the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 281 ระเบิดกู้ชีพ
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่พระราชวังรีเซ็ตนาโนแมชชีน มันจะพูดตลอดว่า ‘ลบโพรโทคอลเชื่อมต่อระยะไกล’ หรือว่าปัญหามันอยู่ที่โปรแกรมเชื่อมต่อระยะไกลนะ?
พวกทหารที่อยากกลายมาเป็นทหารนาโนแมชชีนแทบตายคงไม่คาดคิดหรอกว่าตัวเองจะลงเอยแบบนี้น่ะ
ถึงว่าทำไมหูชัวถึงพูดว่าสมาคมตระกูลหลี่เสียสติไปแล้ว อำมหิตเกินไปที่ทำกับทหารตัวเองแบบนี้!
หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “เหยียนลิ่วหยวนน้องชายของเธอกับคนอื่นๆ อยู่ที่ตรอกเป่าหยวน อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสิบกิโลเมตร ไปหาพวกเขาแล้วก็ไสหัวไปจากที่นี่ได้แล้ว”
“ยังไม่ตอบคำถามผมเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “หลี่ชิงเจิ้งจะถูกพากลับมาที่ป้อมปราการ 108 ตอนไหน และเขาจะถูกคุมตัวไว้ที่ไหน”
หูชัวดูแปลกใจอยู่บ้าง “อยากจะช่วยเขาเหรอไง เธอเป็นคนประเภทนั้นหรอกเหรอเนี่ย”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเคร่ง “ก็จริงที่ผมไม่ใช่คนดีอะไร ส่วนเรื่องช่วยเขาผมยังต้องคิดก่อน แต่ผมไม่ปฏิเสธความน่าจะเป็นหรอกนะ”
“เธอไม่มีโอกาสช่วยเขาระหว่างถูกพาตัวกลับมาที่นี่หรอก” หูชัวจ้องเริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันรู้ว่าเขาจะถูกคุมตัวไปสอบสวนที่ไหน แต่เธอต้องคิดให้ดีล่ะ ที่นั่นถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา ฉันว่าเธอไม่มีโอกาสมากหรอก”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องผมหรอกครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถ้าผมไม่มั่นใจ ผมไม่มีทางเสียสละตัวเองแบบเสียเปล่าหรอก ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น แค่บอกมาก็พอว่าหลี่ชิงเจิ้งจะถูกพาตัวกลับมาตอนไหนและจะถูกคุมตัวไว้ที่ไหน”
“ชั้นใต้ดินของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า”
หูชัวไม่ได้ยึดใบแสดงตนกองสืบสวนพิเศษของเริ่นเสี่ยวซู่กลับ ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย แต่เขาก็พร้อมจะช่วยเจ้าเด็กนี่อีกหน่อย
ก่อนจะจากกัน หูชัวถึงกับให้คนส่งภาพวาดฐานลับของสมาคมตระกูลหลี่ใต้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ามาให้
“อาจารย์ พวกเรากำลังไปช่วยจ้าวหมาป่าเหรอ” เฉินอู๋ตี๋ถามอย่างสงสัย
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบอยู่เช่นนั้น พอผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ถอนหายใจแล้วว่า “ไปหาเหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ ก่อนแล้วกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่จ่ายเงินเสร็จก็ไปสตาร์ทรถบรรทุก เฉินอู๋ตี๋ตามมาพร้อมว่า “อาจารย์…”
“อย่าเพิ่งโน้มน้าวอะไรฉัน ฉันก็ยังต้องคิดอยู่เหมือนกัน” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วแน่น เขาเองรู้ดีว่าการช่วยหลี่ชิงเจิ้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาอาจจะลงเอยด้วยความตายก็ได้ แต่คนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่มีหรือยอมลงเอยเช่นนั้น
เฉินอู๋ตี๋ว่า “หาใช่เช่นนั่นไม่ท่านอาจารย์ ข้าเพียงอยากบอกว่าข้ายังไม่อิ่มเลย…”
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “…อ้อ ถึงตรอกเป่าหยวนแล้วค่อยให้พี่เสี่ยวอวี้ทำอะไรให้กินแล้วกัน”
เฉินอู๋ตี๋ขึ้นรถบรรทุกไปอย่างอารมณ์ดี เขานั่งลงที่นั่งข้างคนขับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “อาจารย์ ท่านก็หวังว่าตัวเองจะเป็นคนดีใช่ไหม”
“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นแล้ว ฉันไม่เหมาะจะเป็นคนดีหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างหัวเสีย พอเหยียบคันเร่งปุ๊บ ก็แทบทำให้ข้าวที่เฉินอู๋ตี๋เพิ่งกินไปพุ่งออกจากปาก!
