภาพ แต่ทักษะขับรถของอาจารย์เป็นการโจมตีเวทมนต์ มันต่างกัน!
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงจริงจัง “อู๋ตี๋ แบบนี้ไม่ได้นะ ทำไมถึงเมารถง่ายขนาดนี้ล่ะ ดูคนอื่นสิ ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย”
เขาหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นว่านักเรียนคนหนึ่งอาเจียนหนักจนแทบจะเป็นลมแล้ว ว่าแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาถามพระราชวัง “ทักษะขับรถฉันระดับไหนแล้ว”
เสียงจากพระราชวังดังมา [ตรวจไม่พบทักษะขับขี่ใด]
“…ก็ได้…”
แผนตอนนี้คือหาตัวเหยียนลิ่วหยวนให้เจอก่อน แต่คิดไปคิดมาพักใหญ่ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่มีความคิดดีๆ เลย อย่างไรก็เป็นป้อมปราการใหญ่โต ตอนที่พวกเขารีบร้อนไปแนวหน้า พวกเขาไม่ได้ตกลงกันว่าจะติดต่อกันอีกครั้งอย่างไร ตอนนี้วิธีแก้เดียวคือหาตัวหูชัว
แต่เขาจะไปหาหูชัวได้ที่ไหนล่ะ…
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ถามทางคนตามถนน เขาโพล่งถามออกไปเลยว่ากองสืบสวนพิเศษอยู่ไหน ทว่าไม่มีใครตอบได้ ดูเหมือนกองสืบสวนพิเศษจะเป็นหน่วยงานลับมาก
ทันใดนั้นเฉินอู๋ตี๋ก็พูด “อาจารย์ แม้จะถอนกระสุนออกหมดแล้ว แต่พวกเราไม่มีรู้วิธีเชื่อมกระดูก ถ้ายังปล่อยไว้ ต่อไปพวกอาจจะเดินแบบปกติไม่ได้อีก”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว พวกหวังอวี่ฉือล้วนถูกกระสุนยิงใส่ แม้เฉินอู๋ตี๋จะช่วยถอนกระสุนออกและทายาดำเรียบร้อย แต่ถ้าไปโรงพยาบาลต้องถูกจำได้ง่ายๆ แน่ว่าเป็นรอยกระสุน ถ้าไปอาจทำให้ของกองรักษาการณ์ป้อมปราการ 108 สนใจขึ้นมา ต้องเป็นปัญหาหนักกว่าเดิมแน่!
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ถ้าหาหูชัวไม่เจอ ก็ต้องให้หูชัวเจอพวกเขาแทน
จู่ๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันในร้านขายน้ำมันธัญพืชใกล้ๆ “ที่นี่ไม่รับเงินสกุลชิ่งกับหยาง เงินพวกเขาไม่ต่างไปจากเศษกระดาษหรอกตอนนี้ ถ้าไม่มีเงินของสมาคมตระกูลหลี่เราก็ไม่ต้องมาร้านนี้”
ผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าร้องไห้อยู่หน้าร้านขายน้ำมันธัญพืช “บ้านฉันไม่มีอะไรกินกันมาสองวันแล้ว ขายข้าวให้เราสักหน่อยเถอะนะ นี่เงินที่บ้านฉันเคยลงทุนไว้ พอสงครามจบมันต้องกลับมามีค่าอีกแน่!”
เริ่นเสี่ยวซู่เพียงชมดูไม่ปริปาก
หลังจากสงครามปะทุ น้ำมันและธัญพืชล้วนถูกส่งเข้ากองทัพเป็นหลัก จนเกิดการขาดแคลนอาหารในป้อมปราการ 108 ที่อยู่ใกล้แนวหน้าที่สุด
เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าเมื่อมีสงคราม ชีวิตชาวป้อมปราการลำบากนัก
ทันใดนั้นพระราชวังก็เอ่ย [ภารกิจ ช่วยชาวป้อมปราการที่ต้องทนทุกข์จากสงครามสิบราย]
เหอๆ พอเห็นภารกิจแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็เมินทันที เขายังหนีเอาตัวไม่รอดอยู่เลย จะเอามือที่ไหนไปช่วยคนอื่น!
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไปพักหนึ่ง เขาหันไปคุยกับเฉินอู๋ตี๋ “ไปกัน ฉันมีความคิดดีๆ ละ”
พูดจบก็ขึ้นรถบรรทุก จากนั้นก็เหยียบคันเร่งขับรถไปทั่วป้อมปราการ พอเจอร้านทองก็หยุด เริ่นเสี่ยวซู่เข้าร้านทองไปและโพล่งถามว่า “รับทองหรือเปล่า”
เถ้าแก่ร้านตาทอประกาย “รับครับ ไม่ทราบอยากแลกทองเท่าไร”
สงครามยังไม่จบ ของมีค่าที่สุดคือทองคำ อีกทั้งยังเป็นของที่มูลค่าเพิ่มในระยะยาว ก่อนหน้านี้ราคาหลายร้อยหยวนต่อทองหนึ่งกรัม ทว่าราคาตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นพันกว่าหยวนต่อหนึ่งกรัมแล้ว
“ไม่ต้องถามว่าจะแลกแค่ไหน” เริ่นเสี่ยวซู่มองเถ้าแก่ “ฉันขอถามเองว่า เถ้าแก่มีเงินสกุลหยางมากแค่ไหน”
“เอ๋?” เถ้าแก่ร้านมีความสุขสุดๆ ปกติร้านทองในป้อมปราการก็ให้บริการทางการเงินบางอย่างด้วย อย่างเช่นให้พ่อค้าแลกเปลี่ยนสกุลเงินของสมาคมต่างๆ พวกพ่อค้าเองก็พร้อมจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลอื่นตราบใดที่ค่าธรรมเนียมนั้นต่ำกว่าที่ธนาคารสมาคมตระกูลหลี่เก็บ
โชคร้ายที่มีสงครามขึ้น และเขาดันมีทั้งเงินของสมาคมตระกูลหยางและตระกูลชิ่งอยู่กับตัว และเงินพวกนั้นไม่ต่างไปจากเศษกระดาษ!
ทว่าช่วงเวลาแบบนี้ เด็กหนุ่มกลับอยากแลกเปลี่ยนเป็นเงินของสมาคมตระกูลหยางอย่างนั้นเหรอ เสียสติไปแล้วหรือ
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว “จะแลกไม่แลก”
“แลกสิ แลกอยู่แล้ว ทำไมจะไม่แลก!” ตอนนี้เถ้าแก่ร้านทองถือเงินสกุลหยางมาพักใหญ่ และไม่มีช่องทางปล่อยด้วย ถ้ามีคนอยากแลกตอนนี้ เขาก็ยินดีจะรับเลยแหละ
ไม่สนหรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะเสียหายหนักเพราะการนี้หรือเปล่า สงครามทำให้คนต้องเป็นทุกข์มากมายอยู่แล้ว จะเพิ่มเสียอีกหนึ่งคนก็ไม่ทำให้มีอะไรแตกต่างไปหรอก!