the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 288 เหล้าแก้วหนึ่ง
การล่มสลายของป้อมปราการ 108 ส่งผลกระทบใหญ่หลวงไปทั่วทั้งสนามรบ ป้อมปราการใหญ่นี้เป็นฐานปฏิบัติการหน้าของกองทัพสมาคมตระกูลหลี่
ทัพของสมาคมตระกูลหลี่ที่มาจากป้อมปราการต่างๆ ในแนวหลังจะมาเติมเสบียงที่ป้อมปราการ 108 ก่อน จากนั้นค่อยมุ่งขึ้นเหนือไปต่อ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมในป้อมปราการ 108 ถึงเกิดการขาดแคลนอาหารด้วย
เพราะไม่เคยสู้รบในสงครามใหญ่มาก่อน ประสบการณ์ของสมาคมตระกูลหลี่นับว่าไม่เพียงพอ แม่ทัพนายพลหลายคนก็คิดว่าสงครามเป็นเรื่องเรียบง่าย เพียงแค่ต้องให้เครื่องจักรสงครามทำงานอย่างไหลลื่น สำหรับเรื่องนี้ พวกเขาวางแผนต่อความน่าจะเป็นมากมายหลายแบบ คิดแผนการสำรองต่างๆ มานานปี
แต่พอสงครามปะทุขึ้น พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าสงครามนั้นยากคาดเดา ไม่มีรูปลักษณ์ที่คงตัว ไม่มีสภาพการณ์ที่แน่นอน สถานการณ์ไม่คาดฝันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกิจจะในสงคราม
หลังจากป้อมปราการ 108 ถูกทำลาย ทหารสมาคมตระกูลหลี่ที่แนวหน้าเสียสายส่งกำลังบำรุงทั้งเส้นไปในชั่วพริบตา กองกำลังยานเกราะของสมาคมตระกูลหยางโจมตีเขาชิงเซิ่งต่อเพื่อเปิดทางให้ทหารสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
หลังจากตัวทดลองถอยร่นไปแล้ว ทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหยางก็เริ่มปฏิบัติภารกิจรื้อถอนที่แนวหลัง จัดการทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกทางกลยุทธ์สำคัญของศัตรู
ตอนนี้หยางเสียวจิ่นหายตัวไป ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบุคคลระดับแกนหลักของสมาคมตระกูลหยาง เธอดูจะไม่สนใจจะเข้าร่วมในสงคราม แม้กระทั่งทหารนาโนแมชชีนก็ไม่รู้ว่าเธอมาถึงที่นี่แล้ว
ว่ากันว่าผู้ก่อจลาจลกับสมาคมตระกูลหยางมีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกันนัก แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร
หลังสายส่งกำลังบำรุงของสมาคมตระกูลหลี่ถูกตัดไปแล้ว ในระยะสั้นมันยังจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตอะไรมากนัก แต่ถ้าทหารในแนวหลังยังสร้างสายส่งกำลังบำรุงไม่ได้ล่ะก็จะถือว่าเป็นการเสียหายอย่างร้ายแรง
ทว่าหลังจากสมาคมตระกูลหลี่ได้รับความเสียหายอย่างหนักแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจจะโจมตีสมาคมตระกูลหยางเต็มกำลังโดยไม่กั๊กอะไรอีก
ในสนามรบตะวันตกเฉียงใต้ ผู้ร่วมสงครามสนใจอยู่แต่ว่าจะมีสายส่งกำลังบำรุงหรือไม่ แต่ว่าในโลกของผู้มีพลังพิเศษแล้ว การปรากฏตัวของเฉินอู๋ตี๋คือเหตุการณ์ซึ่งเป็นหลักชัยสำคัญ