ระหว่างขับไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็โพล่ง “ไม่รู้ว่าหลี่ชิงเจิ้งปากโป้งเรื่องเราแล้วหรือยัง นายคิดว่าไง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทุกคนในป้อมปราการคงมาตามล่าเราแล้ว”
เฉินอู๋ตี๋ไม่รู้ว่าอาจารย์เขาต้องการสื่ออะไร “อืม”
เริ่นเสี่ยวซู่พึมพำกับตัวเอง “หลี่ชิงเจิ้งเองก็น่าสงสารไม่น้อย เขาจะวิ่งหนีไปเลยก็ได้ แต่ก็ยังช่วยเราล่อพวกทหารลึกลับเวรนั่นที่จู่ๆ ก็โผล่หน้ามา”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย จู่ๆ ก็หักพวงมาลัยแบบกะทันหัน รถบรรทุกคันเบอเร่อเข้าดริฟต์บนถนนในป้อมปราการอย่างสวยงาม พวกหวังอวี่ฉือแทบจะโดนเหวี่ยงออกจากรถ
รถบรรทุกหันหัวมุ่งไปยังทางที่เพิ่งเดินทางมา ทุกคนบนรถบรรทุกต่างสงสัยว่าพวกตนกำลังเร่งรีบไปไหนกัน
…
รถบรรทุกห้าคันกำลังเร่งเครื่องกลับจากที่มั่น 313 ทางเหนือดั่งวายุสลาตัน ไม่มีจุดตรวจใดระหว่างทางกล้ารั้งพวกเขาไว้
หลี่ชิงเจิ้งนั่งอยู่หลังรถบรรทุกคันหนึ่งที่อยู่กลางขบวน กองทหารลึกลับนี้ไม่ได้ใส่กุญแจเขาราวกับไม่กลัวว่าหลี่ชิงเจิ้งจะพยายามหนี
หลี่ชิงเจิ้งมองนายทหารที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและยิ้มเอ่ย “ท่านครับ พวกเรากำลังจะไปไหนกันเหรอ”
“ป้อมปราการ” นายทหารพูดด้วยท่าทีเฉยชา “ฉันแนะนำให้นายบอกที่อยู่และเรื่องแปลกๆ ทุกอย่างรอบตัวเริ่นเสี่ยวซู่มาเร็วๆ ดีกว่า ไม่อย่างงั้นพอถึงป้อมปราการแล้วนายคงได้เสียใจแน่ที่ไม่ยอมร่วมมือกับเราแต่แรก”
หลี่ชิงเจิ้งแสร้งยิ้ม “ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ เจ้าเริ่นเสี่ยวซู่นั่นไม่ได้เรื่องสุดๆ พอเจอปัญหาอะไรๆ ก็ไม่เคยบอกผมที่เป็นหัวหน้าหน่วยเลย ปล่อยผมไปเถอะครับ ถ้าเจอหน้าเขาแล้วผมจะด่าเปิงให้พวกท่านแบบแจ่มๆ สักรอบ!”
นายทหารยังคงมองหลี่ชิงเจิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่เสียเวลาคุยกับหลี่ชิงเจิ้งต่อ
ระหว่างที่นั่งกันอยู่หลังรถบรรทุกนั้น หลี่ชิงเจิ้งมองทิวทัศน์จากท้ายรถที่คอยๆ ห่างไกลออกไป ภูเขาถูกหิมะขาวปกคลุมดูสวยงามอลังการ เหยี่ยวตัวโตกำลังร่อนอยู่บนขุนเขาไกล ทว่าเขากลับไม่มีอารมณ์มามีสุนทรียะกับภาพนี้
“หมอดูบอกว่าปีนี้หลังเจอผู้พลิกชะตาแล้วฉันจะได้เข้าไปในป้อมปราการ เขายังบอกด้วยว่าในอนาคตฉันจะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง” หลี่ชิงเจิ้งยิ้มกระอักกระอ่วน “ตอนนั้นพ่อฉันดีใจมากๆ เลยล่ะ ถึงกับออกไปซื้อเนื้อที่ตลาดมาให้กิน ฉันยังจำได้ด้วยว่าคืนนั้นพ่อดื่มไปนิดหน่อย เขาภาคภูมิใจจริงๆ ที่ลูกตัวเองจะกลายเป็นผู้กล้าที่มีอนาคตสดใส”
หลี่ชิงเจิ้งครวญ “ใครจะไปคิดว่าฉันจะได้เข้าไปในป้อมปราการด้วยสภาพแบบนี้”
ทันใดนั้นนายทหารหนุ่มที่นั่งเยื้องอยู่ตรงข้ามกับเขาก็หัวเราะ “หมอดูคนนั้นไปอยู่ไหนแล้วล่ะ ฉันน่าจะให้เขามาทำนายทายทักฉันบ้าง”
หลี่ชิงเจิ้งเจอคำถามนั้นก็นิ่งงันไป “หมอดูออกจากเมืองน้อยไปนานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน”
“อ้อ” นายทหารหนุ่มดูจะไม่ผิดหวังอะไรเท่าไรนัก “นึกว่าหลังจากล้างแค้นแล้วจะได้รู้เสียอีกว่าชะตาตัวเองต่อไปเป็นยังไง มาแนะนำตัวกันเถอะ ฉันหลี่เสินถาน เป็นเพื่อนกับเริ่นเสี่ยวซู่ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“นาย…” หลี่ชิงเจิ้งกำลังสับสนงงงวย ยังไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าหลี่เสินถานเป็นใครกันแน่ แต่เขาพลันพบว่านายทหารอื่นๆ ดูจะไม่ได้ยินเสียงของหลี่เสินถานเลย ต่างนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว
หลี่เสินถานหัวเราะอย่างมีความสุข “ล้อเล่นน่ะ ฉันล่ะอิจฉาเริ่นเสี่ยวซู่จริงๆ ที่มีเพื่อนแบบนาย แต่นายคงอิจฉาเริ่นเสี่ยวซู่มากสินะที่มีเพื่อนแบบฉันน่ะ”
หลี่ชิงเจิ้งโดนคำพูดของหลี่เสินถานทำให้งุนงงกว่าเดิมอีก เจ้าหนุ่มหลี่เสินถานนี่มั่นใจไม่ก็หลงตัวเองไปหรือเปล่า พูดบ้าอะไรอยู่วะนั่น
หลี่เสินถานว่า “ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่คงเชื่อว่านายกำลังถูกส่งไปโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในป้อมปราการ 108 พูดให้ชัดกว่านั้นคือฐานลับใต้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของสมาคมตระกูลหลี่ เขาคงยังลังเลอยู่ว่าจะไปช่วยนายที่นั่นดีไหม”
“หมายความว่าไง” หลี่ชิงเจิ้งสับสนกว่าเดิมอีก “อย่าทำอะไรโง่ๆ นะ นายเป็นเพื่อนเขาไม่ใช่เหรอไง ทำไมถึงอยากล่อเขาไปที่ฐานลับล่ะ!”
