the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 279 ทำเงิน ทำเงิน และทำเงิน!
ที่เถ้าแก่ร้านทองไม่รู้คือเริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจหรอกว่าเงินของสมาคมตระกูลหยางนั้นเสื่อมค่าไปหรือเปล่า เพราะว่าพระราชวังเพียงต้องการเงินทางการเท่านั้น ไม่สนว่าเป็นสกุลเงินของสมาคมตระกูลไหน!
ค่าเงินที่ลดลงของเงินสมาคมตระกูลหยางนั้นเหมาะเหม็งกับความต้องการของเริ่นเสี่ยวซู่พอดี แถมถ้าในอนาคตเขาได้ไปพื้นที่ของสมาคมตระกูลหยางจริงก็ใช้งานได้อีก
ในเขตพื้นที่ของสมาคมตระกูลหยางเอง เงินคงไม่เสื่อมค่าไปหรอก มีแค่ในสมาคมตระกูลชิ่งและหลี่เท่านั้นแหละที่เงินจะลดค่าไป
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าสงครามจะพาลาภลอยมาให้เขาแบบนี้ ไม่รู้เลยว่าจะขอบคุณสมาคมตระกูลหลี่อย่างไรดี….
ในช่วงสงคราม ข้างนอกยังวุ่นวาย ไม่มีใครสนหรอกว่าเขาจะขายทองไปหน่อย นี่แหละเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ปล่อยของไปบ้าง
ถึงว่าทำไมคนมักจะพูดว่าผู้ที่ทำเงินช่วงสงครามได้นั้นร่ำรวยมหาศาล เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว พอสงครามปะทุออก กฎระเบียบส่วนใหญ่ในสถานที่หนึ่งล้วนปั่นป่วนไป
เถ้าแก่ร้านยิ้มพูด “สหายน้อยมีทองเท่าไรล่ะ มีเท่าไรฉันเอาหมด”
เขาถามเถ้าแก่ “เถ้าแก่มีเงินสกุลหยางเท่าไร มีเท่าไรฉันเอาหมด”
หน้าใหญ่ของแท้!
เถ้าแก่ร้านลดเสียงต่ำ “มีสองแสนสี่หยวน ตอนนี้ทองหนึ่งกรัมต่อเงินสกุลหยางแปดพันหยวน!”
“สองแสนสี่เองเหรอ ต่ำอยู่นะ…” เริ่นเสี่ยวซู่รวยจัดจนไม่เห็นเงินสองแสนสี่หมื่นหยวนในสายตาแล้ว
อย่างไรเสียต่อให้เขาควักทองสามสิบกรัมมาแลก ทองในคลังเขาก็ดูไม่แตกต่างจากเดิมหรอก
ไม่สิ เริ่นเสี่ยวซู่พลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปแล้ว
เขาพลันนึกอะไรได้จึงถาม “เถ้าแก่มีเงินสกุลชิ่งมากแค่ไหน ฉันขอแลกของทั้งสองสมาคมเลย!”
เถ้าแก่ร้านยินดีจนเนื้อเต้น “สหายน้อยดั่งคนดีพระพฤติดีจริงๆ ฉันขอขอบคุณสหายน้อยมากจริงๆ! ฉันมีเงินสกุลชิ่งอยู่สามแสนหนึ่งหมื่นหยวน!”
[ได้รับคำขอบคุณจากเลี่ยวอี้จง +1!]
พระราชวังเอ่ย [ภารกิจเสร็จหนึ่งส่วน]
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง ภารกิจบอกว่าช่วยชาวป้อมปราการที่ต้องทนทุกข์จากสงคราม กลับกลายเป็นว่าเถ้าแก่ร้านทองก็ตกอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน
ลองคิดดูดีๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ มีเงินค้างมืออยู่ขนาดนั้น คนผู้นี้คงนอนไม่หลับมาหลายวันเชียว
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้แล้วว่าจะทำภารกิจนี้ให้เสร็จอย่างไรดี
เริ่นเสี่ยวซู่พลันโน้มน้าวตัวเองจากสุดบึ้งหัวใจว่าเขาไม่ได้กำลังหาเงินจากสงคราม แต่เขากำลังช่วยบรรดาชาวป้อมปราการที่กำลังทนทุกข์ในสงครามต่างหาก!
เขาก็รู้ตัวแหละว่ากำลังบิดคำเบือนความจริง แต่ไม่ทำเช่นนี้เขาจะถามใจตนเองไม่ละอายได้อย่างไร
ก็ไม่ต้องถามอย่างไรเล่า!