ผู้ก่อจลากลเดิมทีเรียกยุคสมัยนี้ว่า ‘รุ่งอรุณของเหล่าเทพเจ้า’ เพราะว่ายังไม่มีผู้มีพลังพิเศษคนใดที่อยู่เหนือสามัญได้อย่างแท้จริง
พวกเขาต่างยังหวาดกลัวปืนและระเบิด ทุกคนยินยอมพร้อมใจจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของสมาคมต่างๆ พลังของมนุษย์ธรรมดายังคงจำกัดโลกของผู้มีพลังพิเศษไว้
แต่การอุบัติของเฉินอู๋ตี๋ได้นำยุคสมัยนั้นมาถึงจุดสิ้นสุด
ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกของผู้มีพลังพิเศษอย่างเงียบงันได้เปลี่ยนชื่อของยุคสมัยหลังการปรากฏตัวของเฉินอู๋ตี๋ว่า ‘การผงาดขึ้นของเหล่าเทพเจ้า’
เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่าขีดจำกัดของผู้มีพลังพิเศษอยู่จุดใด และหวังว่าตนเองจะไปถึงระดับนั้นได้
ตลอดทั้งยุคสมัยของ ‘รุ่งอรุณ’ นั้น หลี่เสินถานเป็นเพียงผู้เดียวเดียวที่ถือได้ว่าเป็น ‘ครึ่งเทพ’ และเฉินอู๋ตี๋เป็นผู้เดียวที่ไปถึงธรณีประตูของเทพเจ้า
เขาครอบครองพลังที่มีเพียงแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่มีได้อย่างแท้จริง
ในถนนว่างเปล่าที่พังเสียหายเส้นหนึ่งในป้อมปราการ 108 หนังสือพิมพ์เก่าที่อยู่ตามพื้นพลันถูกลมเย็นพัดปลิวขึ้นไปบนอากาศ
ใบไม้แห้งกระจายเต็มทั่วพื้น เมื่อก่อนในป้อมปราการคงมีคนทำความสะอาดมาดูแล แต่ตอนนี้ชาวป้อมปราการทุกคนหนีไปกันหมดแล้ว มีคนเพียงจำนวนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน รอคอยให้สมาคมตระกูลหลี่มาช่วย แต่ว่าทหารปืนใหญ่ของหลี่เสินถานนั้นสกัดทหารแนวหลังของสมาคมตระกูลหลี่จากทางใต้ อีกพักใหญ่กว่าพวกเขาจะมาถึง
หลี่เสินถานกำลังเดินไปตามถนนใหญ่อยู่คนเดียว เขามองภาพอันน่าหดหู่รอบกายด้วยสายตาสงบนิ่ง
เด็กสาวตัวน้อยซือหลีเหรินกำลังลอยตัวอยู่ด้านข้างในชุดคลุมขาว เธอไม่ได้พูดอะไร แต่สัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยและความเดียวดายของหลี่เสินถาน
หลี่เสินถานไปยังจุดที่เฉินอู๋ตี๋สู้รบกับตัวทดลองก่อนหน้านี้ เขามองร่างเฉินอู๋ตี๋ที่กลายเป็นหินไปแล้ว จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามและถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
เขานั่งอยู่ที่นั่นทั้งวัน ไม่สนใจว่าโลกภายนอกจะเกิดอะไรขึ้น เขาถึงกับปล่อยวางความแค้นไว้เป็นการชั่วคราว
เสียงปืนใหญ่จากทางเหนือใต้ยังดังมาไม่หยุด ขณะเดียวกันเขตกันชนแห่งป้อมปราการ 108 ก็พลันกลายเป็นดินแดนอันสงบสุขเงียบครึม
ขณะที่หลี่เสินถานกำลังนั่งอยู่นั้น ซือหลีเหรินก็รอคอยอยู่ที่ด้านข้างเงียบๆ
จู่ๆ หลี่เสินถานก็ถอนหายใจและพูดขึ้น “ฉันล่ะอิจฉาเริ่นเสี่ยวซู่อยู่หน่อยๆ”
ซือหลีเหรินถาม “พี่รู้สึกผิดงั้นเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่หรอก” หลี่เสินถานส่ายหัว พูดเสียงหนักแน่น “และฉันก็ไม่ผิดด้วย”