“ก็เพราะว่า…มันสนุกไง” หลี่เสินถานยิ้ม “ฉันอยากรู้ว่าเพื่อนของฉันปฏิบัติต่อมิตรสหายยังไง”
เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยวิญญาณอันบ้าคลั่งและกระสับกระส่าย เป็นวิญญาณไร้ที่พึ่งพิง เป็นวิญญาณอันยุ่งเหยิงแลพยาบาทมาดร้าย
ทว่ายามความวุ่นวายนั้นผสมรวมกัน มันพลันกลับกลายเป็นความสงบนิ่งสายหนึ่ง
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ด้วย เขาคงนึกออกทันทีว่าข้อมูลที่หูชัวเผยออกมาเป็นความคิดของหลี่เสินถานนั่นเอง
กองกำลังที่จับหลี่ชิงเจิ้นไปไม่ใช่กองทหารนาโนแมชชีนลึกลับของสมาคมตระกูลหลี่อะไรหรอก แต่เป็นกองทหารที่หลี่เสินถานควบคุมอยู่ต่างหาก แต่ไม่มีใครรู้ว่ากองกำลังที่เหลืออีกแค่ห้าร้อยนายนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใด
นี่เป็นเกม เกมที่หลี่เสินถานตั้งใจจะให้เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนเปิดม่านการล่มสลายของสมาคมตระกูลหลี่
ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากหน้าขบวนรถ ราวกับว่ามีลูกระเบิดอันทรงพลังถูกจุดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น!
สีหน้าของหลี่เสินถานแปรเปลี่ยนในทันใด “ฉันประมาทไปซะแล้ว เขากล้ามาขวางขบวนรถจริงๆ!”
เขาคว้าหลี่ชิงเจิ้งกระโดดลงจากรถบรรทุก แต่กลับตะโกนก้องป่าเขา “เหลาหลี่ พี่ชายมาช่วยนายแล้ว!”
ตอนที่หูชัวเผยข้อมูลให้เริ่นเสี่ยวซู่นั้น เขาเอ่ยว่ากองกำลังติดอาวุธที่คุ้มกันหลี่ชิงเจิ้งนั้นทรงพลังมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะขัดขวางขบวนรถระหว่างทาง
ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะต้องการล่อเริ่นเสี่ยวซู่ไปยังฐานลับใต้ดิน และให้เขาเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางมาขัดขวางขบวนรถได้
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยิ่งคิดยิ่งพบสิ่งผิดปกติ มันมีตรรกะอะไรผิดแผก ถ้าเขาไม่มาขัดขวางระหว่างทาง แล้วเขาจะช่วยหลี่ชิงเจิ้งที่ถูกคุมตัวไปยังสถานที่ที่มีการป้องกันรัดกุมกว่าได้อย่างไร
แถมหูชัวยังเตรียมภาพวาดของฐานลับนั่นให้เขาเลยด้วย นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่อนุมานได้ว่าตาแก่ผู้นี้ไม่มาดี!
นี่จึงเป็นเหตุให้พอเริ่นเสี่ยวซู่รับประทานข้าวเที่ยงเสร็จก็หันหัวรถออกจากป้อมปราการทันที จากนั้นก็เร่งเครื่องเข้าแดนรกร้างมาตลอดทาง!
หลังจากหลี่เสินถานกระโดดออกจากรถแล้ว เขาก็กลิ้งไปตามพื้นสองรอบ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนฝุ่น และก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ถลามาพร้อมชุดเกราะเต็มตัว
แม้หลี่เสินถานจะอยู่ในสภาพน่าสังเวช แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับหัวเราะอย่างมีความสุขสุดๆ “น่าสนใจ! ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ!”