…
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ไปร้านทองอื่นในทันที แต่กลับไปบนรถบรรทุกทหารก่อน เขาดึงผ้าใบลงมากั้นหลังรถ กันไม่ให้คนเห็นเห็นว่าข้างในมีอะไร
เริ่นเสี่ยวซู่มองหวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ พร้อมว่า “เรื่องที่ฉันกำลังทำเป็นความลับสุดยอด ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด ร่วมถึงเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงด้วย”
“แต่พวกเราบอกครูเจียงได้ใช่ไหม” หวังอวี่ฉือถาม อาการบาดเจ็บเขายังไม่หายดี แต่พอทายาดำแล้วความเจ็บปวดก็บรรเทาลง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “ได้ บอกได้”
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดหาวิธีเชื่อมกระดูกหักของพวกหวังอวี่ฉือ คือส่งนาโนแมชชีนส่วนหนึ่งเข้าร่างพวกเขาเพื่อช่วยจัดและเชื่อมกระดูกที่แตกหัก
เริ่นเสี่ยวซู่พร้อมหนีมากับพวกนักเรียนเพราะพวกเขาไม่ได้ทรยศตนขณะโดนหลี่ติ้งติ่งสอบปากคำ เพราเฉินอู๋ตี๋มีพลังหูตามลม เขาไม่มีทางพลาดเด็ดขาด
ถ้าเป็นเริ่นเสี่ยวซู่ในอดีต เขาคงไม่เผยความลับนาโนแมชชีนหรอก แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่พร้อมใจจะแบ่งปันเรื่องนี้ให้กับพวกเขา
อีกทั้งว่าตอนนี้เขามีนาโนแมชชีนเก็บในช่องเก็บของมากเกินไปหน่อยแล้ว แถมยังเอามาใช้เองไม่ได้อีก ถ้าสมาคมตระกูลหลี่รู้เข้าคงหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่เพราะพวกเขายังมีทหารอีกมากที่ยังไม่ได้รับจัดสรรนาโนแมชชีน แต่เจ้าคนผู้นี้กลับปล้นนาโนแมชชีนไปตั้งมาก รีเซ็ตเองก็ได้ ปลดล็อคเองก็ได้ แถมยังจับคู่ใหม่ได้เองอีก!
แต่ว่าเขายังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสองหมื่นหยวนสำหรับการโอนถ่ายนาโนแมชชีนไปให้พวกหวังอวี่ฉืออยู่ นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ไปร้านทองแลกเงิน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมแน่
หวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ มองหน้ากัน “หัวหน้าห้องวางใจได้ ความลับที่พวกเราได้ยินวันนี้จะไม่มีทางหลุดไปเข้าหูคนอื่นเด็ดขาด”
“ยื่นมือออกมา” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ฉันกำลังจะโอนนาโนแมชชีนให้ทุกคน”
หวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ ตะลึง ถึงพวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนาโนแมชชีนนัก แต่มันเอามาให้พวกเขาได้จริงๆ หรอกหรือ ไม่ใช่ว่ามันต้องมีการเข้ารหัสหรืออะไรเถือกนั้นเหรอ
ทว่าพอมองสีหน้าของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ก็ดูเหมือนว่าเรื่องพวกนั้นจะไม่ใช่ปัญหาเลย
แต่นาโนแมชชีนนั้นมีค่ามากเกินไป หวังอวี่ฉือชักมือกลับ “นาโนแมชชีนเหมาะจะให้หัวหน้าห้องใช้งานมากกว่า ถ้าเอาให้เรา หัวหน้าห้องจะเอาที่ไหนไปใช้ล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มหัวเสีย เขาคว้ามือของหวังอวี่ฉือแล้วว่า “ทำอะไรชักช้า ฉันมีเยอะเฟ้ย!”
พวกหวังอวี่ฉือนิ่งงันไป หัวหน้าห้องพวกเขาใจกว้างขนาดนี้เมื่อไร
พูดตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่ประมาณการนาโนแมชชีนที่มีในช่องเก็บของคร่าวๆ แล้ว ต่อให้เอาให้นักเรียนทั้งแปดส่วนหนึ่ง เขาก็ยังมีเหลือเฟือให้เหยียนลิ่วหยวน
ถึงตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนมีนาโนแมชชีนคลุมทั่วร่างแล้ว แต่เขาเด็กอยู่ ยังโตได้อีก
มันรู้สึกอย่างกับพ่อแม่ที่คิดจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกแน่ะ พวกเขาจะวางแผนระยะยาว พ่อแม่มักจะซื้อเสื้อผ้าหลวมๆ ให้ลูก ลูกจะใช้ได้นานๆ
เสียงจากพระราชวังเอ่ย [ทั้งหมดแปดคน เก็บค่าธรรมเนียมทั้งหมดหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน]
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกปวดใจนัก กล่าวในห้วงจิต “อย่าใช้เงินสกุลหยางนะ เก็บเงินสกุลชิ่งแทน”
อย่างไรหลังจบเรื่องนี้ เขาอาจจะไปสมาคมตระกูลหยางต่อ ให้ใช้เงินของสมาคมตระกูลชิ่งแทน และเก็บเงินของสมาคมตระกูลหยางไว้ใช้ในอนาคต
นาโนแมชชีนจากเริ่นเสี่ยวซู่ไหลเข้าร่างหวังอวี่ฉือผ่านมือที่กุมกันอยู่นั้น
หลังโอนถ่ายสำเร็จ หวังอวี่ฉือกับคนอื่นๆ ก็ลองควบคุมนาโนแมชชีน เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ควบคุมได้ตามใจไหมน่ะ”
หวังอวี่ฉือส่ายหน้า “ทุกครั้งที่ฉันพยายามควบคุม มันจะหน่วงประมาณครึ่งวิถึงจะทำตามคำสั่ง รู้สึกแปลกมากเลย”
“อืม…คงเพราะอัตราซิงค์พวกนายต่ำไปหน่อยแหละ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ยังไงก็ต้องฝึกปฏิกิริยาตอบสนองไปเรื่อยๆ แบบนั้นน่ะจะช่วยลดระยะหน่วงได้ ถ้าทำให้อยู่ศูนย์จุดสองวินาทีได้ จะรับมือผู้มีพลังพิเศษทั่วไปคงไม่มีปัญหามาก”
“ได้” หวังอวี่ฉือพยักหน้า จากนั้นก็สั่งให้นาโนแมชชีนรักษากระดูกตน ทว่ากระบวรการนี้สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งเพราะนาโนแมชชีนต้องพาเศษกระดูกกลับเข้าตำแหน่งเดิม
แต่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าพวกนักเรียนไม่เปล่งเสียงสักคำขณะนาโนแมชชีนจัดกระดูกให้เข้าที่