คนที่มีตัวตนแกร่งกล้าอย่างพรายกระซิบมีหรือจะเกิดความสั่นไหวได้ ตั้งแต่เขาเริ่มการล้างแค้นนี้ เขาไม่เคยคิดอยากจะคุยว่าอะไรถูกหรือผิดกับใครทั้งสิ้น
และต่อให้เขาผิดจริง…แล้วอย่างไรล่ะ
หลี่เสินถานมองเฉินอู๋ตี๋แล้วว่า “พวกเรามาจากโรงพยาบาลบ้าทั้งคู่”
ที่เขาพยายามสื่อคือในหมู่คนที่ออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวชในยามนี้ เขาและเฉินอู๋ตี๋เป็นสองคนที่สุดโต่งมาก หนึ่งนั้นใจบริสุทธิ์ทำแต่ความดีงามส่วนอีกฝ่ายนั้นใจพร้อมจะลงนรก
หลี่เสินถานชมชอบที่ตัวเรียกถูกเรียกว่าพรายกระซิบ เพราะภูตผีในใจเขานั้นมากพอจะกลืนกินโลกทั้งใบ
แต่พอเฉินอู๋ตี๋ตายไป หลี่เสินถานก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง
เขาอยากกระโดดลงไปในหุบเหวมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดที่ตนยืนอยู่ริมขอบนี้ แต่ว่ามันมีคนคอยเรียกชื่อเขาจากข้างหลังตลอด ทว่าพอหลี่เสินถานหันไปมอง เขากลับมองไม่เห็นใครเลย
หลี่เสินถานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเฉินอู๋ตี๋ว่า “เหมือนว่าหลังล้างแค้นเสร็จฉันก็ไม่มีเป้าหมายอะไรอีก ถ้าตอนนั้นฉันยังมีชีวิตอยู่ จะปกป้องอาจารย์ของนายแทนนายให้แล้วกันนะ”
แต่จู่ๆ หลี่เสินถานก็ชะงักค้างไป เขาหันไปมองซือหลีเหรินที่งีบหลับกลางอากาศ
เขาพลันหัวเราะออกมาแล้วว่า “ตื่นได้แล้ว สมาคมตระกูลหลี่ยังมีป้อมปราการอีกหลายแห่ง พวกตาแก่นั่นคงไปซ่อนตัวหมดแล้ว พวกเราต้องไปตามหาพวกเขาอีก”
…
ที่ป้อมปราการ 88 หลัวหลานกำลังกินอาหารอย่างสำราญ ได้รับการต้อนรับเต็มที่จากสมาคมตระกูลหยาง ไม่ต้องเสียเงินสักกะหยวน
เขาห้ามออกจากป้อมปราการ 88 ก่อนที่ความเป็นพันธมิตรของสมาคมตระกูลหยางและชิ่งจบลง เหตุผลที่ว่าทำไมสมาคมตระกูลหยางถึงยอมเชื่อใจและยอมร่วมมือกับชิ่งเจิ่งก็เพราะหลัวหลานเข้ามาเสนอตัวเองถึงถิ่น เป็นการแสดงความจริงใจของชิ่งเจิ่นและหลัวหลานประการหนึ่ง
สมาคมไหนที่ชำช่องเรื่องข้อมูลมากพอย่อมรู้ว่าตราบใดที่หลัวหลานอยู่ที่นี่ ชิ่งเจิ่นย่อมไม่มีทางฉีกสัญญาพันธมิตรของทั้งสองฝั่งง่ายๆ
หลัวหลานเองก็รู้ว่าตัวเองเป็นตัวประกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่กังวลใจอะไรเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะมาดื่มฟรีกินฟรี
ถึงเขาจะออกจากป้อมปราการ 88 ไม่ได้ แต่สมาคมตระกูลหยางก็ดูแลเขาอย่างดียิ่ง
แต่ตอนนี้เอง กาตัวหนึ่งก็ร่อนลงมาบนโต๊ะอาหารหน้าเขา หลัวหลานแก้หลอดไม้ไผ่จิ๋วที่อยู่ที่ขามัน จากนั้นก็ดึงม้วนกระดาษออกออกมา
หลัวหลานใช้นิ้วป้อมคลี่ม้วนกระดาษออก แต่พออ่านเนื้อหาแล้วก็นิ่งค้างไป
คนสนิทของหลัวหลานถาม “เจ้านายครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร” หลัวหลานถอนหายใจ เขาเทเหล้าลงแก้ว สหายที่เคยช่วยชีวิตและมักเรียกตนเองว่าเป็นเปินปัวเออร์ป้าจะไม่อยู่ให้เห็นหน้าอีกต่อไปแล้ว